ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
[*] posted on 26/6/08 at 16:06 Reply With Quote

น.พ.อาจินต์ บุณยเกตุ พบวิญญาณ ด.ญ.พิมพวดี


☺...ติดตามชม "คลิปวีดีโอ" เรื่องนี้จากละครชุด "บันทึกกรรม" ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2553

http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=714

น.พ.อาจินต์ บุณยเกตุ พบวิญญาณ ด.ญ.พิมพวดี ณ โรงพยาบาลศิริราช



เรื่องนี้นำมาจาก "หนังสือที่ระลึก 40 ปี นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ พบวิญญาณหนูพิมพวดี ณ ร.พ.ศิริราช"


ตอนที่ 1

ถึงแม้ข้าพเจ้าเรียนมาทางสายวิทย์ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่คิดว่าวิทยาศาสตร์ยังเป็นสิ่งที่หยาบเกินกว่าจะสัมผัสเรื่องละเอียดลึกซึ้งบางเรื่องได้ ได้อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่น่าจะไขว่คว้าไปมากกว่าการได้ทำบุญกุศลความดี โดยเฉพาะการทำวิปัสสนา เพราะเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่เราจะนำไปได้ในชีวิตหลังความตาย ขอให้พ่อได้ไปสู่สุคติและได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี...

เริ่มเรื่องกันเลย

เหตุที่ผมจะนำเรื่องนี้มาเล่าให้คุณผู้อ่านฟังก็เพราะ ในปลายปี 2529 ต่อกับวันปีใหม่ พ.ศ.2530 คณะพรรคสูงอายุหลายท่าน ซึ่งผมขออนุญาตเอ่ยนามของท่านไว้ ณ ที่นี้ คือ คุณหญิงวัลลีย์ วีระปรีย์ พล.ร.ต.ประจวบและแพทย์หญิงอัมพิกา พลกล้า คุณสมบัติ คงจำเนียร และม.ร.ว.ทอศรี ภรรยา ศจ.น.พ.สมบัติ สุคนธพันธ์ แห่งโรงพยาบาลศิริราช นพ.สมพงษ์ บุรุษรัตนพันธ์ ผอ.สำนักแพทย์กทม. พล.ต.กมล พิจิตรคดีพล คุณเสนาะ นิลกำแหง อดีตเสรีไทยสายอังกฤษในสมัยสงครามโลก และอีกหลายท่านรวมทั้งผมด้วย (น.พ.อาจินต์ บุณยเกตุ)

ได้จัดคณะท่องเที่ยวสูงอายุไปพักผ่อนทางเหนือ พร้อมกับเล่นกอล์ฟกันทุกสนามที่ผ่านได้แก่ จ.ลำปาง และสุดท้ายที่เชียงใหม่ สมาชิกที่เหมารถไปเที่ยวกันคราวนี้ร่วม 30 คน อายุรวมกันก็เห็นจะกว่า 1600 ปี เราออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดวันที่ 29 ธันวาคม และกลับกรุงเทพฯ ตอนค่ำวันที่ 2 มกราคม เลยปีใหม่ไปหนึ่งวัน และในปี 30 ต่อ 31 ก็ประพฤติกันแบบนี้อีก ไม่รู้จักเบื่อหน่ายกันบ้างหรืออย่างไรไม่ทราบ

ในระหว่างเดินทางทั้งไปและกลับในรถทัวร์ที่เช่าเขาไป เพื่อแก้เหงาบรรเทาง่วง เราก็เฮฮากันไป สนุกสนานกันไป ซึ่งถ้าหนุ่มสาววัยหวานไปด้วยคงหาว่าเราเชยเต็มที ก็นิทานเก่าๆเอาออกมาเล่ากัน เพลงที่ร้องกันในรถก็โน่นเพลงของ "พรานบูรพ์" ของ "จำรัส สุวคนธ์" ของท่าน "ม.ล.พวงร้อย" นานๆ ทีจึงจะมีเพลงปัจจุบันสักเพลงสองเพลง อย่างดีก็ของ "ครูเอื้อ" นานๆ ทีก็มีของ "ดนุพล แก้วกาญจน์" "สุชาติ ชวางกูร" สักเพลงสองเพลง ซึ่งถ้าตัวมานั่งฟังอยู่ด้วยคงปลงว่า อนิจจา เพลงของเราเป็นอย่างนี้ไปแล้วหรือ...

เป็นอันว่าการท่องเที่ยวเล่นกอล์ฟก็สิ้นสุดลงที่สนามเชียงใหม่ พอวันที่ 2 มกราคม เราก็เดินทางกลับ ออกจากเชียงใหม่ราวๆ 8 นาฬิกา พอรถออกไปได้หน่อยก็ประพฤติอย่างขาไปอีก ทีนี้พอถึงนครสวรรค์หลังอาหารกลางวัน เราก็ออกเดินทางต่อ พรรคพวกในคณะต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ จึงขอให้คุณหญิงวัลลีย์บอกผมว่า ขอฟังเรื่องของ "วิญญาณ" ที่ผมพบในรูปของ "เด็กหญิงพิมพวดี" ที่ยังติดอยู่ในใจของอีกหลายๆคน

หลายคนที่ได้อ่านเรื่องของผมที่ท่าน "ศจ.เอียน เฟลมมิ่ง" นักวิญญาณศาสตร์ มาสัมภาษณ์ผม แล้วนำไปพิมพ์เป็นเรื่องหนึ่งในหนังสือของท่าน เผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา เมื่อราวๆพ.ศ.2506 หรือ 2507 ก็สนใจ รวมทั้งบางท่านที่เคยอ่านจากหนังสือรายสัปดาห์ฉบับนั้นด้วยว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร

ทุกคนในรถเงียบสงบอย่างกับฟังปาฐกถาที่น่าฟัง ในเมื่อผมพูดได้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ได้เกิดกับตัวผม ไม่ว่าจะพูดที่ไหนกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็อย่างนี้ ผมเริ่มเรื่องว่า

ผมได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) ทางด้านขวา เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น อายุราวๆ 16-17 ปี ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีน และก็เป็นเรื่อยมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นๆ หายๆ โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวา ตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว

ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่น อายุยังน้อย อาการก็ไม่รุนแรงทรมานมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆหน่อยก็บรรเทาไปได้ ได้ขอให้อาจารย์ที่ศิริราชตรวจ ท่านก็บอกว่าสายตามีส่วนช่วยให้ปวดประสาทได้ เพราะสายตาไม่ดี ผมก็เลยสวมแว่นตามาตั้งแต่อายุยี่สิบปีจนบัดนี้

สรุปว่าผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี ตอนที่เป็นนายแพทย์ผู้อำนวยการที่ จ.ภูเก็ตก็เป็น ตอนที่ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา 3 ปี ก็เป็นทั้ง 3 ปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอม พอจะผ่าตัดมันก็เกิดหาย ปวดเพราะมันเป็นๆ หายๆ หมอที่นั่นเลยไม่กล้าผ่า ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ อยู่ฝ่ายวิชาการ เกิดปวดมากอีกหนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่ศิริราชตอนนี้เอง

โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ "คุณหมอสิระ บุณยรัตเวช" หัวหน้าศัลยกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท ( ท่านผู้นี้เองที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดน้ำยาเข้าไปในสมอง ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ให้หมดสภาพไปเลย) ท่านบอกว่าหนึ่งในสาเหตุของโรคนี้ก็คือ เส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดเส้นประสาทสมองเส้นที่ห้านี้

เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกที หนักๆเข้าก็ระบม ปวดอย่างนี้คนโบราณเรียกว่า " ลมตะกัง" หมอปัจจุบันเรียกไมเกรน หรือ ติ้ค เดอลารู หรือ ไทรเจมินัล นิวราลเจีย ซึ่งมันก็ชื่อเดียวกัน การรักษายากมาก

ตอนปีพ.ศ.2505 นั้น คุณหมอสิระยังไม่กลับจากการศึกษาต่อจากอังกฤษ ท่านเรียนจนสำเร็จเป็นราชบัณฑิตในวิชาศัลยศาสตร์แห่งประเทศอังกฤษ ท่านกลับมา พ.ศ.2507 หรือราวๆนั้น ท่าน "ศ.นพ.อุดม โปษกฤษณะ" เป็นผู้รักษาผม "ศ.นพ.วิชัย บำรุงผล" แห่งภาควิชาศัลยกรรม และ "ศ.นพ.สมบัติ สุคนธพันธ์" ฝ่ายโรคทางยา มาร่วมด้วย ทั้งสองท่านหลังนี้เป็นเพื่อนกัน ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่มันไม่หาย

ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียดและรักษาที่ "ตึกวิบุลลักสม์" ชั้นล่าง ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูง แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน คืนหนึ่งราวๆสองทุ่มเศษๆ โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย พยาบาลให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ก็ไม่สงบ

เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วภาวนาบริกรรม "พุทโธๆๆ" ทำอาณาปานสติไปเรื่อยๆ ที่ผมทำแบบนี้ได้ก็เพราะเมื่อปี พ.ศ.2500 ผมบวชพระที่ "วัดราชาธิวาส" 1 พรรษา วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่ อาการปวดก็สงบลง มันก็เป็นเช่นนี้ คือปวดสักพักแล้วก็บรรเทา พอสงบ ผมก็เลยสงบจิตทำสมาธิต่อ

ประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ ผมมองเห็นอะไรรางๆ ก็ลืมตาขึ้นมาพลางถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่ 2 คนนี้ว่า " ใครมา..." ได้รับคำตอบว่า " ดึกแล้ว ไม่มีใครมาหรอก..." ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัด ขนาดลืมตามองก็เห็นชัด ว่ามีเด็กผู้หญิงผู้หนึ่งรูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนอย่างกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่หน้าตายังเด็ก มายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล เมื่อเห็นเช่นนี้ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า

" หนูเป็นใคร มาทำไมที่นี่ " ผมพูดออกมาดังๆเพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน รวมทั้งคุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์จนทุกวันนี้ และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย

ภรรยาจึงมาเขย่าแขนและพูดว่า... " เธอๆ นี่ อยู่นี่ๆๆ " ก็คงนึกว่าผมปวดมากจนเพ้อ

ผมก็บอกว่า "ไม่ได้เพ้อหรือเสียสติอะไรหรอก แต่มีใครเห็นไหม หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่ "

สองคนนั้นตอบว่า " ไม่มีใครแล้ว ดึกแล้ว..."

ผมสังเกตว่าสองคนนั้นเขยิบเข้ามาชิดๆกัน ภรรยาผมก็ทำท่าจะสวดมนต์ เห็นพนมมือไหว้พระปะหลกๆ แต่ผมก็ยังข้องใจ เพราะหนูคนนั้นก็ยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ผมก็เลยพูดออกมาดังๆกับภรรยาและพยาบาลในห้องว่า "จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆจำๆไว้ด้วย..." แล้วผมก็ถามด้วยเสียงออกจะดังๆว่า "หนูเป็นใคร มาทำไมในห้องนี้ "

แม่หนูตอบว่า..." หนูเคยมาป่วยในห้องนี้และตายในห้องนี้ เมื่อประมาณ 2 ปีมาแล้ว..." ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด

" อ้อ หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ แล้วตายที่ห้องนี้... หนูป่วยเป็นอะไรตาย "
" ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ " ภรรยาและพยาบาลช่วยกันจดใหญ่
" หนูเป็นลูกใครหลานใครจ๊ะ "
" คุณตาหนูเป็นพระยาค่ะ ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วย " อ " ลงท้ายด้วย " สิริ " "
ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินทุกคน
" งั้นหนูก็เป็นหลาน..." ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออก แล้วพูดออกมาว่า " หลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ "
หนูคนนั้นก็ตอบว่า " ใช่ค่ะ คุณอาเก่งมาก... "
" แล้วพ่อหนูล่ะ..."
" คุณอาไม่รู้จักหรอกค่ะ..."
ผมถามต่อไปว่า " หนูมีพี่น้องกี่คน "
" มี 3 คนค่ะ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียว " ผมทวนคำพูดดังๆทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย " หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ "

" หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อกลางปีกลายที่ตึกเด็ก เขาบอกว่าเขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติก่อน เขาอยากจะมาหาและมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ..."
จากนั้นแม่หนูคนนั้นก็หายไป หายวับไปเลย...



ตอนที่ 2


ผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยาและพยาบาลที่นั่งอยู่ด้วยฟัง พยาบาลคนนั้นเธอตื่นเต้นมาก พลางบอกกับผมว่าพรุ่งนี้เขาจะไปถามหัวหน้าตึก ขอค้นประวัติและขอทราบว่า ตึกนี้ ห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502 มีเด็กหญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้ห้องนี้หรือเปล่า เพราะเธอแปลกใจและสนใจที่ผมพูดกับแม่หนูคนนั้นเป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน...

จากนั้นผมก็เข้านอนไป โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธๆๆไปด้วย ประมาณห้าทุ่มคืนเดียวกันนี้เอง ด้วยอาการปวดประสาทอย่างแรง ได้ปลุกผมตื่นขึ้นมาอีก แต่สองคนที่อยู่ในห้องหลับไปแล้ว

ตอนนี้เงียบสงัด แต่ผมนอนกุมขมับ กุมศีรษะด้านขวาอยู่คนเดียวด้วยความปวดที่ออกจะรุนแรงเอาการอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆที่หูว่า " เธอ พ่อเธอนอนอยู่นี่ไง... เข้ามาสิ..."

ผมลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นอะไร แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงพูดอีกว่า " เข้ามาสิ มาเถอะ "

ผมลืมตาอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนมายืนที่ข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วนปี๋ ก็คนเก่า อีกคนหนึ่งหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมายืนข้างเตียงผมแล้วพูดว่า " พ่อ หนูมาช่วยพ่อ..." ผมจึงเรียกภรรยาผมและพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า " เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม... เด็กๆมายืนอยู่ที่นี่แน่ะ..."

พยาบาลเปิดไฟในห้องนอนสว่างพรึ่บ แล้วบอกว่า " ไม่เห็นมีใครมาสักคนนี่ค่ะ..."

ผมก็ยืนยัน ( ความจริงนอนยัน เพราะตอนนั้นอยู่บนเตียง ไม่ได้ยืนสักที) ว่า " มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วมายืนอยู่ตรงนี้ นี่ยังไง..." พลางผมก็ยื่นมือออกชี้ไปที่ตัวเด็ก

คุณใบยกเก้าอี้มาสองตัว ให้แขกที่เขามองไม่เห็นนั่งข้างเตียงทันที ภรรยาผมกับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน แล้วทั้งสองคนก็พนมมือ ทำท่าจะสวดมนต์อีกรอบ หนูอ้วนยืนอยู่สักครู่ก็ลาไป " คุณอาค่ะ หนูไปก่อนนะค่ะ " ว่าแล้วก็หายวับไปอีกที...เหลือแต่แม่หนูคนเล็กคนเดียว ตอนนี้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้ แล้วถามว่า

" พ่อปวดศีรษะมากหรือค่ะ "
ผมตอบว่า " ตอนนี้ปวดมากจ๊ะ "
เธอก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะด้านที่ปวดของผมไว้แล้วบอกว่า" สักครู่จะทุเลา..." ต่อจากนั้นสักพักอาการปวดศีรษะก็สงบ
ผมจึงถามเธอว่า " หนูเป็นใคร แล้วทำไมมาเรียกว่าพ่อ..." ตอนนี้สองคนนั้นเริ่มจดอีก
" ชาติที่แล้วมา หนูเป็นลูกพ่อ..." ผมก็ทวนคำพูดของแม่หนูนั้นว่า " อ้อ ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ..."

ต่อไปนี้เป็นคำสนทนาของผมกับเด็กหญิงผู้นั้น โดยผมถามดังๆ และทวนคำตอบดังๆ เช่นเคย

" ชาติก่อนนี้หนูเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิง "
" เป็นผู้หญิงค่ะ "
" หนูเป็นอะไรถึงตาย...ในชาติก่อนนั้น "
" หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น เลยตกแม่น้ำตาย..."
" หนูตายที่ไหน "
" ตกน้ำตายที่ท่าโรงโม่ " ผมไม่รู้จักท่าโรงโม่ จึงถามเธอว่า
" โรงโม่อยู่ไหน "
" ก็อยู่แถวๆ ท่าเตียนนี่แหละ...ไม่ไกลเท่าไหร่ "
" ตอนที่ตกน้ำตายอายุเท่าไหร่..."
" ก็สิบกว่าขวบค่ะ..."
" ชาติก่อนนี้พ่อเป็นอะไร..."
" ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล..."
" ราชมัลเป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก..."
" ราชมัลเป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย..."

ผมได้ฟังแล้วตกใจมาก เพราะชาตินี้ผมไม่ชอบเบียดเบียนใคร ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างใดทั้งสิ้น แล้วจึงถามแม่หนูนั้นว่า " ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย "

เธอตอบผมว่า " ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษทรมานเขา กรรมก็ตามสนองในชาตินี้ " ผมแย้งว่า " ก็เราทำตามหน้าที่ ลูกบอกว่าหน้าที่คือควบคุม ลงโทษ ทรมาน ถ้าเราไม่ทำเราก็ผิด..."

แม่หนูก็ตอบว่า " ครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่สูงดำ ถูกฎีกาว่าฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่างๆแก่ราษฎร ความจริงเขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านรวมหัวกันไปใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถาม เขาไม่ได้ทำเขาก็ไม่รับ ราชมัลก็คือ "พ่อ" ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคา ตอกเล็บเขา แล้วเอาเครื่องมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบเพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย

พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีกเพื่อให้เขารับว่าเป็นสัตย์ เขาก็ไม่รับ ในที่สุดเขาทนทรมานไม่ไหว เขาก็ขาดใจตาย ก่อนตายเขาผูกใจพยาบาทอาฆาตไว้ว่าจะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร... ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้วจึงได้ป่วยเช่นนี้..." ผมทวนคำพูดของแม่หนูน้อยทุกอย่าง ภรรยาและพยาบาลนั่งจำและจดไว้ทุกคำพูด...

ผมจึงถามต่อไปว่า " เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที..."

แม่หนูตอบว่า " พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมก็สลับกัน กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็มาตามสนองอย่างนี้..."
" แล้วเมื่อไหร่จะหมดบาปหมดกรรม..."
" อีกสี่ปี " แม่หนูตอบว่า " พ.ศ.2508 พ่อถึงจะหมดกรรมนี้ แล้วจึงจะหายป่วย..."
ภรรยาผมนั่งฟังอยู่ตลอด ก็ขอให้ผมถามว่า เมื่อชาติก่อนเธอเกิดเป็นอะไร แม่หนูตอบว่า " คุณแม่เมื่อชาติก่อนนี้เป็นแม่ชี ถือศีลกินเพลอยู่วัดใต้ "
ผมก็ไม่ทราบว่าวัดใต้ไหน...

แม่หนูก็บอกว่า เวลาปวดประสาทมากๆ ให้นึกถึงเธอ เธอจะมาช่วยให้เบาบางลง แล้วก็เอามือมากุมศีรษะข้างที่ปวดพลางก็พูดว่า " พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาตัวไปผ่ากะโหลกศีรษะ..."

ผมก็ย้ำว่า " พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากะโหลกพ่อหรือ..." เธอก็พยักหน้ารับคำ แล้วก็บอกว่า " หนูจะไปก่อนละ..."

พยาบาลและภรรยาผมนั่งสงบอย่างบอกไม่ถูก และแล้วในที่สุดก็ม่อยหลับไปทั้งสามคน รุ่งขึ้นเวลาประมาณ 8 น. อาจารย์หมออุดมมาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่าเมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจนดิ้นถึง 2 ครั้ง ท่านยืนคิดสักครู่แล้วจึงพูดว่า " แปดโมงเช้านี้จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก " แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกว่าให้เตรียมคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด...

ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มทีเพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงก็เพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีข้อสงสัย

สักครู่พยาบาลก็เข้ามาในห้องผม จัดแจงโกนคิ้วโกนผม ด้านขวาขึ้นไปถึงกลางศีรษะ แล้วทำความสะอาด ต่อจากนั้นก็ฉีดยาให้สลึมสลือ ก็ประเภทมอร์ฟีน จวนๆ 8 น. รถเข็นคนไข้ก็มาเทียบ เอาตัวผมนอนเปลเข็นไปห้องผ่าตัด โดยมีภรรยาผมเดินตามไปด้วย ผมเองตอนนั้นก็จะหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว ...และแล้วผมก็หมดสติไปเมื่อได้รับยาสลบที่ห้องผ่าตัด



ตอนที่ 3

ผมมาทราบตอนหลังว่า ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ผมได้รับการผ่าตัดนั้น พยาบาลในห้องได้ไปคุยกันกับหัวหน้าตึกและคุยกันต่อๆไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ทุกคนมีอาการเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็แปลกใจทุกคน ที่ประหลาดใจมากก็คือ ในเมื่อผมเรียนจบจากศิริราชไปตั้งกว่าสิบปี จบแล้วออกไปเลย ไม่ทำงานอยู่ในนั้น เหตุไฉนจึงทราบเรื่องเด็กหญิงที่เป็นโรคอ้วนและเด็กหญิงถึงแก่กรรมที่เตียงที่ผมนอนป่วยใน "ตึกวิบุลลักสม์" และเธอตายในปีนั้นๆ

ด้วยความสนใจ พยาบาลหัวหน้าตึกได้ไปค้นประวัติสืบประวัติของผู้ป่วยที่มาป่วยตึกนี้ในปี 2502-2503 ค้นอยู่นานเพราะไม่ทราบชื่อผู้ป่วย และในที่สุดก็ค้นมาจนได้ว่า ได้มีเด็กหญิงหนึ่งคนป่วย และถึงแก่กรรมที่ห้องนี้ด้วยโรคอ้วนจริง ความประหลาดใจในหมู่คนที่รู้เรื่องก็ชักจะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาทีละน้อยๆ แต่พอพยาบาลที่เฝ้าเธอบอกว่าเด็กมาหาคุณหมอ ที่บอกว่าเป็นลูกในชาติก่อน เมื่อคืนนี้บอกว่าจะถูกผ่าตัดที่ศีรษะเช้าวันนี้ พอวันรุ่งขึ้นเช้า อาจารย์หมออุดมก็มาเอาตัวไปจริงๆ

" แปลกนะเธอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ..." พยาบาลสาวพึมพำกันทั้งตึก และจากตึกนี้ก็ไปตึกโน้น ไปจนทั่วโรงพยาบาลภายในไม่กี่วัน

อาจารย์หมออุดมท่านเคยรักษาโรคนี้ให้ผมมาสองสามครั้งแล้ว โดยฉีดยาเข้าไปในกะโหลกศีรษะ หมายจะให้ยาไปทำลายประสาทที่ปวด แต่ไม่ได้ผล มันเหมือนกับตีงูให้หลังหัก โรคนี้อาละวาดใหญ่ ที่ฉีดยาเข้าไปในศีรษะนี้ประมาณ 4 ครั้งใน 2 ปี เมื่อฉีดยาไม่ได้ผล ท่านก็เลยผ่าลงไปในสมองตัดปมประสาทเสียเลย โดยเจาะกะโหลกศีรษะด้านขวาเหนือหูขึ้นมาหน่อย

คงจะเหมือนกับชาติก่อนที่ไปบีบขมับเขาตามที่แม่หนูเธอว่า... เจาะแล้วเอากระดูกกะโหลกออกมา ขนาดราวๆ เหรียญสองสลึง ทำให้มีรูเกิดขึ้น จากนั้นก็เอามีด เอากรรไกร เข้าไปตัดเส้นประสาทเส้นที่ 5 แต่อาจารย์ท่านว่า การผ่าตัดทำด้วยความยากลำบากมาก เพราะเรื้อรังมานาน ประกอบกับได้รับการฉีดแอลกอฮอร์เข้าไปหลายหน มันก็เกิดพังผืดขึ้น ผลการผ่าตัดไม่น่าพอใจเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าคงให้ผลไม่น้อย

การผ่าตัดประสาทสมองนี้กินเวลาราวๆ 4 ชั่วโมง เพราะความยากลำบากดังกล่าว พอราวๆเที่ยง เขาก็เข็นรถกลับมาที่เดิม ในห้องมีแม่ผม ภรรยา พ่อตา แม่ยาย ซึ่งทั้งสองท่านนี้มีศักดิ์เป็นลุงเป็นป้าของผมด้วย ทุกคนก็คิดว่าผมคงตายไปแล้ว เพราะนานเหลือทนระหว่างที่คอยรับผมในห้องพยาบาล และภรรยาก็เล่าเรื่องทั้งหมดเมื่อคืนให้ทุกคนได้ฟัง ต่างก็รับฟังโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ

ค่ำนั้นก็เกิดอาการปวดขึ้นมาอีก ทีนี้ปวด 2 อย่าง คือ ปวดเจ็บในสมองที่ผ่าตัด ปวดแผล มิหนำซ้ำ โรคปวดเดิมก็ไม่ทุเลา ทำให้เกิดทุกข์ทรมานกว่าเก่า มือทั้งสองก็กุมที่แผล กุมศีรษะร้องปวดดิ้นไป และแล้วก็นึกได้...
“ หนู..ช่วยพ่อด้วย “ ผมตะโกนออกมาดังๆ

ในห้องนั้นมีญาติพี่น้องมาเยี่ยมกันมากมาย ต่างก็ได้รับฟังเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ทุกคนสงบ มีแต่ผมผู้เดียวทุรนทุรายอยู่บนเตียง...

ชั่วอึดใจเดียว ก็ปรากฏร่างของเด็กหญิงที่บอกว่าเคยเป็นลูกผมเมื่อชาติก่อนมานั่งอยู่ข้างเตียง ผมจึงถามว่า “ มาแล้วหรือลูก... ลูกช่วยพ่อที ตอนนี้ปวดเหลือทนแล้ว...”

แม่หนูก็เอามือมาวางที่ศีรษะ แล้วพูดว่า “ เดี๋ยวจะทุเลา “

ก็เป็นจริงอย่างว่า อาการปวดก็บรรเทาลง พยาบาลซึ่งถือเข็มฉีดยามาจะฉีดให้ก็เลยไม่ต้องฉีด คุณใบก็ช่วยยกเก้าอี้ให้แขกที่แลไม่เห็นนั่งอย่างเคย...

แม่หนูก็นั่งอยู่ข้างเตียง เอาศอกยันเตียง เอามือเท้าคางตามเดิม ผมก็ถามว่า “ หนูอ้วนไปไหนล่ะ “

เธอตอบว่า “ ไม่ได้มาวันนี้... “
ทุกคนในห้องฟังผมโต้ตอบพูดคุยกับแม่หนู ผมถามต่อไปว่า “ หนูชื่ออะไรจ๊ะ “
เธอตอบว่า “ ก่อนที่จะตายนี้ หนูชื่อพิมพวดี “
“ หนูเป็นอะไรตาย... “
“ เป็นไข้เลือดออกตายค่ะ... “
“ ตายที่นี่หรือ...”
“ ตายที่ตึกเด็กค่ะ “
“ ตายเมื่อไหร่จ๊ะ... “
“ เมื่อปี 2503 ค่ะ “
“ หนูมีพี่น้องกี่คน “
“ มี 5 คนค่ะ “
“ ผู้หญิง ผู้ชายกี่คน “
“ หนูเป็นผู้หญิงคนเดียวค่ะ “
“ พ่อแม่เสียใจมากไหมที่หนูตายจากไป “

“ พ่อแม่เสียใจมาก เพราะหนูเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว พ่อสร้างพลับพลาอุทิศส่วนกุศลให้หนูที่วัดมกุฎฯ เอาชื่อหนูไปตั้งชื่อพลับพลานี้ มีรูปหนูแล้วมีคำจารึก มีศพของหนูฝังอยู่ในนี้ด้วยค่ะ... พ่อดีขึ้นแล้ว หนูขอลาไปก่อน แล้วจะมาหาพ่ออีกนะจ๊ะ...”

คำพูดทุกคำระหว่างแม่หนูพิมพวดีกับผม ทุกคนได้ยินได้ฟังและฟังอย่างตั้งอกตั้งใจจริงๆ พยาบาลมาฉีดยาให้ผมอีก แล้วผมก็หลับไปจนเช้าโดยไม่มีอาการปวดรุนแรงมารบกวนอีกเลยในคืนนั้น

เหมือนกับยังไม่สิ้นกรรมสิ้นเวร อาการของโรคที่สงบไปคืนหนึ่งนั้น พอรุ่งเช้าก็เอาอีก ปวดอีก ทุรนทุราย ร้องครวญครางอีก อาจารย์ท่านก็มาดูอาการทุกเช้าทุกวัน สั่งการรักษาทุกวัน เช้าสบาย สายปวด กลางวันสบาย บ่ายปวดดิ้น หรือพอตอนเย็นสบายชื่นฉ่ำ พอค่ำก็ร้องคราง เป็นอย่างนี้อีก 3 หรือ 4 วัน

ทุกครั้งที่ปวด ผมจะนึกถึงหนูพิมพวดีทันที ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ถ้าเป็นกลางวันก็จะได้ยินเสียงพูดว่า “ พ่อ..หนูมาแล้ว ” แล้วเธอก็จะเอามือมาช่วยกุมที่ปวดจนผมทุเลา คำพูดที่ผมพูดคือ “ มาแล้วหรือลูก...” ทุกคนที่มาเยี่ยมผม หรือมาอยู่ในห้อง จะเงียบสงบ คอยฟังคำพูดของผมที่พูดกับวิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์อย่างใจจดใจจ่อเหมือนนัดกัน



ตอนที่ 4

ในเย็นวันหนึ่ง เย็นมากแล้ว ฯพณฯ ทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นพี่ชายของผม ท่านไปเยี่ยมพร้อมด้วยบุตรชายของท่าน "คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ" หรือที่ญาติๆเรียกชื่อเล่นว่า “บู๊” เป็นคนขับรถพาพี่ชายไปที่ศิริราช ตอนนี้ท่านถึงอนิจกรรมไปแล้ว เหลือคุณวีระวัฒน์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม คุณทวีเป็นประจักษ์พยานท่านหนึ่ง

โดยในขณะนั้นอาการปวดของผมกำเริบอีก ปวดมากขึ้นๆ ผมก็นอนร้องเรียกหนูพิมพ์ให้มาช่วย คุณทวีท่านทราบเรื่องอยู่บ้างแล้วจากปากคำของญาติๆ ท่านก็เลยนั่งอยู่ ปกติท่านไปเยี่ยมผมบ่อยมาก แต่ไปนั่งไม่นาน เพราะท่านทนความสงสารในความทุกข์ทรมานของผมไม่ไหว เย็นนั้นท่านนั่งอยู่นานหน่อย พอดีผมปวดมาก แล้วร้องเรียกหนูพิมพ์ว่า “ ลูก มาช่วยพ่อที “

คุณทวีทราบเรื่องนี้จากญาติพี่น้องมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ท่านมาเห็นพอดี คือผมเรียกหนูพิมพ์ หนูพิมพ์ก็มา ผมก็ถามเธอว่า “ ผ่าแล้วทำไมยังไม่หายอีก ”

หนูพิมพ์ตอบว่า “ ยังไม่หาย ยังไม่หมดเวรกรรมที่ทำไว้...”
“ แล้วเมื่อไหร่จะหาย ” เธอตอบว่า “ ราวๆอีก 4 ปี พ.ศ. 2508 นั่นแหละ ”
ผมถามดังๆ ต่อไปว่า “ แล้วทำอย่างไรต่อไป ”
เธอตอบว่า “ พรุ่งนี้ 8 โมงเช้า หมอจะเอาตัวไปผ่าอีก จะต้องผ่าอีก 2 ครั้ง รวม 4 ครั้งในคราวนี้...”
ผมก็ทวนคำพูดของเธอแล้วร้องว่า “ ต้องผ่าอีก 4 ครั้งเชียวรึ...”

คุณทวีนั่งฟังอย่างสงบ ทุกคนเงียบและคอยฟัง ครู่ใหญ่ๆ อาการปวดก็บรรเทา หนูพิมพ์จึงบอกกับผมว่า “ หนูจะลาไปก่อน วันนี้รีบหน่อย เพราะจะไปรับกุศลที่เขาอุทิศให้ที่พลับพลาพิมพวดี...” ทุกคนได้ยินคำพูดที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์ ผมจึงถามเธอว่า “ เขาอุทิศส่วนกุศลให้เรื่องอะไร”

เธอตอบว่า “ เขาบำเพ็ญกุศลศพใครไม่รู้คืนนี้ที่พลับพลา คนตายมีเหรียญมีตรา มีสายสะพาย” ผมก็ทวนคำพูดออกมาดังๆ

คุณทวีที่นั่งอยู่ก็อยากพิสูจน์ จึงให้วีระวัฒน์ลูกชายขับรถยนต์ออกไปเดี๋ยวนั้น ไปดูซิว่าที่พลับพลาพิมพวดี วัดมกุฎฯ มีการบำเพ็ญกุศลใคร ศพเหรียญตราน่าจะรับพระราชทานเพลิงที่สุสานหลวงวัดเทพศิรินทร์ เพราะหนูพิมพ์บอกว่ามีสายสะพาย

คุณวีระวัฒน์ บุณยเกตุ จึงรีบขับรถออกไปจากศิริราชทันที ไปที่วัดมกุฎฯ พอถึง "พลับพลาพิมพวดี" ก็เดินเข้าไปดูหน้าพลับพลา ปรากฏว่าเป็นความจริง คืนนั้นมีการนำศพออกมาจากสุสานมาบำเพ็ญกุศล พรุ่งนี้จะรับพระราชทานเพลิง เป็นศพของรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมก็ลืมชื่อของท่านเสียแล้ว รูปถ่ายหน้าโกศ เป็นรูปเต็มยศ มีเหรียญตรา มีสายสะพายจริง คุณวีระวัฒน์จึงรีบขับรถมาเรียนคุณทวีว่า เป็นอย่างที่ผมทวนคำพูดของหนูพิมพ์ทุกประการ

คุณทวีนั่งสงบ กล่าวออกมาคำเดียวว่า “ แปลกแต่จริง...”

ผมต้องเล่าย้อนไปนิดหน่อย คือตอนที่หนูพิมพ์นั่งอยู่ข้างเตียงผม เอามือเท้าคางยันขอบเตียงอย่างเคย เธอพูดว่า “ เสียดาย...”

ผมถามว่า “ เสียดายอะไร”

เธอตอบว่า “ แก้วระย้าโคมไฟที่พลับพลา คนที่ยกขาหยั่งวางพวงหรีดทำขาหยั่งไปโดนโคมแก้วช่อระย้าตกลงมาแตกหลายช่อทำให้ไม่สวย พ่อแม่ก็ไม่ทราบ อีก 2-3 วัน คุณพ่อหนูชาตินี้จะมาเยี่ยมพ่อ พ่อช่วยบอกคุณพ่อหนูให้ช่วยเปลี่ยนระย้าที่ตกลงมาแตกให้ที หนูไม่สบายใจ...” ผมทวนคำพูดนี้ให้ทุกคนได้ยิน ทั้งคุณทวีด้วย ก่อนที่คุณวีระวัฒน์จะกลับมาจากวัดมารายงานเรื่องศพที่พลับพลานั้น

คุณทวีและบุตรชายกลับไปด้วยความประหลาดใจว่าผมนอนเจ็บอยู่ที่เตียงตั้งสิบกว่าวัน ทำไมรู้เรื่องที่จะเผาศพรองอธิบดีกรมเจ้าท่า และศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่พลับพลาพิมพวดี... วิญญาณคงมาบอกจริงๆ วิญญาณมีจริงหรือ คนตายแล้วยังวนเวียนอยู่ หรืออะไรที่มาพูดกับน้องชาย ผมว่าท่านคงนั่งคิดนอนคิดไปนาน

คืนนั้นผมปวดอีกครั้งหนึ่ง พอเช้า "อาจารย์หมออุดม" ก็มาเยี่ยมเช่นเคย พอทราบว่ายังปวดอีก ท่านก็ยืนคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วหันมาสั่งพยาบาลว่า ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมคนไข้นี้ไปห้องผ่าตัดอีกที เช้าวันนี้ก่อน 8 น.

ผมตะลึง ภรรยาและพยาบาลงง ทุกคนในตึกนั้นเมื่อทราบคำสั่งก็ประหลาดใจ เพราะพยาบาลที่เฝ้าเธอเล่าให้เพื่อนๆฟังตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วว่า เช้านี้ผมจะต้องถูกผ่าอีก เพราะหนูพิมพ์บอกล่วงหน้าไว้

แล้วผมก็ถูกนำไปห้องผ่าตัด ดมยาสลบ ผ่าตัดดึงเอารากประสาทเส้นนี้ออก โดยพยายามดึงเอาออกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ราวๆเกือบเที่ยงก็กลับมาห้องนอนที่ตึกพัก โดยสลบมาบนรถเปลตามเคย

พอฟื้นมา อาการปวดเจ็บแผลก็มาแทน แต่อันนี้ระงับได้ด้วยการฉีดยา พยาบาลมาฉีดยาระงับปวดให้เป็นระยะๆ พอค่ำลงก็สงบ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เข้ามาเยี่ยมกันมากมายตามเคย ที่มาเยี่ยมจริงๆก็มี ที่อยากรู้เรื่องวิญญาณของเด็กที่มาช่วยผมก็มี

พอสักสามทุ่มคืนนั้น หนูพิมพ์ก็มาอีกตามเคย เธอเอามือมาวางที่ขมับผม ปวดทั้งแผลผ่าตัดและที่ปวดอยู่เดิม ทำอย่างไรมันก็ไม่หาย ผมนอนทนเอา ภาวนาบริกรรมไปจนหลับไปในที่สุด แล้วเธอก็กลับไปเมื่อผมสงบ

ข่าวลือจากปากต่อปากไปไกลยิ่งกว่าประชาสัมพันธ์ทางสื่อมวลชน และก็แน่นอน ข่าวนั้นก็ย่อมต้องมากกว่าความเป็นจริง จนวันหนึ่ง "คุณชิต สุวรรณปัทม์" เคยเป็นพยาบาลอาวุโสที่ "สายนัดดา" คลีนิคของท่าน "น.พ.ม.ล.เต่อ สนิทวงศ์" ซึ่งผมเคยทำงานอยู่กับท่านเมื่อ พ.ศ.2493 เป็นคนชอบพอกันในสมัยที่ทำงานอยู่ด้วยกัน
เธอมาเยี่ยมแล้วบอกกับผมว่า จะมีคนมาพบและมาคุยเรื่อง "หนูพิมพ์" ผมก็บอกเธอว่า ก็มีอย่างที่พยาบาลและภรรยาผมได้ยินได้ฟังก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น คุณชิตนี่ถึงแก่กรรมไปเมื่ออายุราวๆ 70 ปี เมื่อ 4-5 ปีมานี่

ถัดต่อมาอีกวันหรือสองวัน เย็นๆมีชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักกันมาก่อน มาขอเยี่ยม ดูเหมือนจะเป็นเวลาประมาณ 18-19 น. ขณะนั้นผมอาการดีขึ้นนิดหน่อยไม่ใช่กำลังปวดประสาท สองท่านก็มานั่งสนทนาด้วย แล้วก็เลียบเคียงเข้ามาถามเรื่องหนูพิมพ์ ผมก็สรุปให้ท่านฟังนิดๆ หน่อยๆ มีภรรยาและพยาบาลที่เฝ้าคอยเสริมให้แจ่มชัดขึ้น สองท่านนี้เอาพวงมาลัยดอกมะลิพวงใหญ่มาแขวนให้ผมที่หัวนอนเตียง ในห้องบังเอิญจุดธูปหอมบูชาพระ กลิ่นผสมกันหอมพิกล ทำท่าจะเป็นวัดหรือศาลเจ้าไหหลำไปโน่น

สักครู่ใหญ่ คุณผู้ชายที่มาด้วยก็ขออนุญาตเอารูปถ่ายเด็กๆ ผู้หญิง ราวๆสักสามสิบใบเห็นจะได้ มาวางเรียงๆกันบนที่นอน ผมชักสงสัยว่าท่านจะมาทำพิธีปัดรังควาน หรือทำพิธีแขกที่เรียกว่า “ อิศวระกุมารี ” คือเอาเด็กๆ พรหมจรรย์มาบูชาพระอิศวร บนบานศาลกล่าวให้ผมหายป่วยไข้หรืออย่างไร แต่ไม่ใช่

พอท่านค่อยๆ เอารูปถ่ายขนาดสัก 2 นิ้วบ้าง 3 นิ้วบ้าง มาวางเรียงเต็มหน้าเตียงที่ผมนอนอยู่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ถามว่า “ คุณหมอช่วยชี้ซิครับ ว่าคนที่มาหาคุยกับหมอแล้วบอกว่าชาติก่อนเป็นลูกสาวคุณหมอและชาตินี้เกิดมาเป็นลูกสาวผมน่ะ คนไหนในรูปถ่ายที่นำมาเรียงอยู่นี่”

ผมลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบแว่นตามาสวมดูไปทีละรูป ๆ ดูไม่นานนักโดยวิธีหยิบรูปที่ไม่ใช่หนูพิมพ์ออกมากองไว้พวกหนึ่ง หยิบออกมากองทีละใบ ๆ เหลือใบสุดท้ายทิ้งไว้บนเตียง 1 ใบ แล้วก็หยิบรูปนี้ขึ้นชูพลางบอกว่า “หนูคนนี้แหละครับที่มาหาผมทุกวัน...”


ทั้งสองท่านที่มาเยี่ยม หุบรอยยิ้มที่มุมปาก คุณผู้หญิงร้องไห้โฮใหญ่ คุณผู้ชายเช็ดน้ำตา แล้วบอกว่า “ใช่แล้วครับ รูปนี้คือรูปถ่าย "หนูพิมพวดี" ลูกสาวผม ถ่ายในเครื่องแบบนักเรียน ส่วนรูปอื่น ๆ นั้นเป็นรูปเพื่อน ๆ ของหนูพิมพ์”

5-6 ชีวิตในห้องพักคนไข้ที่ผมนอนป่วยอยู่เงียบหมด แทบไม่ได้มีแม้แต่เสียงลมหายใจ ต่างคนต่างก็เขยิบเข้ามาดูรูปหนูพิมพ์ที่วางอยู่บนเตียง ซึ่งตอนนี้อยู่ในมือผม

พอบรรยากาศเริ่มคลี่คลายในทางปกติขึ้นแล้ว ท่านที่มาเยี่ยมก็บอกว่า “ผมทราบจากคุณชิต ก็เลยมาถือโอกาสเยี่ยมและสอบถามถึงลูกสาวผม... ทุกวันนี้ผมก็ยังระลึกถึงหนูพิมพ์อยู่เสมอ แกเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูมาก ท่านั่งประจำของแกก็คือท่านั่งเท้าคาง เอาข้อศอกยันพื้นไว้อย่างที่คุณหมอพูดจริง ๆ ผมชื่อ เสียง โหสกุล ครับ ผมมีกิจการส่วนตัวค้าขายเครื่องอะไหล่รถยนต์ทุกชนิด ที่เป็นตึก 3 ชั้นอยู่ตรงสามแยกสะพานนพวงศ์ทิศใต้ของ "โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์" นี่เองครับ...”

ผมก็ถามคุณเสียงว่า “คุณเสียงมีบุตรธิดากี่คน” คุณเสียงก็บอก ซึ่งผมจำไม่ได้ว่า 3 หรือ 4 คน แต่ที่แน่ๆ มีธิดาคนเดียวคือหนูพิมพ์นี่ เธอป่วยด้วยไข้เลือดออก เสียชีวิตที่ตึกเด็ก โรงพยาบาลศิริราช ประมาณปี พ.ศ.2503 จริง ส่วนเรื่องเด็กหญิงคนอ้วนๆ ที่ตายด้วยโรคอ้วนนั้นไม่ทราบเรื่อง...



ตอนที่ 5

ผมก็ถามคุณเสียงว่า มีอะไรเกี่ยวกับหนูพิมพ์อีกไหม ผมอยากทราบ

คุณเสียงก็พูดว่า เช้าวันหนึ่งพระภิกษุสงฆ์ 5 รูป จาก "วัดเทพศิรินทร์" นี่เอง ได้เดินไปที่ร้านเสรีวัฒนา มีตาลปัตรทุกองค์ และมีลูกศิษย์ตามไปด้วย 2-3 คน พอพระท่านเดินทางไปถึงก็ก้าวเข้าไปในร้าน ลูกศิษย์ก็ร้องบอกว่า “พระมาแล้วครับ” คุณเสียงก็งง จึงถามว่ามาเรื่องอะไร...

พระรูปหนึ่งในคณะก็พูดว่า ที่เมื่อเย็นวานนี้ให้เด็กผู้หญิงไปนิมนต์พระมารับสังฆทาน 5 รูป นิมนต์ให้มาที่นี่ คุณเสียงก็พูดว่าไม่เคยให้เด็กคนไหนไปนิมนต์ พอดีพระองค์หนึ่งเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของหนูพิมพ์ที่ติดไว้ที่ข้างฝา ท่านก็ชี้ว่า “หนูคนนี้แหละที่ไปนิมนต์อาตมา นั่งอยู่ด้วยกัน 3 องค์ ได้ยินชัดทั้ง 3 องค์ ส่วน 2 องค์นั้น อาตมานิมนต์มาให้ครบ 5 องค์ตามที่แม่หนูบอก...”

คุณเสียงตะลึงและงงในที่สุด จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ และเผอิญวันนี้เป็นวันที่ถึงแก่กรรมของหนูพิมพ์ พ่อแม่จะทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้อยู่แล้ว ฉะนั้น ก็เลยเปลี่ยนเป็นทำสังฆทานตามที่หนูพิมพ์ปรากฏร่างไปนิมนต์พระมาให้เสียเลย ก็แปลก..วิญญาณในเรือนร่างของหนูพิมพ์ไปนิมนต์พระมาทำสังฆทาน ตามที่หนูพิมพ์ปรากฏร่าง ไปนิมนต์พระมาทำสังฆทานให้กับตนในวันตายของตนเอง

คุณเสียงถามต่อไปว่า “ตอนนี้หนูพิมพ์อยู่ที่ไหน”

ผมก็บอกท่านว่า “หนูพิมพ์ยังอยู่แถวๆนี้ และมาเยี่ยมผมเกือบทุกคืน โดยมากก็ไม่เว้น แต่บางทีก็มากลางวัน...” ผมก็เลยบอกคุณเสียงว่า “หนูพิมพ์บ่นว่า คนถือขาหยั่งที่วางพวงหรีดเอาขาหยั่งไปเกี่ยวกับระย้าที่โคมไฟกลาง "พลับพลาพิมพวดี" ตกลงมาแตกหลายอัน พ่อเธอไม่รู้เลยไม่มีใครไปทำให้ดีเหมือนเก่า เธอเสียดายมาก”

ผมก็นอนอยู่บนเตียงนี้มากว่า 10 วันแล้ว แล้วก็ไม่เคยไปนั่งในพลับพลาที่ว่านี้ หากจะไปงานศพที่วัดใด ผมก็มักจะนั่งข้างนอกศาลา เพราะข้างนอกเย็นดี ได้รับลม แล้วผมจะรู้ได้อย่างไรว่าในกลางพลับพลานั้นมีโคมไฟระย้าห้อยอยู่ แล้วเดี๋ยวนี้ปลายล่างของโคมไฟตกลงมาแตกหลายอัน...

คุณเสียงจึงให้คนขับรถขับบึ่งไปดูโคมไฟว่าเป็นจริงอย่างที่ผมพูดหรือไม่ คนรถกลับมาในตอนหลังก็มาเรียนคุณเสียงว่า “ระย้าที่ห้อยโคมไฟขาดไปหลายอัน สงสัยจะตกลงมาแตก” ท่านจึงสั่งว่า “พรุ่งนี้ให้รับช่างไฟไปดู แล้วจัดการเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อย...”

คุณเสียงและภรรยานั่งอยู่อีกสักพักก็ลากลับ ก่อนจะกลับ ได้ถามผมว่าหนูพิมพ์พูดหรือเปล่าว่าวิญญาณของเธอจะไปไหนต่อ

ผมก็บอกว่า “อีกไม่ช้าหนูพิมพ์จะไปเกิด และทีนี้จะเกิดเป็นผู้ชาย เธอเคยคุยกับผมว่าอย่างนั้น” พอได้ยินคำนี้ ภรรยาคุณเสียงยกมือไหว้พึมพำๆว่าเกิดชาติใดฉันใด ขอให้เกิดเป็นลูกแม่อีกนะลูก

ก่อนจากกัน ทั้งสองท่านได้ออกปากเชิญผมว่า ถ้าผมหายเมื่อไหร่จะเชิญผมและภรรยาไปบ้าน ไปรับประทานอาหารที่บ้านสักครั้ง บ้านท่านอยู่ถนนสุขุมวิท จะเป็นซอยนานาใต้หรืออย่างไรผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว และเมื่อผมหายป่วยในคราวนั้น กล้บบ้านแล้วผมก็ได้ไปบ้านท่านตามคำเชิญ โดยมีญาติมิตรของท่านมาดูหน้าตาผมและฟังเรื่องนี้อีก

เมื่อตอนจะจากกันในคืนนั้นที่ศิริราช ผมได้ออกปากขอรูปถ่ายของหนูพิมพ์ไว้เพื่อจะได้ดูและอุทิศส่วนกุศลให้เธอเวลาผมสวดมนต์และทำบุญทำกุศล ซึ่งผมก็ปฏิบัติดังนี้มาเป็นเวลากว่า 27 ปีแล้ว ซึ่งท่านก็ได้กรุณามอบใบใหญ่ขนาดโปสการ์ดให้ผมไว้ 1 ใบ เห็นจะเป็นเพราะวันนั้นไม่ได้พักผ่อนและสนทนาพาทีกันมาก พอค่ำลงอาการปวดก็มาเยือนอีก

คราวนี้ปวดบริเวณเหนือคิ้วทางขวามากที่สุด แล้วก็เลยลามไปปวดตั้งแต่ขมับขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม มันทั้งแสบทั้งปวดเหมือนเอาไฟมาอัง ปวดอยู่นาน ผมนึกถึงหนูพิมพ์ไป พยายามเข้าสมาธิไป มันก็ไม่ทุเลา หนูพิมพ์มาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ พอรู้ว่าเธอมาผมก็พูดว่า “มาแล้วหรือลูก...” สองคนที่เฝ้าอยู่ก็นั่งฟังอย่างเคย คราวนี้มีพยาบาลเวรที่ตึกมาฟังด้วย ผมถามว่า “เมื่อไหร่จะหายหรือหมดเวรหมดกรรมเสียที มันทรมานจริงๆ”

หนูพิมพ์บอกว่า “อีก 4 ปี ถึงพบหมอที่รักษาให้หายขาดได้ เมื่อนั้นก็หมดเวร แล้วก็จะมีความสุขตลอดไป เพราะกุศลกรรมตามมาสนองแล้ว...”

ผมถามต่อไปว่า “แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ในตอนนี้ เพราะตอนนี้ก็ปวดมากอีก” เธอก็ตอบว่า “พรุ่งนี้พ่อต้องถูกผ่าตัดอีก คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับงวดนี้และจะเป็นการผ่าตัดที่ทารุณที่สุดในชีวิตของพ่อ...”

ผมทวนคำพูดของเขาอีกว่า “พรุ่งนี้พ่อต้องถูกผ่าอีกหรือ แล้วจะทารุณที่สุดด้วยหรือ...” ทุกคนในห้องเงียบ ทุกคนมีแต่ความเวทนาสงสาร ภรรยาผมนั้นเชื่อสนิท ถึงกับน้ำตาไหลด้วยความรันทดใจ ผมนั่งเอาศีรษะกดไว้ที่ขอบเตียง บางทีก็อยากจะเอากระแทกลงไปที่เหล็กหัวเตียงเพราะความปวด

จิตใจตอนนี้แหละจะอดทนไม่ได้ พยาบาลฉีดยาให้หลับตามที่หมอเวรสั่ง ก็หลับไป พอตื่นก็ปวดอีก แทบตลอดคืน ผมนึกเบื่อตัวเองแทนอาจารย์ที่ท่านตั้งใจรักษา อยากจะให้ตายๆเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปจะได้ไม่ทรมาน แต่มันยังไม่หมดวิบากกรรมก็ต้องทนอยู่ต่อไป

รุ่งเช้า 7 น. อาจารย์ท่านก็มาเยี่ยมอีกตามเคย พอได้รับรายงานจากพยาบาล ท่านก็ยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วหันมาพูดกับผมว่า “เดี๋ยว 8 โมงเช้าเอาไปผ่าอีกครั้ง ทีนี้เลาะประสาทฝอยให้หมดทั้งแถบ มันคงจะไม่มีอะไรมาปวดอีกแล้ว...” แล้วท่านก็หันไปสั่งพยาบาลอย่างเคย

ทุกคนนิ่ง นิ่งด้วยความเวทนา นิ่งด้วยความประหลาดใจ และเชื่อมือว่าทุกครั้งที่หนูพิมพ์มาบอกเป็นต้องไม่มีผิด ข่าวก็ออกจากปากนี้ไปปากโน้นไปปากนั้นตามเคย ว่าวิญญาณหนูพิมพ์มาบอกล่วงหน้าทุกทีว่าจะผ่าเมื่อไหร่ แล้วก็จริงทุกที...

พอราวๆแปดนาฬิกา รถเข็นก็มาอีก คราวนี้พยาบาลไม่ฉีดยาให้ก่อนผ่าตัด ผมถามพยาบาล ก็ได้รับคำตอบว่า คราวนี้อาจารย์จะผ่าสดๆดิบๆ ไม่ใช้ยาฉีด ไม่ใช้ยาชาใดๆทั้งสิ้น ผมก็ขึ้นรถนอนเปลไปกับเขา พอถึงห้องผ่าตัด อาจารย์ท่านก็บอกว่า “ไม่รู้ประสาทฝอยเส้นไหนเสีย มันถึงปวด ถ้าให้ยาสลบยาชาแล้ว มันก็เหมือนถอนฟัน เลยไม่รู้ซี่ไหนปวด เพราะฉะนั้น คราวนี้ผ่าโดยไม่ใช้ยาสลบเลย ขอให้ทนเอา...”

ผมก็นึกว่า กรรม-กรรมแน่แท้ เพราะแม้แต่สัตวแพทย์เขาจะทำการผ่าตัดสัตว์ เขายังใช้ยาระงับความรู้สึก ระงับความเจ็บปวด นี่ผมเป็นคนแท้ๆยังโดนแบบนี้ ว่าแล้วท่านก็เอามีดกรีดลงไปบนคิ้วขวาของผม กรีดตลอดแนวยาวตั้งแต่หัวคิ้วขวาเรื่อยไป ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความเจ็บปวด ร้องครวญคราง

อาจารย์ท่านก็บอกว่า เจ็บก็ร้องไป ตำรวจไม่จับหรอก แล้วท่านก็ผ่าไป เอาคีมจับเส้นประสาททีละเส้น พอเส้นประสาทถูกคีมคีบมันก็ปวดถึงหัวใจ ผมร้องออกมาดังกว่าวัวกว่าควายที่กำลังถูกเชือด เพราะการผ่าแบบนี้เวลาดึงประสาททีไรก็สะดุ้งจนตัวลอย พยาบาลห้องผ่าตัดก็กดตัวไว้ทั้งๆที่พันธนาการไว้อย่างอย่างเหนียวแน่น

ผมถูกผ่าไปดึงประสาทไป ร้องจนสุดเสียงไปเพราะความเจ็บและความปวด ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นกว่าชั่วโมง อาจารย์ท่านพยายามดึงประสาทฝอยออกมาให้มากที่สุด แต่ก็ยาก เพราะมันติดกันนุงนังเหมือนวุ้นเส้นที่เราเอามายำกิน ผมร้องโอดครวญดังที่สุดในชีวิต ทารุณที่สุดในชีวิต เหมือนกับหนูพิมพ์บอกไว้ไม่มีผิด

และสุดท้ายผมก็สลบไปเองเพราะความเจ็บปวด มารู้สึกตัวเมื่อพบว่าตัวมาอยู่ในห้องนอน มีสายน้ำเกลือรุงรัง มีสายยางที่จมูกที่ปากพร้อมมูล ความปวดน่ะยังไม่หายแม้จะหยุดผ่าตัดแล้ว แต่ความปวดระบมมันสุดแสนจะทนทาน จนต้องร้องและครางออกมาดังๆ ไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมงต่อกี่ชั่วโมง...

ค่ำนั้นก็ยิ่งปวดแผล ปวดระบมประสาท ปวดระบมสมอง เมื่อยไปทั้งตัว อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมถูกฉีดยาระงับปวด ยานอนหลับ ก็หลับไปทั้งสายยางต่างๆ จนตื่นอีกทีก็ดึกโข เห็นจะราวๆสองยามหรือกว่า... จำได้ว่าวันที่ถูกผ่าตัดวิบากชดใช้กรรมนั้นเป็นวันพุธ ที่จำได้เพราะอาจารย์ท่านบอกว่าวันพฤหัสพรุ่งนี้ไม่ว่าง ท่านติดประชุมแต่เช้า ผ่าเสียวันพุธวันนี้แหละ...


webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2040
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 17/10/10 at 10:00 Reply With Quote


ตอนที่ 6 (ตอนจบ)

พอตื่นขึ้นมาก็พบภรรยา พยาบาลพิเศษที่นั่งเฝ้าอยู่ ผมถามทั้งสองคนนั้นว่า นี่ยังไม่ตายอีกหรือ มันทารุณที่สุดแล้ว...สองคนนั้นน้ำตาไหลเพราะความสงสาร
แล้วผมก็หลับตาลง ภาวนา "พุทโธๆ" ระงับเวทนา พอหลับตาสักครู่ หนูพิมพ์ก็มาหา เอามือกุมตรงที่ผ่าตัดและตรงที่ปวด

ผมถามต่ออีกว่า “พ่อจะถูกผ่าตัดอีกไหม”
เธอตอบว่า “ไม่มีแล้ว”
“แล้วจะปวดอีกไหม โรคปวดประสาทนี้น่ะ”
เธอตอบว่า “ยังมี แต่ไม่ทารุณมากนัก มีอีก 4 ปี”
“แล้วจะให้พ่อทำอย่างไรต่อไป...”
“ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเรื่อยๆ ขออโหสิเขาเสีย ภาวนาแล้วส่งใจไปแผ่กุศลให้เขาเสมอๆนะพ่อนะ” หนูพิมพ์ตอบ
“พ่อจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่”
“วันอาทิตย์นี้แหละจ๊ะ...พ่อ...”
ผมถามต่อไปว่า “ถ้ามันยังไม่หาย จะกลับยังไง”
เธอก็ตอบว่า “ก็ยังมีกรรมเบาๆหลงเหลืออยู่ ถึงจะเป็นก็ยังไม่รุนแรงเท่าคราวนี้จ๊ะ”
“เวลาพ่อกลับบ้านแล้วพ่อจะนั่งเรียกให้ลูกไปหา จะไปได้ไหม”

“หนูจำต้องลาไปก่อนแล้ว คราวนี้หนูจะเกิดเป็นผู้ชายจ๊ะ แล้วตอนนี้ลูกก็เข้าบ้านพ่อไม่ได้ เจ้าที่เจ้าทางห้ามจ๊ะ” เธอตอบ ภรรยาผมและพยาบาลเฝ้าฟังอย่างเคย “หนูลาพ่อเลยนะ และทีนี้ไม่มีอีกแล้วจ๊ะพ่อ พ่ออย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายนะพ่อนะ...” เสียงหนูพิมพ์แว่วๆ แต่ชัดเจนติดหูมาจนบัดนี้

และก็เป็นจริงอย่างว่า หนูพืมพ์ไม่ปรากฏกายให้เห็นอีกเลย อาการปวดผมก็บรรเทาลง แต่แม้จะไม่หายขาดก็ยังดีกว่าเดิม ผมนอนอยู่อีก 3 วัน ถึงวันเสาร์ตอนเช้า "อาจารย์อุดม" ก็มาเยี่ยมอีก ท่านไม่เคยหยุดงานเลยแม้แต่วันหยุดราชการ ผมรายงานว่าอาการปวดเบาไปเยอะ แต่ก็ยังมีอยู่ ไม่หายขาด อาจารย์ก็บอกว่า “เรายังเข้าไปทำลายศูนย์ประสาทของมันไม่ได้ เมื่อไหร่ทำลายได้หมด เมื่อนั้นจะหายขาด”

“พรุ่งนี้วันอาทิตย์จะกลับบ้านก่อนก็ได้ พักฟื้นต่อไป เผื่อมีอะไรต่อไปค่อยว่ากันใหม่...” ผมลุกขึ้นนั่งกราบท่านในความกรุณา แล้วท่านก็จากไป

ผมดีใจที่จะได้กลับบ้านในเช้าวันพรุ่งนี้ ทั้งๆที่แผลผ่าตัดต่างๆยังไม่หาย ท่านบอกว่า “ทำแผลเอง เอาไหมออกเองก็แล้วกัน เป็นหมออยู่กับตัวนี่...”

คืนนั้น ผมนอนหลับได้ดีมาก อาการปวดประสาทมีรบกวนนิดหน่อย ตอนที่หลับก็หลับสนิท ไม่มีอะไรมาพ้องพานในใจ ผมก็เข้าสมาธิต่อไปเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกตัว

เช้าวันอาทิตย์ ผมถวายบังคมลา "สมเด็จพระราชบิดา" ลาพยาบาล แพทย์ที่ช่วยเหลือ ก่อนกลับ ผมถือรูปหนูพิมพ์ไว้ในมือ แล้วสั่งให้รถแวะไปที่ "วัดมกุฎกษัตริยาราม" ก่อนเพื่อไปดูพลับพลาพิมพวดี ไปดูรูปหนูพิมพ์ผู้มีพระคุณ


ผมลงจากรถเดินไปที่ "พลับพลาพิมพวดี" แต่ขณะนั้นมีประตูเหล็กปิดอยู่ ผมได้แต่ยืนข้างนอก ตาก็จ้องดูรูปหนูพิมพ์ที่ผนังพลับพลา โดยมีภรรยาผมคอยดูอยู่ด้วย

ผมยกมือขึ้นอุทิศส่วนกุศลให้เธอ และบอกเธอว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ และเมื่อสวดมนต์แล้วจะอุทิศส่วนกุศลให้เธอทุกวัน จนกว่าผมจะตายไป และขอให้ได้พบกันเป็นพ่อลูกกันทุกชาติๆ... ผมขอจบเรื่องนี้ด้วยความเชื่อที่ว่า "จิตและวิญญาณนั้นมีจริง" เพราะผมได้ประสบกับตัวเองมาแล้ว ดังที่เล่าให้ท่านได้ฟังนี้

ในรถทัวร์คันนั้น ต่างเงียบกริบเมื่อผมเล่าเรื่องจบลง "คุณเสนาะ นิลกำแหง" สมาชิกผู้หนึ่งในคณะที่เราไปเที่ยวเล่นกอล์ฟกัน ได้ลุกขึ้นยืนพูดว่า “ ผม..เสนาะ นิลกำแหง คุณหมออาจินต์อาจจะยังไม่รู้จักผมละเอียดนัก เพราะเดินทางมาเที่ยวกันครั้งแรก

ผมขอเรียนว่า เด็กหญิงที่เป็นโรคอ้วนแล้วเสียชีวืตที่ "ตึกวิบุลลักสม์" นั้นเป็นเรื่องจริง เพราะเด็กหญิงผู้นั้นเป็นลูกสาวผมเองครับ ไม่มีทางรักษา เมื่อ พ.ศ.2502 และจำนวนพี่น้องของเธอที่เธอบอกกับคุณหมอนั้น เป็นความจริงทุกประการครับ... ผมขอยืนยันและไม่ต้องไปสอบถามที่ไหนแล้ว”

ผมก็ยกมือไหว้ท่าน เพราะท่านแก่กว่าผมแล้วเรียนท่านว่า “ผมพึ่งรู้ว่า คุณเสนาะเป็นบิดาของหนูโรคอ้วนตายวันนี้แหละเดี๋ยวนี้เอง”

เรื่องนี้อาจจะมีคติอยู่บ้างพอสมควร...ขอท่านผู้อ่านทุกคนจงได้รับกุศลผลบุญนี้ทุกท่าน และหากข้อเขียนนี้เกิดประโยชน์ในทางการบุญการกุศลแก่ท่าน แม้แต่น้อยนิดก็ตามโดยทั่วกัน และหวังว่าท่านผู้อ่านทุกคน คงมีใจเมตตาอุทิศส่วนกุศลของท่านที่บำเพ็ญกุศลแล้วแก่หนูพิมพ์วดี โหสกุล เพื่อที่เธอจะได้ประสบสุขต่อไปทุกชาติทุกภพ...ในฐานะที่เธอเป็นผู้ให้ความสว่างว่า “บาปบุญมีจริง กรรมและผลแห่งกรรมมีจริง” แก่ผมและทุกท่าน

พอผมเล่าเรื่องจบลง ทุกคนในรถทั่วคันนั้นเงียบสนิทกันทุกคน หันหน้ามามองหน้าผมและคุณเสนาะ นิลกำแหง ซึ่งท่านเดินมาที่ผม ตรงที่ผมยืนพูด แล้วพูดว่า “แม้ผมจะเชื่ออะไรอยาก แต่เรื่องนี้ทำให้ได้คิดและได้อะไรอีกแยะ”

“คุณหมอน่าจะพิมพ์เรื่องนี้ไว้ให้ได้อ่านกันหลายๆ คน เพราะประจักษ์พยานหลายๆ คน ยังมีชีวิตอยู่รวมทั้งคุณหมอด้วย ที่จากไปก็มีเพียงสองท่าน คือคุณทวี บุณยเกตุ และคุณชิด สุวรรณปัทม์ แต่ผู้อื่นยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่คุณเสรี โหสกุล กับภรรยา ท่านศาสตราจารย์หมออุดม และตัวผมเอง (คุณเสนาะ นิลกำแหง)

ถ้าทิ้งไว้ไม่เผยแพร่ให้ทราบทั่วๆ กันไว้ อีกหน่อยเรื่องก็จะเงียบหายไป แล้วจะเกิดเรื่องใหม่ที่คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงมาแทน แบบเรื่องนางนาคพระโขนง ก็เป็นไปได้”

ต่อคำถามที่เกิดขึ้นในใจตอนนี้ ผมขอตอบว่าผมน่ะเชื่อเรื่องวิญญาณมีจริง จิตมีจริง และกรรมดี กรรมชั่วมีจริง และผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ตอบสนองกับเราจริงด้วยครับ

“ชั่วแต่ว่าจะช้า...หรือจะเร็วเท่านั้นครับ..!”



'พิมพวดี' หนูน้อยวิญญาณระลึกชาติ


.....เรื่องราวของ พิมพวดี เป็นตัวอย่างยืนยันว่า การเวียนว่ายตายเกิด และการระลึกชาติ นั้นมีจริง โดย..หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ได้ลงรายละเอียดไว้ด้วย

มิติลี้ลับและเรื่องราวอันน่าพิศวงเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและการระลึกชาติ ที่เคยเป็นเรื่องโด่งดังในอดีตของ ด.ญ.พิมพวดี โหสกุล ถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ทั้งนี้ จากการประกาศงานฌาปนกิจศพ ด.ญ.พิมพวดี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ภายหลังจากที่ ด.ญ.คนดังกล่าวได้ล่วงลับไป 40 กว่าปีแล้ว

โดยผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บริษัทเสรีวัฒนาหัวมุมถนนหลวง และถนนมิตรพันธ์ ตรงข้ามโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ กทม. สอบถามรายละเอียดและความเป็นมาของพิธีฌาปนกิจศพ ด.ญ.พิมพวดี จากนายเสรี โหสกุลผู้เป็นพี่ชายของ ด.ญ.คนดังกล่าว

นายเสรีเปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 17-19 พ.ย.นี้จะมีการสวดพระอภิธรรมศพของ ด.ญ.พิมพวดี พร้อมกับนายเสียง โหสกุล บิดาที่เสียชีวิตไปเมื่อ 2-3 เดือนก่อน จากนั้น ในวันที่ 20 พ.ย. จะเป็นพิธีฌาปนกิจ ทั้งนี้ เหตุที่ต้องเก็บร่างของ ด.ญ.พิมพวดีไว้ตั้งแต่ปี 2503 จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 40 กว่าปีนั้น เป็นความประสงค์ของคุณพ่อที่รักลูกสาวคนนี้มาก เพราะเป็นลูกสาวคนเดียวและเป็นลูกคนสุดท้อง

เมื่อยังมีชีวิตอยู่หนูพิมเป็นเด็กน่ารัก ว่านอนสอนง่าย เรียนหนังสือเก่ง และเป็นเด็กที่จัดว่าหน้าตาสวยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ต้องเสียชีวิตตั้งแต่เด็กด้วยโรคไข้เลือดออก ซึ่งในขณะนั้นวิทยาการทางการแพทย์ยังไม่ดีเท่าเดี๋ยวนี้ น้องพิมจึงต้องเสียชีวิตลง หลังจากน้องพิมเสียชีวิตคุณพ่อทำใจไม่ได้ที่ต้องเสียลูกสาวไป

จึงได้สร้างศาลาพิมพวดีไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักและความคิดถึง ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม รวมทั้งใช้เป็นที่เก็บร่างของน้องสาวด้วย มีการสร้างพลับพลาไว้เหนือศพและติดรูปถ่ายของน้องพิมเอาไว้ กระทั่ง เมื่อคุณพ่อเสียชีวิต เมื่อเดือน ส.ค.44 จึงนำศพน้องพิมออกมาฌาปนกิจพร้อมกับคุณพ่อตามความประสงค์ของท่าน

ทั้งนี้ เรื่องราวซึ่งเป็นที่ฮือฮาเกี่ยวกับวิญญาณและการระลึกชาติได้ของน้องพิม ซึ่งเกิดขึ้นในอดีตนั้น เป็นเรื่องที่เกิดกับ นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ ครอบครัวโหสกุลไม่เคยประสบเรื่องราวในลักษณะนี้ แม้แต่การเข้าฝัน ทว่าเมื่อมีดำริจะจัดงานฌาปนกิจศพน้องสาวพร้อมกับคุณพ่อ กลับมีเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

โดยขณะที่จะจัดทำรูปหน้าศพของน้องพิม ซึ่งมีรูปถ่ายขาวดำเพียงรูปเดียวเหลืออยู่ ตนมีความเห็นว่าจะทำรูปเป็นพื้นสีน้ำตาล หรือรูปสีซีเปีย เช่นเดียวกับรูปคุณพ่อ จึงนำไปให้ช่างภาพทำให้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ รูปจะออกมาดำๆ แลดูน่ากลัวทุกครั้ง และหน้าตาออกดุๆ

ต่อมาตนจึงตัดสินใจนำรูปน้องไปให้ช่างวาดรูป ให้ ซึ่งเป็นนักเขียนรูปสมัครเล่น อยู่ที่มาบุญครองเขียนออกมาเป็นภาพสีตามที่ต้องการ โดยคิดว่าจะทดลองให้วาดก่อนว่าจะใช้ได้หรือไม่ ซึ่งเมื่อวาดออกมาครั้งแรก พี่น้องทุกคนลงความเห็นว่าใช้ไม่ได้ ต้องไปแก้ไขใหม่ ซึ่งต่อมาช่างวาดรูปได้มาเล่าให้ฟังว่า

น้องพิมไปเข้าฝันบอกให้วาดใหม่ ซึ่งเมื่อช่างวาดรูปมาให้ดูใหม่คราวนี้ทุกคนถึงกับอึ้ง เพราะรูปที่วาดมาเปลี่ยนไปเป็นคนละรูป คราวนี้เหมือนตัวจริงมาก และมีความรู้สึกว่าเป็นภาพเหมือนมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาที่เป็นประกาย เห็นชัดเจนยิ่งกว่ารูปถ่ายเสียอีก

.......นายเสรียังเผยอีกว่า ยังมีเรื่องที่น่าประหลาดใจอีกเรื่องคือ เมื่อนำหีบศพของน้องพิมออกมาจากที่เก็บศพซึ่งเป็นหินอ่อนในศาลา เพื่อเตรียมทำพิธีตั้งสวดพระอภิธรรมก่อนฌาปนกิจ ปรากฏว่า สภาพทุกอย่างอยู่สมบูรณ์ ศพไม่มีกลิ่นใดๆทั้งสิ้น แม้กระทั่งฝุ่นยังไม่มี จนพระที่วัดยังแปลกใจ และตนยังทราบมาว่า เจ้าหน้าที่ที่วัดมกุฏฯถูกหวยเป็นประจำ โดยนำเลขวันเดือนปีเกิด หรือเลขอะไรต่างๆนานาที่เกี่ยวกับน้องสาวมาตีเป็นตัวเลขนำไปแทงหวย

ต่อมาผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังนางพิจิตร บุณยเกตุ ภรรยา นพ.อาจินต์ ที่บ้านซึ่งอยู่ย่านราชวัตร ซึ่งนางพิจิตรแจ้งว่า นพ.อาจินต์ไม่สบายเป็นโรคหลอดเลือดตีบ ไม่สามารถพูดได้เป็นเวลานานแล้ว เรื่องของ ด.ญ.พิมพวดีนั้น ตนจำไม่ค่อยได้ ให้ไปดูรายละเอียดจาก "หนังสือที่ระลึก 40 ปี นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ พบวิญญาณหนูพิมพวดี ณ โรงพยาบาลศิริราช" ที่รวบรวมโดย นพ.กมลพร แก้ว-พรสวรรค์


ซึ่งหนังสือดังกล่าวเป็นเรื่องของ ด.ญ.พิมพวดี โดยการบอกเล่าของ นพ.อาจินต์ ว่า ด.ญ.พิมพวดี โหสกุล บุตรีของนายเสียง โหสกุล เสียชีวิตตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ในปี- 2503 ด้วยโรคไข้เลือดออก ต่อมาจึงเกิดเรื่องราวปาฏิหาริย์ขึ้น นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ ซึ่งไม่รู้จักกับ ด.ญ.พิมพวดี ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต

ในหนังสือดังกล่าวระบุว่า นพ.อาจินต์ บุณยเกตุ ได้เปิดเผยเรื่องปาฏิหาริย์กับหนังสือพิมพ์ฟ้าเมืองไทย และศาสตราจารย์เอียน เฟลมมิ่ง นักวิญญาณศาสตร์ ซึ่งสัมภาษณ์ นพ.อาจินต์ และนำไปตีพิมพ์ในหนังสือที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2506 โดย นพ.อาจินต์ได้เปิดเผยในขณะนั้นว่า

มีอาการป่วยเป็นโรคไมเกรน และเป็นหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลศิริราช เมื่อประมาณปี 2504 ระหว่างนอนรักษาตัวอยู่ คืนหนึ่งประมาณ 3 ทุ่มเศษ ขณะอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุ 10 กว่าขวบ เข้ามาหาพร้อมกับเรียก นพ. อาจินต์ว่าพ่อ โดยอ้างว่าเป็นพ่อลูกกันเมื่อชาติก่อน และยังบอกด้วยว่าที่ นพ.อาจินต์ต้องทนทรมานจากการป่วยเช่นนี้ เนื่องจากเป็นกรรมเก่าที่ นพ.อาจินต์ ซึ่งมีหน้าที่ลงโทษนักโทษโดยการบีบขมับ

และมีอยู่ครั้งหนึ่งได้ลงโทษคนที่ไม่มีความผิดจนตาย จึงต้องมารับกรรมในชาตินี้ แต่เด็กคนนั้นบอกว่าจะช่วยให้หายปวด จากนั้นจึงเอามือมากุมที่ศีรษะข้างที่ปวด และขอให้เรียกหาทุกครั้งเมื่อมีอาการปวดศีรษะ ซึ่ง นพ.อาจินต์ได้ทำเช่นนั้นทุกครั้ง เด็กหญิงคนดังกล่าวก็จะมาหาและทำเช่นเดิม

ซึ่ง นพ.อาจินต์เล่าว่าอาการปวดก็หายไปทุกครั้ง โดยครั้งสุดท้ายเด็กคนนี้บอกว่าจะต้องรักษาไปอีก 4 ปี และมาขอลาเพราะจะไปเกิดแล้ว โดยจะไปเกิดเป็นเด็กผู้ชายในชาติหน้า ทั้งยังบอกชื่อให้ นพ.อาจินต์ไปตรวจสอบประวัติดูที่โรงพยาบาล และพบว่ามีชื่อของเด็กหญิงพิมพวดี โหสกุล มาเสียชีวิตที่ห้องที่ นพ.อาจินต์รักษาอยู่จริง

เมื่อ นพ.อาจินต์ออกจากโรงพยาบาล จึงไปสืบหาเด็กหญิงพิมพวดีกับครอบครัวโหสกุล ซึ่งนายเสียง โหสกุล ผู้เป็นพ่อ ได้นำรูปของเด็กผู้หญิงหลายคนมาให้เลือกดู ซึ่ง นพ.อาจินต์ได้เลือกรูปของเด็กหญิงพิมพวดีขึ้นมา ทำให้นางสมพร โหสกุล ภรรยานายเสียง ถึงกับร่ำไห้โฮขึ้นมาทันที และบอกว่าเป็นลูกสาวที่เสียชีวิตไป โดยยืนยันว่าลูกสาวเป็นโรคไข้เลือดออก ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลศิริราช

ซึ่ง นพ.อาจินต์ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้แก่พ่อแม่ของด.ญ.พิมพวดีฟังรวมถึงเรื่องที่เด็กหญิงพิมพวดีสั่งเสียด้วยว่า ยังเป็นห่วงเรื่องที่ทำการฝีมือไม่เสร็จ ให้นำผ้าขาว ด้ายสีน้ำเงิน และเข็มโครเชต์ไปวางไว้ที่หน้าศพ ซึ่งต่อมาอีก 4 ปี นพ.อาจินต์ได้หายจากโรคดังกล่าวตามที่ ด.ญ.พิมพวดีบอกไว้ และ นพ.อาจินต์ไม่ได้พบเหตุการณ์เช่นนี้อีกเลย

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวไปที่วัดมกุฏฯ พบกับพระครูปลัดสุวัฒนปัญญาคุณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ซึ่งพระครูปลัดฯเปิดเผยว่า ศพของคุณพิมพวดีอยู่ที่นี่มานานแล้ว คนที่นี่จะเรียกคุณพิมทุกคน ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักงานที่นี่จะถูกหวยกันบ่อย แต่จะมีคนมากราบไหว้รูปคุณพิมเป็นประจำ บางคนมาขอให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แล้วก็ได้สมใจ ก็เอาของเล่นมาให้

ใครมาขออะไรได้ ก็จะเอาของเล่น ตุ๊กตา หรือขนม มาวางที่หน้ารูปเป็นประจำ ซึ่งก่อนที่จะนำศพออกมาฌาปนกิจ มีทั้งของเล่นและขนมเต็มไปหมด ส่วนเรื่องราวปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้น เชื่อว่าเป็นเรื่องของกระแสจิตระหว่างคุณพิมและคุณหมออาจินต์ ที่มีความผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน...!


☺...ติดตามชม "คลิปวีดีโอ" ละครชุด "บันทึกกรรม" ออกอากาศทางช่อง 3 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2553

http://www.tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=714



webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2040
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 6/12/10 at 14:24 Reply With Quote


รายการตีสิบ "วิญญาณข้ามภพ กับ พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา"

ออกอากาศเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2552


เรื่องราวของวิญญาณที่สามารถระลึกชาติได้ และกลับมาพูดคุยกับผู้เคยเป็นบิดาในชาติที่แล้ว พร้อมทั้งบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าให้แก่ผู้เคยเป็นบิดา ได้รับรู้ ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวโดยนักพูดชื่อดัง พ.อ.นพ.พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา เรื่องราวลึกลับของวิญญาณที่สามารถระลึกชาติได้จะเป็นอย่างไรนั้นติดตามชมรายการ "ตีสิบ" ย้อนหลังกันเลยครับ

ช่วงที่ 1



ช่วงที่ 2



ช่วงที่ 3



ช่วงที่ 4







webmaster
Super Administrator
*********
Posts: 2040
Registered: 8/1/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved