ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
[*] posted on 31/1/10 at 00:21 Reply With Quote

เพชรพญานาค ตอนที่ 3 จบ (ตอนพิสูจน์ "ขุมทรัพย์เมืองบาดาล")


 เพชรพญานาค ตอนที่ 1, ตอนที่ 2




"บั้งไฟพญานาค" กลางลำน้ำโขง


- “บั้งไฟพญานาค” เป็นปรากฎการณ์ของการเกิดลูกไฟสีชมพูพวยพุ่งขึ้นจากกลางลำน้ำโขงสู่อากาศ โดยลูกไฟนั้นไม่มีควัน ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง พุ่งสูงประมาณ 20-30 เมตร แล้วหายไปโดยไม่มีการโค้งลงมา เช่น บั้งไฟทั่วไป ขนาดของลูกไฟมีตั้งแต่ขนาดเท่าหัวแม่มือ กระทั่งขนาดเท่าฟองไข่ไก่

- เกิดขึ้นเป็นจำนวนไม่แน่นอน ตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึง 2-3 ทุ่ม สถานที่เกิดมักเป็นลำน้ำโขง ในท้องที่อำเภอโพนพิสัย อำเภอปากคาด อำเภอสังคม อำเภอศรีเชียงใหม่ อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย และบริเวณอื่นๆ บ้าง เช่น ตามห้วยหนองที่อยู่ใกล้แม่น้ำโขง

- วันเวลาที่เกิด “บั้งไฟพญานาค” จะเป็นปรากฏการณ์ที่แน่นอน คือตรงกับ วันออกพรรษา วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองหน ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งตรงกับวันออกพรรษาของลาว

"บั้งไฟพญานาค" ริมทะเลปากน้ำหลังสวน จ.ชุมพร

ผู้เขียนได้ลำดับเรื่องราว "เพชรพญานาค" นับตั้งแต่ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2 จนถึงตอนที่ 3 เป็นตอนสุดท้ายนี้ จะได้เข้าเรื่องของตนเองเสียที แต่ก่อนอื่นคงจะต้องเข้าเรื่อง "บั้งไฟพญานาค" เสียก่อน คือก่อนที่จะพบเรื่องของ "เพชรพญานาค" ซึ่งผู้เขียนไม่เคยมีความรู้มาก่อน และไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้เลย

ตามปกติผู้เขียนจะต้องไปจำพรรษาทุกปี ณ วัดสิริเขตคีรี (วัดพระร่วง) อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย แต่ก่อนจะถึงวันเข้าพรรษา เมื่อปีที่แล้ว วันที่ 29 มิถุนายน 2552 ทางทีมงาน "เรื่องจริงผ่านจอ" ได้ติดตามขอให้นำไปถ่ายทำที่รอยพระพุทธบาททุ่งคา จังหวัดชุมพร หลังจากถ่ายทำเสร็จแล้ว ผู้เขียนพร้อมคณะจึงได้เลยไปพักค้างคืน ณ วัดแหลมสน ต.ปากน้ำ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ซึ่งได้เคยไปสร้างพระใหญ่ "พระพุทธพรชัยมงคลมุนี" และปั้นรูป "พญานาคขนดตัว" ไว้ที่ริมชายทะเลวัดแหลมสน เมื่อปี พ.ศ. 2548

ในวันรุ่งขึ้น ชาวบ้านได้นำภัตตาหารเพลมาถวาย พร้อมกับนำรถมอเตอร์ไซด์มาจอดเรียงไว้หน้ากุฏิที่พัก 10 กว่าคัน เพื่อจะให้ผู้เขียนเจิมเป็นสิริมงคล เวลานั้น คุณนิวัฒน์ เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลปากน้ำ ได้ใช้กล้องถ่ายรูปของตนเอง แต่ได้ถ่ายเป็นคลิปวีดีโอไว้ หลังจากเจิมรถเสร็จแล้ว ปรากฏว่าได้เปิดดูคลิปจากมือถือของตนเอง (ทั้งๆ ที่ถ่ายไม่ค่อยเป็น)

มองเห็นคล้ายกับ "บั้งไฟพญานาค" คือ เป็นลูกไฟลอยวนไปวนมาอยู่หน้าองค์พระใหญ่ (สันนิษฐานว่าน่าจะขึ้นตรง "รูปปั้นพญานาค") คุณนิวัฒน์บอกว่าในขณะที่บันทึกภาพนั้น มองไม่เห็นดวงไฟเลย แต่พอมาเปิดคลิปดูแล้ว จะเห็นเป็นดวงไฟวิ่งไปมา ตามตัวอย่างที่นำมาให้ชมนี้ (ซึ่งไม่มีการแต่งเติมด้วยเทคนิคแต่อย่างใด)




คลิปที่ 2 คลิปที่ 3

("คลิปจากโทรศัพท์มือถือ" ภาพอาจจะไหวไปบ้าง เนื่องจากผู้บันทึกยังไม่ชำนาญ)

ผงยาพระฤาษี (คล้ายผงแป้งพญานาค)


เรื่องที่เห็นเป็นเช่นนี้ คงแล้วแต่วิจารณญาณของท่านผู้ชม จะจริงหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์กันต่อไป เพราะหลังจากกลับมาจากปักษ์ใต้แล้ว ผู้เขียนก็ได้ไปจำพรรษที่วัดสิริเขตคีรี พอดีมีญาติโยมชาวบ้านแถวท่าชัย (อยู่ใกล้วัด) ได้นำ "ก้อนหิน" หลายก้อนมาให้ชมพร้อมกับเล่าว่า

เมื่อสิบกว่าปีก่อนมีชาวบ้านคนหนึ่งป่วยมานานแล้วฝันว่า ให้ไปเอายาที่เขาลูกหนึ่งในเขต อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ครั้นได้ไปนำก้อนหินมาจากเขาลูกนี้ แล้วได้ทุบพบข้างในเป็นผงละเอียดคล้ายแป้งฝุ่นไม่มีกลิ่น จึงได้นำมาผสมน้ำมะพร้าวอ่อนดื่มกิน

ปรากฏว่าโรคร้ายได้หายไปหมดสิ้น ทั้งๆ ที่ได้ตระเวณรักษาตามโรงพยาบาลมาหลายแห่งแล้ว เรื่องนี้ได้ร่ำลือจนกระพือไปทั้งหมู่บ้าน จนเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์สมัยนั้น

ผู้คนที่รู้ข่าวเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ ต่างเดินขึ้นไปขุดหา "ผงยาพระฤาษี" บนเขาลูกนี้กันมากมาย ต่อมามีพระสงฆ์ขึ้นไปตั้งเป็น "สำนักสงฆ์" จึงเรียกชื่อว่า "วัดเขายาหนองจระเข้" มาจนทุกวันนี้

พร้อมกันนี้ชาวบ้านที่มาเล่าให้ฟัง จึงได้นำก้อนหินมาให้ผู้เขียนชม พร้อมกับ "ผงยาพระฤาษี" ที่ทุบออกมาจากก้อนหินแล้ว ปรากฏว่ามีหลายสี เป็นสีขาวบ้าง สีชมพูบ้าง สีเนื้อบ้าง เป็นต้น

โยมผู้หญิงบางคนนำไปทาแก้ม บอกว่าช่วยรักษาผิวหน้าได้เป็นอย่างดี บางคนก็นำไปแช่น้ำดื่ม หลังจากนั้นผู้เขียนก็ได้นึกถึง "ผงแป้งพญานาค" ที่ลงในเว็บตามรอยฯ จึงได้ชักชวนญาติโยมที่วัดเดินทางไปที่เขาลูกนี้ พร้อมกับช่วยกันค้นหาก้อนหินยาที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็มีน้อยเต็มที



รถวิ่งผ่านป้ายทางเข้าวัดเขายาหนองจระเข้ ซึ่งจะมองเห็นทิวเขายาเตี้ยๆ ได้แต่ไกล


เมื่อรถวิ่งขึ้นไปบนเขาแล้ว เดินผ่านเข้าไปหลังวัด จะมองเห็นทิวทัศน์หนองจระเข้ได้โดยรอบ


หลังจากชมทิวทัศน์กันพอสมควรแล้ว พวกเราที่ร่วมเดินทางมาจากวัดพระร่วงฯ
ต่างก็ช่วยกันขุดค้นหา หลังจากได้ถามพระและชาวบ้านที่อยู่ในวัดนี้


ผู้เขียนได้เดินเข้าไปค้นหา พบร่องรอยเป็นหลุมมากมายในบริเวณนั้น ซึ่งมีการขุดค้นมานานแล้ว
บางแห่งก็มีก้อนหินหลายก้อน แต่พอหยิบมาดูแล้วก็ไม่ใช่ เพราะเป็นแค่ก้อนหินธรรมดา


แต่เมื่อเดินกลับมาทางหลังห้องน้ำ จึงได้พบก้อนหินยา ซึ่งจะมีลักษณะแต่งต่างจากก้อนหินธรรมดา
(คือมีลักษณะคล้ายก้อนหิน "เพชรพญานาค) ตามภาพที่ได้หยิบขึ้นมานี้แหละ


พวกเราได้วิ่งเข้ามามุงดูต่างรู้สึกดีใจ ตอนแรกคิดว่าจะมาผิดหวังเสียแล้ว
เพราะเวลาผ่านมานานสิบกว่าปี คนคงมาขุดกันไปหมดสิ้นแล้ว


นับว่าโชคดีที่ยังหลังเหลืออยู่ข้างห้องส้วม จึงได้ทุบออกแล้วจะเห็นเป็นผงแป้งจริงๆ
ก้อนที่พบครั้งแรกเป็นสีขาวและสีชมพู ต่อมาพระในวัดได้นำก้อนหินที่ท่านเก็บไว้มาให้อีก


ในขณะที่เดินหาอยู่นั้น จะพบเห็นก้อนหินที่เหลือแค่เปลือก ภายในว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลือ..


เนื่องจากคนที่มาขุดเจอแล้ว ต่างก็เอาผงยาไปหมด แล้วทิ้งเปลือกไว้เกลื่อนในบริเวณนั้น


หลังจากกลับมาแล้ว ผู้เขียนจึงได้ทำพิธีบวงสรวง เพราะเห็นเป็นของศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีเจ้าของ สามารถนำมา
รักษาโรคได้ ชาวบ้านบางคนเล่าว่า สมัยก่อนมีคนขุดได้ ทุบออกมาจะพบช้อนซ่อมบ้าง หรือไม่ก็พบกำไลเป็นต้น


เรื่องนี้ทำให้ย้อนคิดถึงเรื่อง "ผงแป้งลูกสาวพญานาค" ที่เคยลงในเว็บตามรอยฯ เมื่อปีที่แล้ว


อีกทั้งได้ประสบกับเหตุการณ์ก่อนเข้าพรรษา คือได้พบดวงไฟสีขาวลอยขึ้นที่หน้าพระใหญ่
ที่ปากน้ำหลังสวน (ตามที่ได้นำคลิปมาให้ชมไปแล้ว) น่าจะมีสิ่งบอกเหตุอะไรสักอย่าง...


จึงคิดว่าน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพญานาคบ้าง อีกทั้งชาวบ้านยังได้เล่าว่า
การที่เรียก "เขาหนองยาจระเข้" นั้น เพราะเคยมีคนเห็นจระเข้บริเวณหนองน้ำนั้น


ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเองว่า อาจจะเป็น "พญานาค" ก็ได้ แต่คนมองไกลๆ นึกว่าเป็นจระเข้ นี่เป็นเรื่องที่เดาๆ กันไปนะ


เพราะหลังจากได้ทุบก้อนหินไปหลายก้อนแล้ว ปรากฏว่าได้พบผงยาพระฤาษีเป็นส่วนใหญ่ มีหลายหลากสี



แต่ที่สำคัญนั่นก็คือได้พบ "เพชรพญานาค" สีส้มสวยงามอีกด้วย (ด้านข้างคือ "เพชรหน้าทั่ง" ขนาดใหญ่)



พวกเราต่างก็ตื่นเต้นดีใจที่ได้พบเห็นกันในวันนั้น



จึงได้นำผงยาผสมกับน้ำมะพร้าวอ่อนอธิษฐานดื่มกินกัน



ส่วนหินก้อนที่พบ "เพชรพญานาค" นั้นก็วางแยกต่างหาก



นำไฟฉายเล็กๆ มาส่องเพชรพญานาค จะเห็นเป็นประกายส่องสว่าง



ประจวบเหมาะกับในเวลานั้น ช่างได้มาขุดเจาะน้ำบาดาล พบ "เพชรหน้าทั่ง" มากมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย



พวกเราจึงได้นำ "เพชรหน้าทั่ง" (เป็นของศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ) มาวางรวมให้ชมพร้อมๆ กัน



ส่วนภาพนี้เป็นก้อนหินที่ทุบแล้วทั้งสิ้น ซึ่งมีชาวบ้านแถวนั้นเก็บไว้นานนับสิบปี ต่างก็นำมาให้ทุบกันหลายสิบก้อน
(ภายในถุงพลาสติก จะเป็น "เพชรพญานาค" และ "เพชรหน้าทั่ง" ขนาดใหญ่)




ภาพรวม : นอกจากจะพบ "เพชรพญานาค" แล้ว ยังได้พบเมล็ดพันธุ์พืช คล้ายกับ "เมล็ดสะตอ"
แบบทางใต้ และที่เห็นก้อนสีดำสี่เหลี่ยมนั้น เท่าที่พบมีลักษณะคล้าย "ข้าวตอกพระร่วง" อีกด้วย


นอกจากได้พบก้อนหิน "แร่ธาตุศักดิ์สิทธิ์" เหล่านี้แล้ว ในพรรษาปี 2552 ที่ผ่านนี้ ปรากฏว่ามีญาติโยมชาวบ้านแถวนี้โชคดี คือถูกหวยถูกล็อตเตอรี่กันหลายราย มีอยู่รายหนึ่ง คือ คุณแมว (ภรรยาคุณสมชาย) ถูกรางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 (ซื้อตามเลขบ้าน)

ส่วนอีกรายหนึ่ง คือ คุณติ๋ว เล่าว่ามีคนมาเข้าฝัน เดินมาจากมณฑปท่านพ่อพระร่วง บอกว่าล็อตเตอรี่งวดนี้เลข 456 ไม่ออกนะ จะออก 96 ปรากฏว่างวดนั้นและงวดต่อๆ มา มีคนถูกกันหลายราย ต่างก็นำมาอาหารมาถวายกัน ซึ่งการจำพรรษาปีที่ผ่านมานี้ อาหารที่พระขบฉัน จึงมีความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง..!



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 1/2/10 at 06:09 Reply With Quote


(Update 04-02-53)


จาก "บั้งไฟพญานาค" ที่ปากน้ำหลังสวน จนได้พบ "พระพุทธรูป" ในก้อนหิน

ซึ่งในเวลานั้นกำลังวางแผนซื้อดินข้าง "สวนไผ่" เพื่อสร้างพระใหญ่ที่หน้าวัดท่าซุง


(หลักหมุดตรึงแผ่นดิน ขุดพบภายในถ้ำแห่งหนึ่ง)

.....เรื่องนี้จะเป็นเรื่อง "บังเอิญ" หรือไม่ก็ตามที แต่ผู้เขียนก็ได้พบกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยเฉพะกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตา จะว่าเชื่อหรือไม่เชื่อก็ยากที่จะปฏิเสธได้ ผู้เขียนไม่อยากจะชี้นำว่าเป็นเรื่องของ "ปาฏิหาริย์" แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ยากที่จะได้พบเห็นเช่นกัน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ ผู้เขียนพยายามนำมาเสนอ

......เผื่อท่านผู้อ่านที่มีความรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จะได้นำไปประกอบพิจารณา ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ประการใด โดยเฉพาะได้นำเสนอเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นมาแล้ว ซึ่งได้ลงทั้งข้อมูลและภาพประกอบ ตามที่ได้ลำดับนำมาจากเว็บไซด์ต่างๆ นับตั้งแต่ตอนที่ 1 มาแล้วนั่นเอง

......ในตอนนี้ จะเป็นเหตุการณ์ที่ได้ประสบกับตนเอง หมายถึงได้เห็นกับตาตัวเอง โดยมีการบันทึกเป็นภาพนิ่ง และคลิปวีดีโอไว้เป็นหลักฐาน เป็นการถ่ายทำไว้ในขณะเกิดเหตุนั่นเอง ไม่มีการตัดต่อเติมแต่งแต่อย่างใด เพื่อให้ท่านผู้ชมจะได้พบกับหลักฐานที่เป็นจริง 100 % ส่วนที่ทำปลอมก็ยังมีอยู่บ้าง ซึ่งผู้เขียนก็จะได้นำมาเปรียบเทียบให้เห็นดังนี้


ก้อนหินพญานาคที่ทำปลอม จะเห็นมีร่องรอยผ่าออกแล้วใช้กาวทาไว้ โดนทำ
ตะไคร่น้ำให้ดูเก่าๆ ปิดบังไว้ แต่ถ้านำกระดาษทรายขัดออก จะเห็นกาวที่ทาไว้ได้ชัดเจน


โคตรเพชร - โคตรพลอย

ส่วนภาพที่เห็นต่อไปนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ผู้เขียนก็อยากจะนำเสนอเพื่อการพิจารณาต่อไป เพราะหลังจากออกพรรษาปี 2552 แล้ว ผู้เขียนก็ได้เดินทางจากวัดพระร่วงฯ ไปที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย โดยทางวัดก็ได้มีการพบก้อนหินในลักษณะดังกล่าวนี้ด้วย


ก่อนจะบูรณะวัดจนมีความเจริญรุ่งเรืองนี้ เดิมบริเวณนี้มีแต่ซากพระเจดีย์ตามที่ได้เห็นนี้


ต่อมาท่านเจ้าอาวาสได้ขุดพบของมีค่าในบริเวณนี้ ตามที่มีผู้มาเข้าฝันท่าน


ซึ่งได้พบวัตถุโบราณของมีค่ามากมาย เช่น พระพุทธรูปทองคำ พร้อมกับสิ่งของเครื่องบูชา


อันมีแก้วมณีหลายหลากสี มีทั้งก้อนใหญ่และก้อนเล็ก ตามที่ทางวัดเขียนบอกไว้ว่า "โคตร" นั่นเอง
ส่วนภาพขวามือของเรา จะเห็น "หินพญานาค" วางอยู่ในพานทอง



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2040
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 12/3/10 at 08:46 Reply With Quote


(Update 12-03-53 ตอนจบ)



สำหรับภาพนี้ได้ไปบันทึกภาพที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ในเขต อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก พระรูปนี้
ท่านได้นำมาให้ชมเป็นการส่วนตัว เนื่องจากขุดได้ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง มีลักษณะคล้ายหลักหมุดตรึงแผ่นดิน
ทำด้วยทองเหลืองแท้ ลงอักขระขอมโบราณมีเลขยันต์ด้วย โดยตอกลงไปในดินลึกลงไปเป็นเมตร


ก้อนหิน (ก้อนใหญ่) บางส่วนที่ผูกผ้าสีบูชาไว้ที่ยังไม่ได้ทุบ


หลังจากที่ท่านมอบให้ผู้เขียนก้อนหนึ่งแล้ว จึงให้ผู้เขียนอธิษฐานเอาเอง ในตอนนั้นกำลัง
คิดจะสร้างพระใหญ่ ปรากฏว่าพอทุบออกมา ได้พบ "พระพุทธรูป" องค์เล็กๆ สีเหลืองอ่อน


ส่วนคนอื่นๆ ที่ไปด้วย ท่านก็ได้มอบให้คนละก้อน ต่างคนต่างอธิษฐานกันแล้ว ท่านก็เอามีดมาผ่าออก
ที่ละก้อน แล้วได้พบ "เพชรพญานาค" หลายหลากสี ตามที่ได้เห็นรวมกันอย่างนี้ ส่วนของผู้เขียนท่าน
ก็ได้นำไฟฉายออกมาส่อง จะเห็นองค์พระมีประกายที่พระเศียรสวยงามยิ่ง

คลิปที่ 1 คลิปที่ 2

คลิปวีดีโอที่ถูกบันทึกภาพไว้โดยบังเอิญ เพราะไม่คิดว่าจะพบ "พระพุทธรูป" องค์เล็กๆ อยู่ภายในก้อนหินนี้




ภาพรวมทั้งหมดเป็น "เพชรพญานาค" ที่ทีมงานฯ พิสูจน์แล้วว่าเป็นของจริงทั้งสิ้น









เพชรพญานาคหลายหลากสี โดยมีรูปพรรณสัณฐานแตกต่างกัน




ภาพรวมที่ขยายออกมาให้ "พระขรรค์" สีทอง, สีแดง และ "พระพุทธรูปปางนาคปรก" ที่พบได้ในก้อนหินเหล่านี้




ภาพสุดท้ายนี้ เป็นภาพ "เพชรพญานาค" ลูกใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบเห็น น้ำหนักประมาณ 180 กก. อันเป็นตอนจบของเรื่องนี้ ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลและภาพจากเว็บไซด์ต่างๆ พร้อมทั้งข้อวินิจฉัยให้ท่านผู้อ่านได้เป็นข้อคิด ส่วนเรื่องถูกหรือผิดก็แล้วแต่จะเห็นสมควร ถึงอย่างไรก็ตาม ต้องขออนุโมทนาที่ท่านได้ติดตามเรื่องราวกันมาตลอด..สวัสดี.


webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2040
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 21/10/12 at 08:37 Reply With Quote


เพชรพญานาค ขุมทรัพย์วังบาดาล พิสูจน์กันว่าจริงหรือไม่ ?


......คุณตู่ - คุณรุ่ง อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก นำมาถวาย เมื่องานวันคล้ายวันเกิดพระอาจารย์ชัยวัฒน์ เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2555 หลังจากนั้นได้มีการบูชาแล้วก็ทุบก้อนหินใหญ่นี้ แต้งก็ต้องทุบอยู่นาน เมื่อทุบแล้วจึงพบรอยพระพุทธบาทคู่ สีแดงเข้ม อยู่ภายในก้อนหินใหญ่






......ภายในตู้กระจกจะเห็นแก้วมณีนาคาพร้อมกับก้อนหินแสดงไว้หลายก้อน พร้อมกับคำอธิบายสั้นๆ ซึ่งมีทั้ง พระขรรค์ที่มีเศียรพญานาคและอักขระ, เขี้ยวแก้วเศียรพญานาค, หอยสังข์, นาคพันน้ำเต้า เป็นต้น ซึ่งมีการถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐานโดยมิได้มีการตัดต่อใดๆ ทั้งสิ้น (คุณแพรว ดร.สุภาวดี พรประสิทธิ์กุล เป็นผู้บันทึกวีดีโอ)


ถ้าต้องการชมคลิปวีดีโอ (ของจริง) กรุณาใส่ "ชื่อสมาชิก" และ "รหัสผ่าน" ก่อนที่นี่แล้วจึงจะ Link ไปหาข้อมูลดังกล่าว.


ชื่อสมาชิก รหัสผ่าน


**ถ้าไม่ได้เป็นสมาชิกเข้าดูได้เลย..
http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=962



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2040
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved