ถ้าพบข้อผิดพลาดในเว็บไซด์ จะแนะนำและติชม หรือสอบถาม ติดต่อที่ WEBMASTER
 
VISITORS


     







Not logged in [Login ]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites  
[*] posted on 4/11/09 at 09:35 Reply With Quote

หลวงพ่อตอบปัญหา ออนไลน์ ตอน 4


« ตอนที่ 1« ตอนที่ 2 « ตอนที่ 3

(Update 4 พ.ย. 52)

๓๐๑. แอบปล่อยปลา


ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกไปที่บ่อเลี้ยงปลาแห่งหนึ่ง แล้วก็เลี้ยงปลา น่าสงสารมาก ก็เลยตั้งใจบอกเขาว่าจะขอซื้อไปปล่อย เขาไม่ยอมขายให้ ลูกตัดสินใจแอบเอาไปปล่อยเสีย ๒ ตัว ในฐานะที่ลูกเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ไม่ทราบว่าจิตเป็นกุศล แต่ขโมย เขาไปปล่อยนี้ จะได้บาปกี่เปอร์เซ็นต์ จะได้บุญกี่เปอร์เซ็นต์ และหักไปแล้วเหลือเท่าไหร่เจ้าคะ "

หลวงพ่อ - ได้อย่างละ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์"

ผู้ถาม – เท่ากันเลยหรือนี่ครับ "

หลวงพ่อ - บาปกับบุญมันลบกันได้เมื่อไหร่กันเล่า แต่ว่าเรามีเมตตาบารมีเป็นอภัยทานนะ ทานสูงสุด บาปน้อยกว่าเยอะ"



๓๐๒. ห้ามกินปลาชนิดที่ปล่อย


ผู้ถาม – กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง ลูกมีความสงสัยอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า การที่เราปล่อยปลาจะเป็นปลาดุกก็ดี ปลาหมอปลาไหลก็ดี หรือปลาชนิดต่าง ๆ ก็ดี มีคนข้างบ้านเขาบอกว่า โบราณถือนักถือหนาว่า ปลาตัวไหนปล่อยไปแล้ว จะเอามารับประทานไม่ได้ ปล่อยปลาไหลห้ามทานปลาไหล ปล่อยปลาดุกห้ามทานปลาดุก ลูกเป็นคนธัมมะธัมโม ก็ต้องพึ่งหลวงพ่อช่วยชี้แจงด้วยว่า จะเชื่อใครดีเจ้าคะ "

หลวงพ่อ - ฉันเห็นด้วยกับโบราณท่านนะ ปลาไหลตัวไหนที่ปล่อยไปแล้ว ห้ามกินตัวนั้น.. (หัวเราะ) อย่าเอามากินนะ บาปนะ ปลาดุกก็เหมือนกันนะ ปล่อยปลาตัวไหนตัวนั้นห้ามจับมากิน แต่ตัวอื่นกินได้"

ผู้ถาม – ความจริงไม่เกี่ยวกันเลยนะครับ"

หลวงพ่อ - ไม่เกี่ยวกัน มันเป็นอภัยทาน ปล่อยให้เขารอดชีวิตใช่ไหม.. ปลาที่ควรปล่อยก็คือปลาที่เรารู้ว่ามันจะต้องตายแน่ ๆ เช่นปลาตามแอ่งน้ำเวลาฝนตกมันขัง ถ้าน้ำแห้งตายแน่ ๆ หรือปลาที่เขาขายในตลาด ยังไง ๆ ก็ตายแน่ ๆ แต่ประเภทปลาที่ใส่ถุงเร่ขายตามหน้าวัด ปลาพวกนี้ถูกจับมาขาย อันนี้ก็ต้องคิด"



๓๐๓. ปล่อยปลาไหล


ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารถอย่างสูง เมื่อวันที่ ๒๘ มี.ค.๓๔ ตอนเช้าตรู่หลวงพ่อได้มาหาลูก ลูกไม่รู้ว่าหลวงพ่อมามีความประสงค์อันใด ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจะให้ลูกทำอะไร แต่บังเอิญเมื่อวันที่ ๕ เม.ย.นี้เที่ยงคืน ลูกกำลังสวดยอดพระไตรปิฎก ใจก็นึกถึงหลวงพ่อ มีความรู้สึกอย่างนี้ว่า หลวงพ่อนี่กำลังป่วยเป็นอย่างแน่ เลยนึกจะนำปลาไหลมาถวายหลวงพ่อ ๖ ตัว"

หลวงพ่อ - อ๋อ...เขาให้แล้ว"

ผู้ถาม – ให้แล้วหรือนี่ ก็เป็นอันว่าหลวงพ่อก็เห็น..."

หลวงพ่อ - ต่อไปก็ไหลได้"

ผู้ถาม – การปล่อยปลากับปลาไหลนี่ อานิสงส์เป็นยังไงครับ "

หลวงพ่อ - คล้าย ๆ กัน ถ้าปล่อยปลาไหลก็อานิสงส์ยาว ปล่อยปลาธรรมดาอานิสงส์สั้น"

ผู้ถาม – แหม...ถ้าปล่อยปลาวาฬก็..."

หลวงพ่อ - อานิสงส์ใหญ่ ยาวด้วย ถ้าจะให้ดีนะ ปล่อยปลาท่องโก๋..." (หัวเราะ)



๓๐๔. วิธีถ่วงให้ตายช้า


ผู้ถาม – หลวงพ่อเจ้าขา ลูกไปปลูกบ้านไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ตายไปกัน ๔-๕ คนแล้ว ให้คนดูก็รู้ว่าไม่ดีแต่ก็แก้ไม่ได้ ก็เลยมาพึ่งบารมีหลวงพ่อว่า จะมีคำแนะจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรหรือไม่...ลูกไม่อยากตายเป็นคนที่ ๕ เจ้าค่ะ "

หลวงพ่อ - จะอยู่ไปถึงไหนล่ะ จะตายอยู่เรื่อยหรือ.. เอ๊ะ! ไอ้ตายนี่มันแก้ไม่ได้นะ แต่ถ่วงให้ช้าได้"

ผู้ถาม – งั้นหลวงพ่อก็เอาถ่วง...ก็แล้วกันครับ"

หลวงพ่อ - เอาถ่วงนะ เอายังงี้ให้ใช้พายเรือไปกลางแม่น้ำ ใช้เชือกผูกก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ และผูกคอ เราผลักหินลงน้ำ"

ผู้ถาม – แล้วตัวล่ะครับ "

หลวงพ่อ - ก็ไปด้วย"

ผู้ถาม – นี่หรือ...วิธีถ่วง "

หลวงพ่อ - ใช่...วิธีถ่วงให้ตายเร็ว ถ้าถ่วงให้ตายช้า ก็ซื้อปลาหรือซื้อไก่ซื้อเปิดที่เขาจะฆ่า อย่างใดอย่างหนึ่งไปปล่อย ถ้าปลานี่ได้ตัวละปีนะ"

ผู้ถาม – เขามีจำนวนจำกัดหรือครับ "

หลวงพ่อ - มีจำนวนจำกัด แต่ถ้าบังเอิญถึงอายุขัยเอาเกินก็ต้องตายนะ เพราะอยู่ได้ถึงอายุขัยแล้วกัน ปลาหลายตัวนะ และก็หลังจากนั้น ตอนเช้าใส่บาตรด้วยอาหารที่เราชอบ เราชอบแบบไหน ใส่แบบนั้น และอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรขออยู่ต่อไป ให้เขาอโหสิกรรมนะ ขออยู่ต่อไป..ใช่ได้"

ผู้ถาม – แหม...ถ่วงหลังนี่ค่อยยังชั่วหน่อย"

หลวงพ่อ - ต้องบอกให้ครบถ้วน เผื่อจะชอบแบบไหน"



๓๐๕. ปล่อยไก่


ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง หลังจากน้ำท่วมภาคใต้แล้ว ลูกได้มีโอกาสไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ ในโอกาสนี้ผมก็ถือโอกาสปล่อยไก่ไปด้วย ทีนี้ทางวัดเขาบอกว่า คนมาปล่อยไก่ ไก่มันออกลูกออกหลานมาก แล้วก็ทำความยุ่งยากให้แก่พระสงฆ์องค์เณร พระก็เลยแนะนำว่า เอาอย่างนี้ซิ..โยม! เอาคะนอร์ซุปไก่ถวายสังฆทาน เอาปลากระป๋องปุ้มปุ้ยถวายสังฆทาน แทนปล่อยปลา ปล่อยไก่ อาตมาว่าอย่างนี้ดี ไม่เชื่อโยมไปถามหลวงพ่อดูก็ได้"

หลวงพ่อ - แหม...พระจะหม่ำไก่ในขวดน่ะซี กินไก่ในขวด กินปลาในกระป๋อง แต่ไม่ได้นะ เพราะว่าวันเป่ายันต์เกราะเพชร คือว่าลุงท่านมาบอกว่ามีคนอยู่๔ คน จะขอร้อง ให้ท่านช่วยอุทิศส่วนกุศลให้ท่านเป็นพยาน ใช่ไหม.. ท่านบอกว่า ๔ คนนี่ ผมช่วยไม่ได้ครับ ต้องแก้ ให้คนวันเสาร์ปล่อยปลา ให้คนวันศุกร์ปล่อยไก่ ท่านว่าอย่างนี้นะ ก็เลยบอกว่า การแก้อย่างนี้เป็นของดี บอกทุกคนก็แล้วกันนะ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีเคราะห์ตามนั้น แต่ทำให้เขาลอยตัวง่าย ช่วยง่ายขึ้น"



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 9/11/09 at 08:40 Reply With Quote


๓๐๖. ปล่อยโคและกระบือ


ผู้ถาม – กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เนื่องในวาระวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อจะมาถึง ลูกขอน้อมจิตถวายกุศลแด่หลวงพ่อ โดยการซื้อโคและกระบือปล่อยไปแล้ว ๒ ครั้ง และจะปล่อยต่อไปอีก ๒ ครั้งในโอกาสข้างหน้า และขออานิสงส์ที่ได้กระทำมาแล้วนี้ ขออุทิศเจาะจงให้หลวงพ่อพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ มีพลานามัยสมบูรณ์ เป็นกำลังในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาด้วยเถิดเจ้าข้า"

หลวงพ่อ - สาธุ...ขอขอบคุณนะ ดีมาก ดีใจมาก เพราะอะไรรู้ไหม.. ฉันกำลังเป็นลูกวัวลูกควายน่ะซิ ฆ่าวัวฆ่าควายในชาติอดีต ชาติหน้าก็ไม่เคยฆ่า ปลาก็ไม่เคยฆ่าเขา ปลาแค่ ๖ ตัว ผู้ใหญ่บังคับให้ทำ แต่ชาติในอดีตความน่ากลัวจะเป็นแสน"



๓๐๗. ปล่อยเต่า


ผู้ถาม – วันนี้แม่บ้านก็ปล่อยเต่า อุทิศส่วนกุศลให้หลวงพ่อเหมือนกันครับ"

หลวงพ่อ - ขออนุโมทนานะ เต่าก็มีอานิสงส็สำคัญนะ เต่ามีอานิสงส์มาก อานิสงส์ชาติปัจจุบันก็มีอานิสงส์ชาติต่อไปก็มี เมื่อฉันบวชใหม่ ๆ พบพระองค์หนึ่ง ตอนนั้นท่านอายุประมาณสัก ๑๐ พรรษา ท่านเล่าความเป็นมาถึงการบวชของท่าน ท่านบอกบวชไม่สึก ถามว่าเพราะอะไร ท่านบอกว่าก่อนที่จะตายพี่สาวให้ไปซื้อเต่าจากขึ้เมา ขี้เมาจับเต่ามาได้ก็จะฆ่าเอามาแกงกิน พี่สาวให้สตางค์ไปซื้อ ท่านก็ไปซื้อมาแล้วให้พี่สาวเขียนชื่อใต้ท้องเต่า แล้วต่อมาท่านเองก็เอาปืนลูกซองไปยิงนก ได้เยอะแยะ นกกระจาบและฆ่าไก่ ไก่ ๒ ตัว ไก่น่ะจับเชือดคอไปแล้ว แล้วปล่อยมันวิง จับมาเชือดใหม่อีกที

ต่อมาใกล้ ๆ จะบวชท่านบอกว่าปวดฟัน ปวดฟันมาก ก็ไปหาหมอจะถอนฟัน ตอนนั้นหมอเขายังไม่ว่าง รักษาคนอื่นอยู่ ก็ไปนอนคอย นอนคอยก็มีความรู้สึกว่า มีคน ๔ คนเชิญให้ไปคุยด้วย ท่านผู้มีเกียรตินะ ผู้เชิญนี่มีผ้าสีเดียว ผ้านุ่งก็สีแดง เสื้อก็สีแดง นำไปก็นำไปสู่สำนักพระยายม พอไปถึงสำนักพระยายมไม่ทันจะสอบสวน นกกระจาบ นกกระยาง นกต่าง ๆ มันเข้าไปรายงาน มันบินอยู่เยอะเลย รายงานว่า คนนี้มีใจร้ายมาก เอาปืนยิงพวกผม นกกระจาบบอกเป็นพัน นกกระยางบอกเป็นร้อย เจ้าไก่ ๒ ตัวเข้าไป บอกเจ้านี่ใจร้ายมาก เชือดคอสองครั้งสองหน มารายงาน พระยายมก็ถามว่าเป็นความจริงไหม แล้วท่านก็บอกว่าเป็นความจริง ที่นั่นโกหกไม่ได้ คือไม่มีใครโกหก พระยายมก็ถามว่า แล้วเธอทำบุญอะไรไว้ล่ะ นึกถึงบุญสักอย่างได้ไหม เธอก็บอกว่านึกไม่ออก ถ้านึกไม่ออก ถ้าถาม ๓ ครั้ง ก็ต้องรับผลของกรรม

เขากำลังจะนำออกไปก็พอดีเต่าคลานมา บอกช้าก่อน ๆ ความดีเขายังมีอยู่ พระยายมก็ถาม เต่าว่า เขามีความดีอะไร เต่าก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง ตามที่เล่าเมื่อกี้นะ ผลที่สุดพระยายมถามว่า ถ้าเขาปล่อยเธอจริง จะมีอะไรเป็นพยาน เต่าก็บอกว่าชื่อเขาอยู่ที่หน้าอก ก็จับหน้าอกพลิกขึ้นมา ปรากฏเป็นชื่อพี่สาว พระยายมก็ยอมรับว่าพี่สาวใช้ไป คนนี้เป็นคนซื้อ...ก็ปล่อย ปล่อยเขาก็กลับมาส่ง พอส่งโรคปวดฟันมันก็หาย ท่านก็เลยบอก เมื่อครบบวชก็ตั้งใจบวชไม่สึก เพราะเจอะนรกแล้ว นี่อานิสงส์ที่ตายไปแล้วนะ

ส่วนอานิสงส์ในปัจจุบัน คือคุณตาฉันเป็นหมอประจำตัวรัชกาลที่ ๕ ต่อมาท่านยังไม่มีบรรดาศักดิ์กับเขา ท่านชื่อ "อ่อน" รัชกาลที่ ๕ ท่านบอกว่า "อ่อนโว้ย! กูจะตั้งบรรดาศักดิ์ให้มึงมานานแล้ว นึกทีไรเห็นหน้ามึงก็ลืมทุกที วันนี้จะขอตั้ง อย่าเป็นขุนเป็นหลวงเลย เป็นพระเลยก็แล้วกัน" ก็เลยเป็นพระ พระทิพโอสถ ตาบอกว่า วันนั้นก่อนจะไปถึงขี้เมาอีกเหมือนกันจะเอาเต่าไปแกงท่านก็เลยซื้อเขา ท่านปล่อยแล้วก็เดินทางไปรับราชการ วันนั้นเลยได้รับบรรดาศักดิ์ เพื่อน ๆ เลยเรียก..."ไอ้พระเต่า"



๓๐๘. เต่าหล่นมาตายเสียก่อน


ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าวันนี้ลูกได้ซื้อเต่าซื้อปลาไหลจะไปปล่อย เพื่อจะอุทิศส่วนกุศลให้แก่หลวงพ่อ ในระหว่างเดินทางไปนั้น ไอ้มอเตอร์ไซด์มันเขย่าไปเขย่ามา ไอ้เต่าตัวหนึ่งมันหล่นปุ๊! เพื่อนที่ตามมาก็ตั้งใจว่าจะเก็บมาแล้วจะช่วยกันปล่อย บังเอิญว่าไอ้รถ สิบล้อมันทับขาดใจตามไปเลย ลูกไม่สบายใจเลยรีบมาถวายสังฆทาน อุทิศให้เต่าตัวนั้น แต่ที่จะเรียนถามก็คือว่า เขาต้องมาตายด้วยเหตุอย่างนี้ ลูกจะมีหุ้นส่วนบาปหรือเปล่าเจ้าคะ "

หลวงพ่อ - ไม่มีอะไรเป็นบาป...เป็นบุญ เราตั้งใจปล่อยแล้วนี่ เขาเป็นบุญนะ นั่นเป็นกฎของกรรมของเต่าเอง หมายความเต่าเขามีกฎของกรรมเขาอยู่ เรื่องของเขา เราได้บุญแล้วนะ"



๓๐๙. ปล่อยหอยขม


ผู้ถาม – หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันได้ยินมาว่าอย่างนี้ ว่าการปล่อยเต่าอายุจะยืน ปล่อยปลาเป็นการต่ออายุ ปล่อยนกเป็นการสะเดาเคราะห์ มีท่านหนึ่งเขามาบอกว่า ชีวิตเราต้องหม่นหมองเพราะผัวระยำบ้าง เพราะเมียระเยมบ้าง เขาว่าต้องปล่อยหอยขม ชีวิตจะสดชื่น ความขมจะหมดไป ไม่ทราบว่าการปล่อยหอยขมนี่ ความขมจะหายไปและอายุจะเป็นประการใดเจ้าคะ "

หลวงพ่อ - เอาอย่างนี้นะ จะเล่านิทานให้ฟัง ตามพระสูตร ใช่ไหม.. ก็ไปนั่งอยู่ที่ใกล้ข้างหน้าพระจุฬามณี พอพระศรีอาริย์มา เทวดากลุ่มหนึ่ง นางฟ้ากลุ่มหนึ่ง นุ่งชุดสีแดง กลุ่มหนึ่งนุ่งชุดสีเขียว กลุ่มหนึ่งนุ่งชุดสีเหลือง กลุ่มหนึ่งนุ่งชุดสีขาว เป็น ๔ กลุ่ม ก็เลยถามพระศรีอาริย์ว่า บริวารของท่านทำไมแต่งตัวไม่เสมอกัน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ขนาดหนัก จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ท่านบอกว่า เป็นเรื่องของเขา ในสมัยที่เขาเป็นมนุษย์เขานิยมสีแดง เขาก็ต้องมีเครื่องทิพย์เป็นพื้นสีแดง นิยมสีเขียว พื้นสีเขียว ทีนี้ถ้าปล่อยหอยขมนะ ชาติหน้าจะขื่นขมใหญ่..." (หัวเราะ)

ผู้ถาม – อ๋อ...ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น"

หลวงพ่อ - ใช่ ๆๆ"




๓๑๐. ตัวเงินตัวทอง


ผู้ถาม – หลวงพ่อเจ้าขา รบกวนนิดหนึ่งก็คือว่า เมื่อวันที่ ๔-๕ ที่ผ่านมานี้เอง ปรากฏว่ามีตัวที่เขาว่า ตัวเหี้..! เข้ามาในบ้าน ลูกก็เลยไล่ไป แต่คุณแม่เขาบอกว่า หนูอย่าไปไล่เลย นั่นคือ..ตัวเงินตัวทอง!"

หลวงพ่อ - ถูกแล้ว เขาเรียกตัวเงินตัวทอง"

ผู้ถาม – ตัวเหี้...นะ"

หลวงพ่อ - ไอ้เหี้...นั่นแหละ ตั้งชื่อมันเองเราไม่รู้จัก แต่คนแปลกแท้มันบอกให้เรียกตัวเงินตัวทอง และก็จริง ๆ แหละ ถ้าเลี้ยงไว้นะจะได้เงินได้ทอง เพราะอะไรรู้ไหม เลี้ยงไว้แกก็อ้วนพีดีใช่ไหม.. ต่อไปตายขายหนังเหี้...ไปทำรองเท้าน่ะ แพงนะ เออ...ไม่รู้จักดีแล้ว"

ผู้ถาม – อย่างนี้เวลาเข้ามาก็ไม่ต้องไปไล่อะไร"

หลวงพ่อ - อย่าไปไล่ซิ ไปกราบเลยได้เงินได้ทอง...(หัวเราะ) จะไปไล่ทำไม ไม่เป็นไร คือเป็นอะไรนี่เราถือขึ้นมาเอง เขาไม่ได้มาให้โทษ พวกสัตว์ประเภทนี้มาเอง ไปได้มาได้ เมื่อก่อนที่ฉันเจริญกรรมฐานในป่าช้า ก็มีพญาเงินพญาทองเยอะแยะ"

ผู้ถาม – อย่างที่เขาถามนี่หรือ แล้วมีอะไร "

หลวงพ่อ - มีอะไร...ฉันก็ได้กับข้าวกินนะซิ ฉันไม่ได้กินไข่เหี้..นะไม่มีอะไร เป็นธรรมดา ถือกันไปเอง"



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 16/11/09 at 08:16 Reply With Quote


๓๑๑. นกพิราบขาว


ผู้ถาม – หลวงพ่อเจ้าขา ลูกนับถือหลวงพ่อมาเป็นเวลานานแล้วก็ไม่อยากรบกวน เพราะหลวงพ่อไม่สบาย แต่จำเป็นจริง ๆ วันนี้ขอนิดเดียว..."

หลวงพ่อ - นี่ขนาดไม่อยากนะ..." (หัวเราะ)

ผู้ถาม – ไม่อยากจะรบกวนหลวงพ่อ แต่วันนี้ขอนิดเดียวคือว่าวันตรุษจีนนะ ลูกได้ทำพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว แต่ขณะทำพิธีไหว้กราบอยู่นั้น ก็เกิดมีนกพิราบตัวหนึ่ง ขาวจั๊วะเลย เท้าเป็นสีแดงสวยมาก มาจากไหนไม่ทราบ บินมาแล้วก็มาอยู่ที่ลูกกำลังไหว้อยู่นั้น จะเดินไปเดินมาเดินมาเดินไปอยู่พักหนึ่ง มองซ้ายมองขวาแล้วแกก็ทำท่าจะบิน แต่ยังไม่ทันจะบินจริง ๆ ก็ปรากฏว่าหายไปเฉย ๆ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วลูกก็เกิดความสงสัยว่า แกจะมาดีมาร้ายประการใด... ขอหลวงพ่อเมตตาลูกสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ "

หลวงพ่อ - เขามา...เดินไปเดินมาใช่ไหม หายเฉย ๆ เขาไม่ได้ด่านี่ เขามาดี...(หัวเราะ) ก็สงสัยอาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ก็ได้นะ ถ้าญาติผู้ใหญ่ก็หมายความว่า นกตัวนั้นไม่ใช่นกแท้ ต้องเป็นเทวดาหรือนางฟ้า คนละอย่าง"

ผู้ถาม – แสดงว่ามาดีไม่ใช่มาร้ายนะครับ"



๓๑๒. หมาชอบกัดคน


ผู้ถาม – แล้วเรื่องหมาชอบกัดคนล่ะค่ะ "

หลวงพ่อ - พูดถึงเรื่องหมากัด หมาตามกัดนี่นะ วันนั้นใครเขาพูดที่รับแขกก็ไม่ทราบ และคนที่มากับหลวงพ่อลักษณ์ แกบอกให้ฟังว่า เรื่องหมาจะกัดใครนี่มันแปลก ที่วัดหลวงพ่อลักษณ์มีพระอยู่องค์หนึ่ง บวชมา ๔-๕ พรรษาแล้ว ไอ้ปีนั้นหมาตัวนั้นจะกัดพระองค์นั้นเรื่อย เดินไป ๆ หมาก็จะตามไล่กัด แกก็ตีหมาตัวนั้นเรื่อยหนัก ๆ เข้าพระองค์นั้นขโมยของพระ หมามันมีสัญชาติญาณพิเศษมันรู้มาก อย่างเราเรียก ทิพจักขุญาณ ถ้าหมาเรียก สัญชาติญาณ มันรู้ก่อน รู้การเคลื่อนของจิต

เมื่อก่อนฉันไปที่ดำเนินสะดวก บ้านนั้นเขามีหมาดุมาก ในหมู่บ้านปล่อยไม่ได้กัดไม่ว่าใคร เว้นไว้แต่เจ้าของบ้าน พอฉันไปถึงมันก็โจน...โฮ้ง ๆ เขาผูกโซ่ไว้ ไปด้วยกันสององค์กับปลัดฉ่อง พระปลัดฉ่องเขาอยู่ อ.สรรคบุรี ใช้คาถาอาคมมาก ตอนเช้าฉันแล้ว บอกเจ้าของบ้านขอกับหน่อยนะ ที่ฉันแล้วเหลือ ผสมให้หมาชามโคม ปลัดฉ่องก็บอกว่าจะให้หมากินเสกคาถาซิครับ ก็เลยบอกฉันขี้เกียจเสก ฉันขี้เกียจท่อง ให้หมากินต้องเสกคาถาทำไม เราต้องการให้เป็นทานใช่ไหม...

ต่อไปก็ลงมาดูหมาผูกโซ่ไว้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะกัดไม่กัด พอครั้งที่ ๒ มาก็ส่งให้อีก พอครั้งที่ ๒ มากำลังกินลองเอามือลูบหัว มันก็ไม่ทำ เดินเข้าไปจับตัวมัน พอเข้าไปใกล้พอโซ่หย่อน มันก็โดดกอดสะเอว เดินไปเดินมาแสดงความเป็นมิตรกันแล้ว ฉะนั้นจึงปลดปลายโซ่ถือเดินไปในสวนเขา ไอ้พวกนั้นตกใจใหญ่ บอกแบบนี้ขโมยของหมด หมาไม่กัดนะ พวกนั้นเข้ามาไม่ได้ หมู่เดียวกันนะ เห็นไหม จึงเป็นอันว่า หมาเขารู้ใจที่เป็นมิตรกันใช่ไหม...

คือหมานี่มีสัญชาติญาณพิเศษ ถ้าหากว่าเราสังเกตนี่จะรู้ เคยเจอะหลายครั้งนะที่แสดงออก แต่เมื่อก่อนฉันอยู่ที่ชัยนาท มีหมา ๑๒ ตัว เวลาฉันจะกลับมันก็ไปส่งที่รถ พอจะไปจากกรุงเทพฯ มันไปคอยที่ท่ารถ เออ...เห็นไหม ไปคอยร้านที่เราเคยพัก พอฉันจะกลับกรุงเทพฯ ฉันก็เป็นพระพักร้านกาแฟใกล้ท่ารถใช่ไหม.. รถยังไม่ออก ก็ซื้อขนมเปี๊ยะให้คนละอันก็กิน ไม่ยุ่มย่ามก็นอนเรียบร้อย นอนตามทางไม่นอน นอนหลบข้าง ๆ เจ๊กก็เลยชอบ พอฉันจะกลับจะขึ้นไปที่นั่น มันก็มานอนรอที่นั่น เจ๊กก็เลยแจกคนละอัน กินฟรี นี่เขามีสัญชาติญาณรู้พิเศษแบบนี้

ฉะนั้น การเลี้ยงหมาถ้าสังเกต จะเห็นว่ามีผลมาก แต่ว่าเราไม่ต้องเลี้ยงแบบฝรั่งนะ แบบฝรั่งแพงเกินไป เลี้ยงแบบไทย ๆ นะ"

ผู้ถาม – สุนัขเห็นวิญญาณไหมคะ "

หลวงพ่อ - ไม่...เขาไม่เห็นหรอก เห็นผี วิญญาณเป็นยังไงรึ "

ผู้ถาม – อย่างผี...อย่างคนตายแล้วน่ะค่ะ"

หลวงพ่อ - อ้าว...นั่นแหละ เขาเห็นหมดทั้งผี ทั้งเทวดาและพรหม หมานี่ดีนะ อันดับแรกที่เห็นชัด ๆ นะ แก้ผ้าเดินกลางถนนได้...จริง ลองทำเข้าซิ ไม่มีสิทธิ์ใช่ไหม ลองซิ...ไม่มีสิทธิ์ แต่หมามีสิทธิ์ ประการที่ ๒ ขึ้กลางถนนได้ เอาแค่นี้ก็พอ ฉันยังสู้ไม่ได้เลย ประการที่ ๓ จมูกดีมาก จมูกสูดกลิ่นได้ดีกว่ามด มดสู้ไม่ได้นะ หลวงพ่อเคยลองเอาน้ำผึ้งห่อผ้านะ น้ำผึ้งห่อผ้าใบให้มันชื้น ผ้าใบหนาๆ นะ และก็ห่อขึ้นมาหนึ่ง หนึ่งชั้นนี่นะมดตอม สองชั้นมดยังตอม พอสามชั้นนี่นะคุณ ผ้าหนา ๆ มากสามชั้นนะ มดเดินหลีก

คราวนี้เราเอาเนื้อห่อผ้าประเภทเดียวกัน หนึ่งชั้นหมาตะกายเสา สองชั้นหมาตะกายเสา สาม สี่ ห้า หก เจ็ด ตะกายเสา เจ็ดชั้นหมาไม่ถึงตะกายเสา จมูกน่ะดีกว่ามดมาก ต้องพิสูจน์แบบนี้นะ ไม่ใช่เดา ใครเถียงยังไงช่างเถอะ เราต้องลอง ดีไหม.. ไอ้เขาว่า ๆๆ เราว่าเองมั่งนะ

และถ้าหูดี หูดีนี่มีคราวหนึ่งพ่อไปช่วยเขาที่วัดโพน ชัยนาท หน้าน้ำ น้ำท่วม มันหนาวมาก ก็มีเจ้าสุนัขตัวหนึ่ง เห็นเข้าสงสารก็เรียกเข้าไปในห้อง แล้วก็เอากระสอบปูให้ ก็เอากระสอบมาห่มให้กระสอบ ๔ ลูกนะห่มให้มัน มันหนาวจัด เราก็เห็นใจรองและก็ห่มให้มัน ๔ ผืน พอตอนตีสองมันเห่า เห่าและหันหัวไปทางนั้น ก็เลยบอก "เอ็งเห่าอะไร ไม่มีอะไร...ลูก!" มันก็เห่าไม่หยุด มันเห่าในโปง หันหน้าไปทางนั้นใช่ไหม.. ก็เลยเปิดหน้าต่างเอาไฟฉาย ฉาย ๕ ท่อนเกือบสุดสาย เห็นคนถ่อเรือ นั่นเป็นเรื่องของหูได้ยิน ใช่ไหม..."



๓๑๓. การทำขวัญนาค


ผู้ถาม – หลวงพ่อเจ้าขา ลูกไปในงานพิธีบวชนาคแห่งหนึ่ง เวลาทำขวัญนาคคุณแม่ของเจ้านาค ก็จะเอามือลูบหลังบอกว่า "ขวัญเอ๊ย! จงมาฟังเขาเทศน์สอนนาคนะ" ทีนี้ลูกก็ไปกระซิบบอกว่า ยังไม่ต้องเรียกขวัญนะ เอา พุทโธ" ดีกว่า จะมีประโยชน์มาก เขาบอกว่าพุทโธ ภาวนาตอนนี้ไม่ได้ ต้องเข้าโบสถ์เสียก่อนจึงต้องภาวนา ลูกมีความสงสัยว่า การเรียกมิ่งชิงขวัญเข้ามาสู่ร่างกายหรือจิตใจนั้น ในทางพระพุทธศาสนามีวิธี และทำอย่างไรเจ้าคะ "

หลวงพ่อ - พระพุทธเจ้าไม่เคยเทศน์ไว้ ไอ้นี่เป็นพิธีของพราหมณ์ เรื่องของพราหมณ์เขา การทำขวัญนาคเป็นเรื่องของพราหมณ์ ไม่ใช่เรื่องพุทธ"



๓๑๔. พี่น้องบวชพระพร้อมกัน


ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าผมมีลูกชายฝาแฝดอยู่ ๒ คน ตั้งใจว่าจะบวชพร้อมกัน เป็นการประหยังเศรษฐกิจ แต่คนข้างบ้านมาติงว่าไม่เหมาะสม เพราะพี่น้องต้องบวชคนละคราว ลูกไม่มั่นใจแต่ต้องมาพึ่งหลวงพ่อว่า ถ้าจะบวชพร้อมกันทีเดียวจะได้หรือไม่คะ "

หลวงพ่อ - ได้...ไม่ขัดข้องหรอก ไอ้คนที่เขาติงน่ะ เขาเป็นนายหน้าพระ นายหน้าอุปัชฌาย์ ใช่ ๆๆ ต้องเสียสตางค์ ๒ หนไงล่ะ"

ผู้ถาม – ถ้าบวชทีเดียวก็เสียทีเดียว"

หลวงพ่อ - เสียทีเดียว...ใช่! ก็เพิ่มเฉพาะผ้าไตร นอกนั้นก็จ่ายอย่างเดียวกัน"

ผู้ถาม – งั้นก็บวชทีเดียวพร้อมกัน"

หลวงพ่อ - ใช่ ๆ อานิสงส์ดี ลูกบวชพระพ่อแม่ได้คนละ ๓๐ กัป ๒ องค์ก็ ๖๐ กัป เป็นเทวดาหรือนางฟ้าหรือพรหมอยู่ขนาดนั้นนะ ถ้าตั้งใจเพื่อนิพพานมีหวังไปเลย"

ผู้ถาม – ยังมีถามต่อครับ อีกข้อหนึ่งน่ะครับ สงสัยเรื่องพระคี่กับพระคู่ ว่าอันไหนจะถูกต้อง"

หลวงพ่อ - เดี๋ยวก่อน ๆๆ พระขี้ไม่เอา...เหม็น!"

ผู้ถาม – ไม่ใช่...คนละอย่างครับ หมายถึงอย่างนี้ครับหลวงพ่อ ห้อยพระคี่..."

หลวงพ่อ - หมายความจำนวนคี่หรือคู่ใช่ไหม...เหมือนกัน"

ผู้ถาม – หมายถึงอานิสงส์"

หลวงพ่อ - อานิสงส์ก็ดี อานุภาพก็ดี เหมือนกัน ไม่แตกต่างกันนัก แต่ว่าถึงเวลาตายยังไงก็ตาย ความจริงฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง จะฟังสักเรื่องไหม.. มีเสือกระบาอยู่คน เอ๊ย!ไม่ใช่..เสือลำบาก ลิ้นฉันไม่ดีลิ้นคนแก่ คือเรียกชื่อ เสืออ้วน สมัยโน้นสมัยเสือฝ้ายน่ะ ตอนเช้าขึ้นมาตำรวจไปล้อมแก แกก็คว้าปืนลูกซองมากระบอกนะเดินออกมา ตำรวจยิงตรงนะไม่ออกแน่ แล้วแกก็หลีก แกเดินเรื่อยมา ตำรวจก็ตามยิงเรื่อยไป แต่ตำรวจก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ยิงตั้แต่เช้ายันเย็น ประมาณ ๕ โมงเย็น เดินตามเรื่อยไป แกยังไม่กินข้าวนี่แกก็หิว

ทีนี้เวลานั้นมันเป็นป่าแถวถั้วอยู่ เขาเรียกถั้วอยู่นะ มันก็บังกอไผ่บังดงไผ่ พอบังดงไผ่มา แกแวะเข้าบ้าน ๆ หนึ่งขอข้าวกิน เจ้าของเขาให้กิน เพราะว่าแกเป็นคนดี เขาเป็นเสือก็จริง ท้องที่เขาป้องกันได้ เขาคุ้มครองท้องที่นะ ขณะที่กินข้าวไม่ทันจะอิ่ม ปรากฏว่าตำรวจโผล่ตรงมุมไผ่พอดี แต่ไกลกันประมาณสักครึ่งกิโล แกก็เลยทิ้งจานข้าวออกทางนี้ ตำรวจเห็นก็วิ่งกวดไล่ยิงอีก ยิงไปยิงมา ปรากฏแกสะดุดคันนาล้ม ตำรวจตอนนั้นยิงตายพอดี พอตายแล้วยิงใหม่ไม่ออก แกถึงวาระไง ถ้าถึงคราวแล้วมันคุ้มไม่ได้ พระเองพระก็ตายเหมือนกัน"

ผู้ถาม – ถึงวาระเขาพอดี"

หลวงพ่อ - จิตหวั่นไหว ความมั่นคงน้อยไป"

ผู้ถาม – อย่างนี้ก็แสดงว่ากฎแห่งกรรม เมื่อถึงวาระแล้วก็ต้องตาย"

หลวงพ่อ - กฎแห่งกรรมเมื่อถึงวาระแล้ว ใครก็ช่วยไม่ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยบอก ที่ตถาคตเทศน์กายคตานุสสติกับอสุภกรรมฐาน พอเทศน์จบทำให้พระ ๖๐ องค์ฆ่าตัวตายใช่ไหม.. อย่างนี้น่ะท่านเกิดนิพพิทาญาณ นิพพิทาญาณตัวเบื่อหน่ายร่างกายสกปรก เลยเกลียดร่างกาย ตัดสินใจ ร่างกายไม่ดีอย่างนี้เราไม่ต้องการ ก็ฆ่าตัวตายแล้วก็ไปนิพพาน"

ผู้ถาม – อ๋อ...พระฆ่าตัวตายไปนิพพานได้"

หลวงพ่อ - ถ้าจิตใจแบบนั้นนะ ต้องเหมือนกันนะ ต้องเบื่อหน่ายจริง ๆ หลังจากนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็บอกว่า ต่อไปนี้ตถาคตไปอยู่ในถ้ำ ๑๕ วัน ห้ามคนอื่นเข้าพบ นอกจากพระที่ส่งอาหาร เมื่อครบ ๑๕ วัน แล้วท่านก็ออกมา ก็มีพระเล่าให้ฟัง พระ ๖๐ องค์ฆ่าตัวตาย ท่านก็เทศน์ใหม่ เทศน์อานาปานุสสติกรรมฐาน

แล้วต่อมามีพระเข้าไปถามว่า พระองค์ทราบหรือไม่ว่า ถ้าเทศน์เรื่องนี้พระ ๖๐ องค์จะตาย พระพุทธเจ้าบอกว่าทราบ พระเลยถามว่า ทราบแล้วทำไมจึงเทศน์พระเจ้าพุทธเจ้าข้า ท่านบอกตถาคตจะเทศน์หรือไม่เทศน์ เขาก็ต้องตาย เพราะกฎในการฆ่าเนื้อฆ่าสัตว์มาในกาลก่อน ในเมื่อเขาจะตาย ตถาคตแนะนำให้เขาไปนิพพานไม่ดีกว่าหรือ นี่พระพุทธเจ้าคุ้มไม่ไหวเมื่อถึงเวลานะ"

ผู้ถาม – แต่ก็สงเคราะห์ให้ไปดี"

หลวงพ่อ - ก็สูงเลยสบายมาก ดีกว่าอยู่"

ผู้ถาม – เอ๊ะ! ก็น่าแปลกนะ ฆ่าตัวตายไปนิพพานได้"

หลวงพ่อ - ท่านโคธิกะยังเชือดคอตายไปนิพพาน "ยกทรง" เมื่อชาติก่อนก็เชือดคอตายไปสวรรค์"

ผู้ถาม – น่าจะนิพพานสักหน่อยนะ"

หลวงพ่อ - นิพพานลงมามีเมียไม่ได้..." (หัวเราะ)

ผู้ถาม – ผมน่ะกตัญญูกตเวที อย่างนี้แสดงว่าใครเบื่อหน่ายร่างกาย เชือดคอตายหรือจะมีอันต้องตายไป เข้านิพพานได้เลยนะ"

หลวงพ่อ - ใช่...แต่เขานึกไว้ทุกวันนะ นึกไว้ทุกวันว่า ถ้าเราตายเมื่อไหร่ ขอไปนิพพานเมื่อนั้น ให้จิตมันชิน เขาเรียกเป็นฌานในอุปสมานุสสติกรรมฐาน มีนิพพานเป็นอารมณ์"

ผู้ถาม – แหม...ลงทุนนิดเดียวนะ"

หลวงพ่อ - นั่นเขาไม่ลงทุนมาก นิพพานนิดเดียว ไอ้ที่เรียนเรียนกันมาก เพราะอะไรรู้ไหม.. ครูไม่รู้เรื่อง"

ผู้ถาม – ล่อจิตตั้ง ๑๒๗ ดวง ๘๒ ดวง"

หลวงพ่อ - ใช่...ฉันก็เคยเล่นมาก่อนเหมือนกัน"

ผู้ถาม – หลวงพ่อนะหรือครับ "

หลวงพ่อ - อ้าว...ถ้าไม่โง่เสียก่อนจะรู้เรื่องได้ยังไง"

ผู้ถาม – นึกว่าแจ่มแจ๋ว...ตั้งแต่เล็กจนโต"

หลวงพ่อ - แจ๋วมาก!ตอนนั้นแจ๋วมาก จำได้ทุกดวง... (หัวเราะ) แต่ว่าพอไปเทศน์เข้าจริง ๆ เหลือดวงเดียว"

ผู้ถาม – ตอนนี้พระที่เทศน์ด้วยกัน ไม่ค้านหูดับตับไหม้เลยหรือครับ "

หลวงพ่อ - ใครจะค้านใคร เขาก็ค้านแค่ ๓ ธรรมาสน์นี่น่ะ ทีแรก ๒ องค์ก็ล่อจิตกี่ดวง ตอบ ๘๐ ดวงบ้าง ๑๒๐ ดวงบ้างน่ะ ล่อกันอีรุงตุงนัง ฉันก็ล่อกินหมาก บุหรี่ไม่สูบเป่ายานัตถุ์บ้าง อะไรใช่ไหม.. นั่งหลับตาเสียบ้าง เดี๋ยวเขาหันมาว่าไงธรรมาสน์โน้น ถามอะไร แกเทศน์อะไรกันนี่ ถามทำไม บอกข้ากินหมากบ้างเป่ายานัตถุ์บ้าง...เพลินไป

เขาถามว่าจิตมีกี่ดวง บอกเอ๊ะ! ของข้ามันมีดวงเดียวนี่นะ พ่อให้มาดวงเดียว เขาบอกผิดตำรา ถามตำราของแกมีกี่ดวง เขาบอกอย่างย่อมัน ๘๐ อย่างพิสดารมี ๑๒๐ กว่าใช่ไหม.. ถาม มันติดตรงไหนบ้างล่ะ ติดตั้งแต่ฝ่าส้นตีนขึ้นไปถึงหัวแกใช่ไหม ยังไม่หมดเลย...(หัวเราะ) พระพุทธเจ้าตรัสว่า เอกะจะรัง จิตตัง...จิตดวงเดียวเที่ยวไป" ไอ้ที่บอกเป็นหลายดวง คืออารมณ์เข้ามาสิงจิตอยู่ใช่ไหม.. อย่างจิตมีความโกรธ จิตมีความโลภ จิตมีความหลง ใช่ไหม.. จิตมีความรัก อารมณ์ของจิตก็ต่างกันไป นั่นมันเป็นอารมณ์ไม่ใช่ดวงจิตดวงจิตจริงมันดวงเดียว"

ผู้ถาม – ไอ้ที่มาเกิดก็มาดวงเดียว ตายแล้วก็ไปดวงเดียว"

หลวงพ่อ - ใช่...ไอ้พวกนั้นมันหลายดวง มันต้องเกิดหลายอย่าง เกิดเป็นคนบ้าง เกิดเป็นหมาบ้าง เกิดเป็นนกบ้าง อะไรบ้าง ความจริงพระฎีกาจารย์น่ะ ท่านอธิบายไว้เพื่อความเข้าใจง่าย ทีนี้ไอ้คนเบื้องหลังไม่เข้าใจตามท่าน ความจริงจิตน่ะมันดวงเดียว เหมือนน้ำใส ๆ ใส่แก้วใช่ไหม.. ถ้าสีแดงใส่เข้าไป ไอ้น้ำนั่นน่ะออกเป็นสีแดง ถ้าสีเขียวใส่ไปน้ำก็เป็นสีเขียว ไอ้นั่นน้ำเปลี่ยนสีไปเพราะใส่สีเข้าไป จริง ๆ แล้วน้ำมันใสแก้วมันใส และที่เราทำเวลานี้ เราทำเพื่อให้จิตใสตามเดิม ถ้าจิตใสตามเดิมก็ไปนิพพานได้ เมื่อก่อนนี้มันใสเหมือนกัน แต่มันใสไม่มีประกายพรึก จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม.. กระทั่งใสด้วยเป็นประกายพรึกด้วย อย่างดวงจิตคนนี่นะ อะไร...เจโตปริยญาณ ญาณตัวนี้ดูง่าย คนกี่พันคนก็ตามดูแป๊บเดียวจะรู้ทันที"

ผู้ถาม – แค่เห็นแป๊บเดียวหรือครับ "

หลวงพ่อ - เป็นหมื่นนะ นึกอยากจะรู้ รู้ใครจิตสีอะไร จิตจริง ๆ เขานับเป็น ๖ สี แต่ย่อแล้วเป็น ๓ สี สีแดงเข้มหรือสีแดงอ่อน ได้ทั้งสองใช่ไหม.. สีดำ ดำปี๋หรือดำอ่อน ๆ มัว ๆ สีขาวจัด หรือขาวมัว ๆ มันไม่เหมือนกัน เอาแค่นี้แค่ ๓ สีพอ ถ้าสีแดงเป็นจิตที่มีอารมณ์แจ่มใส ดีใจเพราะได้ของที่ชอบใจน่ะ ถ้าจิตสีดำมีทุกข์ จิตสีขาวจิตสบายถ้าจิตสีใสเป็นจิตของฌาน ๔ ถ้าจิตเป็นประกายพรึกเป็นจิตของพระอรหันต์"

ผู้ถาม – ทีนี้เลยถามต่อไปเลยว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันอทิสสมานกายแต่งตัวยังไง โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ แตกต่างกันไหมครับ "

หลวงพ่อ - แตกต่างกัน...ไม่ต้องพระโสดาหรอก แค่คนที่จะตายเป็นเทวดานี่ ข้างในมันเป็นเทวดาก่อน ไม่ต้องดูเฉพาะจิตนะ ดูเฉพาะตัวข้างในนี่ เรียก "อทิสสมานกาย" นะ มันจะบอกเลย รูปร่างลักษณะเป็นอย่างนั้น อย่างจะเป็นสัตว์นรก ก็เห็นเลยเป็นสัตว์นรก มีสภาพอะไรบ้างรู้ เลย...เรื่องเล็ก ๆ"

ผู้ถาม – อ๋อ...นี่ไม่ใช่ใหญ่เลยหรือครับนี่ "

หลวงพ่อ - เล็ก...มันเล็กมากหยิบไม่ค่อยถูก หยิบไม่ติดมือ..." (หัวเราะ)

ผู้ถาม – อย่างนี้ถ้าหากว่าได้เจโตปริยญาณนี่ มองคนปุ๊บ! จะรู้ทันทีเลยหรือครับ "

หลวงพ่อ - คือว่าความจริงไม่ต้องมองคนหรอก แค่รู้ชื่อต้องการจะรู้เท่านั้นใช้ไสด้"

ผู้ถาม – ไม่เคยเห็นหน้าเลยหรือครับ "

หลวงพ่อ - ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักกัน ไม่จำเป็น!"

ผู้ถาม – แล้วมีอีกอย่างหนึ่งครับ เกี่ยวกับการสอนเรื่องนรกสวรรค์นี่..."

หลวงพ่อ - ความจริงในพระไตรปิฎกท่านก็ยืนยัน เรื่องนรกสวรรค์นี่มีจริง เรื่องนรกยืนยันตั้งแต่เล่ม ๑"

ผู้ถาม – ที่เป็นมหาเปรียญได้ ก็ต้องผ่านแปลมาก่อน ก็ต้อง..."

หลวงพ่อ - ไอ้นั่นแปลผ่านมาแล้วทั้งนั้น กลับมาเป็นมิจฉาทิฏฐิร้ายกาจมาก ก็เป็นเรื่องแปลกเรียนผ่านแล้ว แล้วเวลาไปเทศน์โปรดเขาแต่ว่าตัวเองไม่ทำ ไอ้นั่นยังดีกว่าไปคัดค้านพระไตรปิฎก นี่หนักมาก"

ผู้ถาม – และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บอกว่า ไม่ดีแล้วยังสอนคนไม่ให้เชื่อ ทำลายล้างพระพุทธศาสนา"

หลวงพ่อ - ไอ้ที่พูดแบบนั้นเห็นแก่แบ็งค์อย่างเดียว เห็นแค่ค่าจ้าง"

ผู้ถาม – ต้องมีอะไรอยู่นะครับ"

หลวงพ่อ - ใช่ ๆๆ"

ผู้ถาม – ผมนึกว่าพวกมิจฉาทิฏฐินี่ ท่านปู่พระยายมน่าจะส่งลูกน้อง เอากระบอกเล็ก ๆ มาอบรมสั่งสอนสัก...โป๊ก ๆๆ จะได้รู้เสียที"

หลวงพ่อ - ไม่เป็นไรหรอก ท่านมีเตาอุ่นให้แล้ว ไปอยู่นาน ๆ"

ผู้ถาม – ผมมานึกถึง เอ๊ะ! ทำไมเด็ก ๕-๙ ขวบไปกันคล่อง เที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลิน ที่วัดอะไรที่ฝั่งธนบุรีเป็นมหา...ประโยคนี่ ไม่เชื่อและก็ปฏิเสธ พอสุดท้ายก็เจอเด็กดีวัดท่าซุง ลูกศษย์วัดท่าซุง อายุประมาณ ๙ ขวบเด็กได้มโนมยิทธิ ก็มีข้อแม้กันนะครับ ถ้าเด็กตอบได้ตอบถูกต้องตามความเป็นจริง พระตั้งแต่นี้เป็นต้นไปต้องเจริญกรรมฐานทุกวัน เขาต่อรองกันยังงั้นเลยนะครับ

พระก็ถามว่า ไอ้หนู! ไอ้ที่ว่านรก สวรรค์ พระหม มีจริงไหม มีจริงมีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ "

เด็กก็บอกว่า เอายังงี้ซิครับ หลวงอาดื่มน้ำร้อนไม่ต้องเป่า ซดโป้งไปมันร้อนหรือเย็น

มหานั่นบอก ก็ร้อนซิ

เด็กก็บอกว่า นรกนั่นมันร้อนกว่านั่นหลายแสนเท่า ไม่เชื่อหลวงอาไปเปิดพระไตรปิฎก

ก็ไปเลยเปิด เออ...จริงว่ะ! เอ็งพูดถูกว่ะ เอาได้ข้อละ พอถามสวรรค์ แหม...พอพูดสวรรค์ เด็กปื้ดเลย...พูดคล่อง ทีนี้มหาทำท่าจะกราบเด็ก เด็กก็บอกว่า มหากราบพระพุทธรูปแทนก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้มันกลับตาลปัตรกันแล้ว ก็ยังโชคดีสำนึกได้แล้วก็กลับตัวใหม่"

หลวงพ่อ - ความจริงก็ต้องว่าเลวมาก เรียนตั้ง ๗ ประโยค แต่เสือกคัดค้านพระไตรปิฎก"



๓๑๕. พระอยู่ปริวาสกรรม


ผู้ถาม – หลวงพ่อเจ้าขา ในระยะปีสองปีนี้ ลูกเห็นพระท่านอยู่ปริวาสกรรม หลายวัด หลายครั้ง แสดงว่าศีลของท่านไม่เหนียวแน่นกระมังคะ จึงสงสัยว่า หลวงพ่อมีกรรมวิธีรักษาอย่างไร หลวงพ่อจึงรักษาศีลได้เหนียวแน่น ไม่ขาดสิกขาบทเจ้าค่ะ "

หลวงพ่อ - เดี๋ยวก่อน..พระที่อยู่ปริวาสกรรม ศีลเขาไม่ได้ขาดหรอกนะ ศีลขาดอยู่ปริวาสไม่ได้ คือ อยู่ปริวาสกรรมเขาป้องกัน สังฆาทิเสส บางทีบางองค์เขาไม่ได้เป็น แต่อยู่เพื่อความสะอาด สะอาดอยู่แล้วก็ต้องการสะอาดยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็นอาบัติทุกองค์ และสังฆาทิเสสไม่ใช่ศีลขาด เป็นแค่ศีลมัวหมอง ยังไม่ถึงขั้นนะ ก็มีเยอะที่อยู่กันแล้วไม่ได้เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ฉันก็เคยอยู่กับเขา เพราะอะไรรู้ไหม.. กับข้าวดี ตามปกติโยมไม่ค่อยถวายหรอก พออยู่ปริวาสกรรม โอ...มากันใหญ่ มีหมู มีไก่ มีพุง เลยล่อเข้ามาทุกเที่ยว"



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 24/11/09 at 08:16 Reply With Quote


๓๑๖. ทำบุญกับพระอยู่ปริวาสกรรม


ผู้ถาม – หลวงพ่อเจ้าขา หนูอยู่ใกล้วัดที่เขาจัดปริวาสกรรมเป็นประจำ คุณพ่อกับคุณแม่เขาเถียงกัน ไม่เคยจะลดลาวาศอก พ่อบอกว่าพระที่อยู่ปริวาสเป็นพระมีอาบัติ ทำบุญแล้วไม่เกิดบุญ คุณแม่บอกว่าพระอยู่ปริวาสดี เอากิเลสออก ทำแล้วจะได้บุญ พ่อแม่เถียงกันเป็นประจำ ลูกก็เลยบอกว่า วันนี้หยุดเถียงก่อน จะไปถามหลวงพ่อแล้วจะเล่าให้ฟังว่า พ่อหรือแม่ใครจะถูกกันแน่"

หลวงพ่อ - (หัวเราะ) ฉันสงสัยว่า จะถูกด่านะ เอายังงี้ก็แล้วกัน พูดตรงไปตรงมานะ ความจริง ถ้าพระเป็นอาบัติ ก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ยังเป็นพระอยู่ ก็มีความมัวหมองนิดหน่อย ก็เป็นเรื่องธรรมดาของพระ ใช่ไหม.. ทำบุญยังได้บุญ ทีนี้เวลาพระอยู่ปริวาสกรรม ไม่ใช่พระจะเป็นอาบัติทุกองค์ เพราะว่าบางองค์ที่เป็นอาจารย์ไม่ได้เป็นอาบัติ อาจารย์ที่ควบคุมน่ะ เป็นพระที่บริสุทธิ์ เขามีอยู่ ฉะนั้นทำบุญกับพระประเภทนั้นเป็นสังฆทานตรง มีอานิสงส์มาก"

ผู้ถาม – อ๋อ...เป็นบุญนะ"

หลวงพ่อ - ใช่ ๆ แต่ตอนมาเถียงกันไม่ใช่บุญนะ...บาป! ใจเศร้าหมอง"



๓๑๗. พระขอเกินพอดี


ผู้ถาม – เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ลูกและสามีได้ไปรู้จักวัดแห่งหนึ่ง ได้ไปทำบุญบ่อย ถวายปัจจัยและกระเบื้องมากพอสมควร เมื่อก่อนก็ไม่ได้คิดอะไร ก็ไปที่วัดร่มเย็นสงบดี แต่ระยะหลังหลวงพ่อที่นั่นมักจะให้สามีของลูก ซื้อกระเบื้องจะปูโบสถ์ว่าต้องการเท่าไร ใจของลูกก็อยากทำบุญ แต่ต้องการทำด้วยความเต็มใจ บางอย่างที่อยากทำมากกว่าที่จะมาบอก ให้ออกค่ากระเบื้องจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ให้ออกให้ด้วย ซื้อของมาแล้วและให้ไปจ่ายเงินด้วย และบางครั้งเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลก็โทร.มาบอกให้ลูกไปเสียเงินให้ทุกครั้ง บางทีก็ขอให้เอาเงินตามจำนวนที่บอก ให้เอาเข้าบัญชีธนาคารให้ด้วย ตามที่ท่านโทร.บอกมาล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องของวัดเลย ท่านจะโทร.ให้ช่วยทุกครั้งไป ที่ท่านมาบอกสามีของลูก เวลาลูกและสามีได้ถวายปัจจัยทุกครั้งไป จะได้บุญหรือบาปค่ะ ลับหลังท่านแล้วใจไม่อยากทำเลย แต่เวลาท่านมาบอกใจอ่อนทุกครั้ง หรือว่าพระองค์นี้ท่านมีคาถาเป่าให้เราใจอ่อนเจ้าคะ "

หลวงพ่อ - (หัวเราะ) เอาแล้ว ๆ ว่าไม่ได้ ฉันต้องไปเรียนกับท่านบ้างแล้ว กำลังจะหาครูอยู่เชียว ความจริงก็...เอ๊ะ! ชักสงสัยเหมือนกันนะ ถ้าพระขอเกินพอดีนี่ ไม่ใช่ลีลาของพระ ฉันก็สงสัยนะ เพราะพระจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านห้ามขอ การขอต้องขอด้วยอาการดุษณีภาพ ถ้าพูดไปเขา เกิดศรัทธาเอง เขาให้เท่าไรพอใจเท่านั้น ใช่ไหม..

ก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า พระต้องทำตัวอย่าง พระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ทำตัวอย่างแมลงภู่ แมลงภู่ต้องการส้ำหวานจากเกสร ไม่ทำเกสรให้ชอกช้ำฉันใด พระโมคคัลลาน์จะไปที่ไหนก็ตามคนเขาให้ ให้ด้วยศรัทธาแท้ท่านไม่ขอ ถ้าการออกปากขอ ฉันว่าไม่ใช่จริยาของพระ อันนี้ไม่ควรอย่างยิ่ง

ลีลาพระไม่ควรจะออกปากขอ มันเป็นการทำลายศรัทธา พระที่ออกปากขอถ้ามีในสำนักของฉัน ไม่ช้าฉันอัปเปหิหมด มันไม่ได้ ต้องให้เขาเกิดศรัทธาเอง ถ้าเขามีศรัทธาเองเขาให้ เป็นเรื่องของเขาใช่ไหม.. เขาอยากจะทราบราคาอันนี้ เราบอกเขาได้ ไม่ใช่ไปเน้นว่า ต้องเอายังงั้นยังงี้ ใช่ไหม..

ฉันชักสงสัยว่าเป็นพระนิกายไหน นิกายขอละมั้ง มันจะซวย ก็พิจารณาเองก็แล้วกันนะ ผู้ให้ถ้าให้ด้วยศรัทธาก็ไม่เป็นไร ถ้าให้ด้วยศรัทธาต่อมามาเสียดายทีหลัง อานิสงส์มันด้วนไปหน่อย คือว่าการให้มีอานิสงส์ครบ ๑.ก่อนจะให้เต็มใจจะให้ ๒.ขณะให้ก็ให้ด้วยความเต็มใจ ๓.ให้แล้วมีความเลื่อมใส ครบเจตนา ๓ ประการ ถ้าครบอย่างนี้มีอานิสงส์เลิศ ถ้ามันขาดเจตนาจุดใดจุดหนึ่ง อานิสงส์ได้เหมือนกันแต่ลดน้อยลงไป

การเอ่ยปากขอนี่ไม่ถูกสมณวิสัยนะ ถ้าพูดปรารภให้ฟังของราคาเท่านี้ ๆ ถ้าเขาเต็มใจจะทำเองเขาให้ อันนี้ไม่เป็นไร ถ้าขอ..อันนี้คุณต้องเอาไปนะ นี่เป็นการบังคับศรัทธา นี่น่ากลัวจะบาปนะ พระ อยากได้อย่างนั้นอยากได้อย่างนี้ คุณรับไปทีนะ ต้องการนั้นต้องการนี้ อันนี้มันรบกวน แต่ว่าสิ่งที่เรามีความต้องการจริง ๆ มีความจำเป็นมาก เราปรารภกันเขาจะให้หรือไม่ให้นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรจะเจาะจงเฉพาะบุคคลนะ"

ผู้ถาม – พระองค์นี้เมื่อมาถึงที่บ้าน ตอนกลางคืนขึ้นบ้านเอง โดยที่เราไม่ได้นิมนต์ขึ้นไปบนบ้าน ตรงเข้าห้องพระเลย อย่างนี้จะผิดศีลไหมคะ "

หลวงพ่อ - ก็ยังไม่ผิด เพราะยังไม่ได้ขโมยของนี่ ถ้าโดยมรรยาทพระก็ผิดมากทีเดียว ถ้าโดยศีลยังไม่ขาดนะ"



๓๑๘. ขอพระช่วยนวดเลยตกบันได


ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมขอกราบเรียนเรื่องจริงปรากฏย่อ ๆ ดังต่อไปนี้ ขณะที่ผมกำลังนั่งสวดมนต์อยู่ ปรากฏว่าขาแข้งมันปวดเมื่อย ก็เลยเหยียดออกไปทางพระพุทธรูป ปากก็สวดไป มือก็นวดไป ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยนวดไปด้วย ผลปรากฏว่าพอเลิกสวดแล้ว ก็จะลงจากบันไดเหลืออีก ๕ ขั้น ปรากฏว่ามีเท้าเบ้อเร่อเท่อ...ถีบโครม! จาก ๕ ขั้นลงถึงพื้นดินดังพลั๊ก แล้วมีเสียงบอกว่า "กูนวดให้มึงแล้ว..."

หลวงพ่อ - (หัวเราะ) คนนี้เขาดีบารมีสูง"

ผู้ถาม – สูงยังไงครับ...หลวงพ่อ "

หลวงพ่อ - สูงซิ...ขนาดเทวดาเอาเท้ายันได้ น้อยคนที่จะพึงได้อย่างนี้ หายาก อาจารย์ยกทรง อายุเท่าไรล่ะ "

ผู้ถาม – ผม ๔๙ ครับ"

หลวงพ่อ - เคยพบบ้างไหมล่ะ "

ผู้ถาม – ไม่เคยครับ"

หลวงพ่อ - ฉัน ๗๐ กว่าแล้ว ยังไม่เคยเลย"

ผู้ถาม – เออ...คนนี้ดีกว่านะ ฉะนั้นใครเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย ก็เอา ๕ ขั้นอย่างนี้"

หลวงพ่อ - ระวังจะล่อ ๙ ขั้นเข้าซิ"

ผู้ถาม – เขาบอกว่า อาการปวดเมื่อยน่ะหายไป แต่ว่านิ้วโป้งซ้นหมด แกก็เลยบอกว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เรื่องไหว้พระแล้วหันเท้าไปทางพระ ให้พระช่วยนวดไม่เอาอีกแล้วครับ เอ.. เป็นไปได้หรือครับ..หลวงพ่อ ผิดนิดผิดหน่อยอย่างนี้ ท่านก็เล่นงาน "

หลวงพ่อ - คงเป็นเทวดา เทวดาองค์นั้นเป็นญาติกัน ถ้าพ่อตายแล้วก็คือพ่อ ถ้าพ่อยังอยู่คือปู่ เขาเตือนไม่ควรทำอย่างนั้นเป็นการปรามาส ถึงไม่มีเจตนาปรามาส แต่กิริยามันปรามาส"



๓๑๙. พบสิ่งประหลาด


ผู้ถาม – กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกใคร่อยากจะขอรบกวนหลวงพ่อ คือ อย่างนี้เจ้าค่ะ ลูกก็ได้ปฏิบัติกรรมฐานจากหลวงพ่อ มโนฯ ก็พอไหว แต่ที่ประหลาดใจก็คือว่า เวลากลางวันพอลูกเริ่มหลับทีไร จะปรากฏว่ามีสิ่งประหลาดชอบมาเปิดพัดลมทุกครั้ง ไม่แน่ใจลูกก็ไปปิดเอาสวิทช์ออก แล้วก็หลับไปทีไรก็ชอบมาเปิดทุกครั้ง จนกระทั่งทุกวันนี้ทำให้ลูกเป็นโรคกลัวผี ไปแล้ว..."

หลวงพ่อ - แล้วกัน ๆๆ ผีเมตตา"

ผู้ถาม – เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็เลยทำให้กรรมฐานของลูกง่อนแง่นคลอนแคลน นั่งก็ไม่อยู่ ขอให้หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ"

หลวงพ่อ - เอายังงี้ก็แล้วกัน เขาเปิดพัดลมให้น่ะดีแล้ว เพราะมันร้อน นั่นต้องเป็นเทวดาที่รักษาตัว เราเอง อย่างน้อย ๆ ก็เคยเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นปู่ เป็นย่า มาก่อน ท่านจึงสงเคราะห์น่ะ มันควรจะดี ไม่น่าจะเป็นประสาท"

ผู้ถาม – ถ้าหากว่าเจออย่างนี้แล้วเวลาก่อนนอน บอก ท่านเจ้าขาช่วยปิดให้ด้วยนะ ท่านเจ้าขา ช่วยเปิดให้ด้วยนะ"

หลวงพ่อ - ถ้าไปใช้ไม่ทำนะ...ไม่ทำ เห็นควรจึงทำ"

ผู้ถาม – ต้องแล้วแต่ท่านหรือครับ "

หลวงพ่อ - ใช่ ๆๆ"



๓๒๐. เด็กเป็นโรคประหลาด


ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อเดือนที่แล้วปรากฏว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่ง ป่วยแบบประเภทที่เรียกว่าประหลาด คือไปหาหมอโรงพยาบาลไม่บอกอาการ เอ็กซเรย์ก็แล้ว ตรวจก็แล้ว ปรากฏว่าไม่มีโรคอะไรเลย แต่จริง ๆ แล้วเด็กเจ็บที่หัวใจเป็นอย่างมาก ก่อนที่เด็กจะเจ็บนี้ ปรากฏว่ามีผู้ชายสองคน แต่งตัวมีเครื่องประดับมาไล่จับเด็กผู้หญิงคนนี้ บอกให้ใส่เครื่องประดับซะ จะได้กลับไปที่เดิม แต่ว่าไม่ยอมอยากกลับ อยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป สองเทวดาโมโหมากบอกว่าแล้วค่อยดูกันว่าใครจะแน่กว่ากัน ก็ปรากฏว่าตั้งแต่นั้นมา เด็กก็เลยเจ็บป่วยรักษาไม่หายแก้ไม่ตก หลวงพ่อขอรับ มีทางเมตตาที่จะแนะนำแก้ไขได้บ้างหรือไม่ขอรับ "

หลวงพ่อ - ไม่ยากหรอก"

ผู้ถาม – วัดนี้ไม่เคยมีอะไรยากเลยนะ"

หลวงพ่อ - ก็สบายไม่มีปัญหา... (หัวเราะ) วัดก็ไม่ยาก เท่าที่พูดมานี่น่ะ มองเห็นนก มองเห็นไก่ มองเห็นปลา ให้ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยไก่ ไม่จำกัดตัวนะ อย่างละตัวก็ได้ ใช้ได้ แล้วก็บอกว่า ขออยู่ต่อจนกว่าจะครบอายุขัย นั่นแหละเขาเป็นเจ้าของเก่า"



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 30/11/09 at 08:33 Reply With Quote


๓๒๑. หนูทำฟัน


ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อเดือนที่แล้วหนูไปทำฟัน ในขณะที่หมดกำลังขูดฟัน หนูอยู่ หนู..."

หลวงพ่อ - (หัวเราะ) หมอทันตแพทย์ทำฟันหนู!"

ผู้ถาม – เอาคนดีกว่านะ ลูกก็แล้วกัน ในขณะที่หมดกำลังขูดฟันลูกอยู่นั้น ใช้ตามแบบฉบับหลวงพ่อ

๑.ภาวนา นะมะพะธะ ๒.จับภาพพระพุทธรูปไปด้วย ลูกมีจิตเป็นสุขมาก แต่ชั่วแป๊บเดียว ไม่ใช่หลับตา ไม่ใช่ลืมตา ไม่ใช่ง่วงนอน เห็นจริง ๆ เลยเจ้าค่ะ ผู้ชายผิวสองสี รูปร่างค่อนข้างท้วม วัยกลางคนหน้าตาดีแต่ไม่ใส่เสื้อ มีสร้อยคอเส้นใหญ่ยาวมาก เส้นหนึ่งเป็นทองคำ เส้นหนึ่งเป็นนาค ก้มลงมองดูลูก ลูกก็เกือบจะตกใจกลัวแต่นึกอีกทีว่า เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแล้วต้องไม่กลัวใด ๆ ทั้งสิ้น

จึงจะเรียนถามว่า ท่านมาปรากฏในลักษณะอย่างนี้ จะมาดีมาร้าย มาสงเคราะห์หรืออย่างไร...ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ "

หลวงพ่อ - ท่านมาดูว่าถึงเวลาตายหรือยัง"

ผู้ถาม – อ๋อ...ก้ม ๆ ดู ดูว่าตายหรือยัง แหม...ไม่น่ามาเลยอย่างนี้น่ะ"

หลวงพ่อ - อ้าว...ควรจะมา ความจริงก็เป็นเทวดาท่านสงเคราะห์ โดยมากก็เป็นอย่างนั้น ฉันไปทำฟันทีไรก็แบบนั้น ฉันไม่รู้เรื่อง"

ผู้ถาม – หลวงพ่อเคยมีประสบการณ์เหมือนกันหรือครับนี่ "

หลวงพ่อ - มี...เพิ่งจะทำ ทำเพิ่งเลิกมานี่ ฟันมันเสียวฟันมันผุ ข้างในนะ พอหมอบอกจะเจ็บ ถามว่าจะเจ็บจะเสียวไหม เขาบอกถึงขั้นเจ็บจะเสียว บอก เออ...ก็แล้วไป เราก็เปิดแน่บ! เหมือนกับหลับ แต่ความจริงร่างกายเหมือนหลับ แต่ใจไม่ได้หลับ มันก็เที่ยวไป คุยกับใครเรื่อย ๆ ไป"

ผู้ถาม – ความรู้สึกทางฟันมีเจ็บไหมครับ "

หลวงพ่อ - ไม่มี...เลิกกัน!"

ผู้ถาม – อ๋อ...อย่างนี้เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็ย้ายจากนี่ไปไหน ๆ ได้ซิครับ"

หลวงพ่อ - ใช้...ย้ายเข้าส้วมถึงสะดวก"

ผู้ถาม – โอ้ย! ได้วิธีใหม่แล้ว ก็เป็นอันว่าที่เห็นนั่นก็เป็นเทวดานะมาสงเคราะห์ จะได้เจ็บน้อยลง ไปหน่อย"



๓๒๒. ลางสังหรณ์


ผู้ถาม – กราบเท้านมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ตั้งแต่ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติของหลวงพ่อแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นนี่ จะมีลางสังหรณ์ล่วงหน้า และจะมีการแม่นยำอยู่เสมอ ๆ ไม่ทราบเป็นเพราะหลวงพ่อหรือเทวดา นี่ก็ไม่ถามหรอกเจ้าค่ะ ที่จะถามก็คือว่า วิธีที่จะตอบแทนบุญคุณลางสังหรณ์นี้ ควรจะทำแบบไหนประการใดเจ้าคะ "

หลวงพ่อ - ไอ้ลางสังหรณ์น่ะ คือ ทิพจักขุญาณ บูชาพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ ทำกรรมฐานเรื่อย ๆ นั่น ทิพจักขุญาณอย่างอ่อน ถ้าทิพจักขุญาณอย่างอ่อน ถ้าอะไรจะเกิดขึ้นจะรู้สึกตัวก่อนล่วงหน้านะ ฉันเคยเป็นมาก่อนตั้งแต่เด็ก ๆ"

ผู้ถาม – ตั้งแต่เด็กเลยหรือครับ "

หลวงพ่อ - ใช่...ตั้งแต่เด็กอายุ ๕-๖ ขวบ ตั้งแต่เด็ก ๆ มา ถ้าจะไปบ้านไหนก็ตาม บ้านนั้นถ้ามี คนตายแล้วกี่คนจะพบหมด คือไม่ใช่ฉันไปหาเขานะ เขามาหาฉัน"

ผู้ถาม – คนที่ตายแล้วมาหา "

หลวงพ่อ - ใช่ ๆๆ มาในรูปเดิม และจะเล่าความเป็นมาทั้งหมดให้ฟัง ประวัติต่าง ๆ นะ และถ้าหากว่าถ้าของอะไร ลูกหลานยังไม่รู้ที่เก็บไว้ บอกว่าตอนเช้าบอกมันด้วยนะ ว่าทองเก็บไว้ที่นั่น เงินเก็บไว้ที่นี่มันหาไม่ได้ เมื่อไปถามเข้าเป็นความจริงทุกอย่าง นี่รู้มาตั้งแต่เด็กนะ เฉพาะอารมณ์นี้นะ"

ผู้ถาม – ที่ว่าลางสังหรณ์นี่นะครับ "

หลวงพ่อ - ใช่ ๆๆ"

ผู้ถาม – ยังงั้นวิธีที่จะทำบุญตอบแทน ก็ตอบแทนพระพุทธเจ้า"

หลวงพ่อ - พระพุทธเจ้าซิ เจริญกรรมฐาน สวดมนต์ไหว้พระเสมอ ๆ ค่อย ๆ ทำไป ไม่ช้าก็เก่ง"



๓๒๓. สวดมนต์ย่อ


ผู้ถาม – หลวงพ่อคะ การสวดอิติปิโส ภควา ๓ บท ระยะหลัง ๆ นี่ ลูกก็ไม่ค่อยมีเวลา ก็มีธุรกิจมาก ลูกก็เลยย่อออกมาเอาหัวใจมาแต่ละคำ เช่น อิติปิโส ลูกก็ว่า อิ สวากขาโต ลูกว่า สวาก สุปฏิปันโน ว่า สุ ถ้ามีเวลาลูกก็สวดยาว ถ้าไม่มีเวลาลูกก็สวดย่อ อันนี้จะพอมีผลแก่ลูกบ้างหรือเปล่าเจ้าคะ "

หลวงพ่อ - เอายังงี้ก็แล้วกัน ถ้าเวลานั้นนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ ด้วย ความเคารพ เราจะสวดว่ายังไงก็ได้ผล ถ้าเราไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ สวดยังไงก็ไม่ได้ผล อยู่ที่ใจตัวเดียวนะ"



๓๒๓. สงสัยพระใหญ่


ผู้ถาม – กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงลูกได้อ่านหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๗ ความตอนหนึ่งบอกว่า หลวงพ่อโหน่ง ถามหลวงพ่อว่า เคยเห็นภาพ "พระใหญ่" แล้วครั้งหนึ่งใช่ไหม หลวงพ่อก็ตอบว่าใช่ ทุกวันก็ยังเห็นอยู่ใช่ไหม หลวงพ่อก็ตอบว่าใช่ ลูกสงสัยพระใหญ่องค์ไหนเจ้าคะ "

หลวงพ่อ - พระใหญ่ หมายถึง พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

ผู้ถาม – หลวงพ่อก็เห็นตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เลยซิครับ"

หลวงพ่อ - คือว่าไม่ใช่เป็นเด็กนะ บวชได้วันที่สามก็นั่งเล่นอยู่ตอนเย็น ๆ ประมาณ ๕ โมงเย็น ก็นึกว่าพระพุทธเจ้าสมัยที่เป็นมนุษย์รูปร่างท่านเป็นยังไง เราไม่เคยเห็นอยากจะเห็น เท่านั้นแหละ ตอนนั่ง โอ้โฮ! หน้าตักเลย ๘ ศอก และมีผู้ชายคนหนึ่งหน้าแท่นนะ ท่านเรียกผู้ชายคนนั้น "มหาพุฒ ๆ" ก็คือลุงพุฒนี่เอง มหาแปลว่าผู้ใหญ่นะ ก็สวยมาก เนื้อเหลืองอ่อนกว่าจีวรนิดเดียว จีวรน่ะเหลือง จีวรไม่ใช่กลัก เนื้อน่ะเหลืองจัด แต่อ่อนกว่าจีวรนิดหน่อย เป็นอันว่า ตั้งแต่นั้นมาท่านบอกว่า ทีหลังถ้านึกถึงฉันจำภาพนี้ไว้นะ"

ผู้ถาม – วันนั้นที่เห็นภาพ มีการสนทนาอะไรหรือไม่ครับ "

หลวงพ่อ - พูดไม่ออก!"

ผู้ถาม – ตื่นเต้นเลยหรือครับ "

หลวงพ่อ - ปีติ...ไอ้ปีติถ้ามันเลยไป ไม่ได้พูดกันนะ วันหลังนี่ได้พูดกัน วันนั้นได้นั่งดูประมาณ ๒ ชั่วโมง นึกอะไรก็ไม่ออก ดูนั่นก็สวยนี่ก็สวย สวยไปหมด ท่านก็นั่งยิ้ม ๆ ยิ้มเฉย ๆ และก่อนจะไปท่านบอกว่า "ความปรารถนาสมหวัง" แล้วหายไปเลย"

ผู้ถาม – ตอนนั้นกำลังหวังอะไรอยู่หรือเปล่าครับ "

หลวงพ่อ - ตอนนั้นไม่ได้หวังอะไร หวังบวชเฉย ๆ บวชใหม่ ๆ ยังไม่รู้เรื่อง ๓ วันน่ะ ยังไม่รู้เรื่อง พุทธคุณสังฆคุณยังไงยังไม่รู้เรื่อง ก็หวังอย่างเดียวว่า ถ้าบวชดีสบายดีเราจะอยู่ตลอด ถ้าหากว่าบวชไม่สบายก็อยู่ไม่ตลอด แต่เราชอบบวช คือว่าอยู่วิเวก เป็นฆราวาสมันเหนื่อยใช่ไหม งานก็หนัก อันตรายก็มี อยู่ระหว่างอันตราย ก็บวชอยู่สบายกินข้าว ๒ เวลา กำลังฝึกตอนนั้นนะ ท่านบอกความปรารถนาสมหวัง"



๓๒๔. เทศน์กัณฑ์แรก


ผู้ถาม – กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า สมัยก่อนเคยไปเทศน์กัณฑ์แรกให้เทวดาฟัง หลวงพ่อได้เทศน์เกี่ยวกับเรื่อง ขันธ์ ๕ กระผมสงสัยว่า เทวดาจะเอาขันธ์ที่ไหนมาฟัง ลูกก็เลยงง ๆ ก็เลยไม่เข้าใจ"

หลวงพ่อ - เทวดาน่ะไม่มีขันธ์ ๕ ไม่มีขันธ์ ๔ เขาอยู่ด้วยกายเป็นทิพย์ อทิสสมานกายใช่ไหม.. เรา เราเทศน์เรื่องขันธ์ ๕ ไม่ดีว่าอย่ามาเกิดเลย มีขันธ์ ๕ มันเป็นทุกข์ ให้เทวดาจำไว้ บางองค์ท่านอยากจะลงมา บางองค์ก็ไม่อยากลงมาใช่ไหม.. และที่เทศน์ความจริงไม่ใช่เรื่องของฉันเทศน์หรอก พระพุทธเจ้าท่านยืนอยู่ข้างหลัง ดลใจให้พูด ฉันจะเทศน์ยังไง พรรษา ๒ โธ่เอ๋ย..."

ผู้ถาม – ตกลงว่าขณะที่เทศน์นั้น สมเด็จท่านคุมหรือครับ "

หลวงพ่อ - ขณะที่นั่งบนแท่น นึกว่าจะเทศน์ยังไง ไม่เคยเทศน์ เห็นพระพุทธเจ้าท่านยืนอยู่ข้างหลังบอก "ว่าไปตามอารมณ์นึก" ก็ว่าไปตามเรื่อง"

ผู้ถาม – ขณะที่เทศน์ใช้เวลาในเมืองมนุษย์ประกาณ ก็..."

หลวงพ่อ - ไม่รู้เท่าไหร่นะ ขึ้นไปบ่าย ๒ โมง ลงมาตี ๒ ก็ขึ้นประเดี๋ยวเดียว ประเดี๋ยวเดียว เวลาที่พูดน่ะ มีความรู้สึกว่าประเดี๋ยวเดียว แต่เวลาเทวดาชั้นดาวดึงส์ ๑๐๐ ปีของเรา เป็น ๑ วันของเขานะ ขึ้นไปก็ไม่มีเวลาช้า เพราะขึ้นไปปุ๊บน่ะ ก็ไม่เห็นใครเลย และก็มีเทวดาองค์หนึ่งท่านมานิมนต์ ทรงเครื่องแต่ว่าไม่ใส่ชฎา บอกว่าท้าวโกสีย์นิมนต์ให้ไปที่ เทวสภา พอเดินเข้าไปปั๊บ ไปถึงโยมก็ออกมา "คุณ...เอาไม้ตะพดมานี่เถอะ!"

ผู้ถาม – อ๋อ...ตอนนั้นทรงเครื่องเต็มยศเลย"

หลวงพ่อ - ทรงเต็มยศเลย แบบพระมาลัย... (หัวเราะ) ก็ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยนี่นะ ทีแรกขึ้นไปขึ้นไปเฉพาะผ้าเตี่ยวผืนเดียว ลงมาก็ล่อเต็มยศเลยแบบพระมาลัย ท่านบอกส่งบาตรมา เวลานี้บ่ายแล้ว ไม่มีเทวดาใส่บาตร ถอดรองเท้าเสีย แล้วเข้ามาได้ ขึ้นนั่งบนแท่น บนแท่นธรรมาสน์ที่เทศน์ ตอนเทศน์เทวดาเต็มหมด เทวดานางฟ้าเต็ม โอ้โฮ! สวยจริง ๆ แพรวพราวระยังเป็นแก้วทั้งนั้น ก็นึกในใจจะเทศน์ได้ยังไง ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าเห็นท่านเลย ท่านบอก "ว่าไปตามอารมณ์ที่คิด" ท่านดลใจให้พูด ฉันพูดขันธ์ ๕ เวลานั้นเราไม่รู้เรื่อง"

ผู้ถาม – ขนาดพูดเองยังไม่รู้เรื่องหรือครับ "

หลวงพ่อ - ไม่รู้เรื่องมาก่อน ถ้อยคำที่เทศน์ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เลยจำคำเทศน์นั่นมาใช้เวลาเจริญกรรมฐาน"

ผู้ถาม – สังเกตดูขณะที่หลวงพ่อเทศน์นั้น เทวดานางฟ้าฟังด้วยความสงบเรียบร้อย หรือแจ๊ก ๆ อย่างนี้ มนุษย์ก็เอาเหมือนกันน่ะ เทศน์ไปพวกก็ล่องุ้ม ๆ"

หลวงพ่อ - นั่นเขาช่วยเทศน์"

ผู้ถาม – แต่ข้างบนนั่นเขา..."

หลวงพ่อ - เงียบสงัด...ไม่มี พระอินทร์ท่านอยู่ด้วย ใครจะเอะอะโวยวายล่ะ ก็มีพูดอยู่องค์เดียวพระอินทร์องค์เดียวเท่านั้นแหละ "นิมนต์ขึ้นธรรมาสน์ครับ ทีหลังมาก็ไม่ต้องแต่งตัวแบบนี้" (หัวเราะ)

ผู้ถาม – หลวงพ่ออายไหมครับ "

หลวงพ่อ - ไม่อายละ...หน้าด้านเสียอย่าง... (หัวเราะ) จะไปอายอะไร มันเอาเข้าแล้ว ไป แล้วด้วย"



๓๒๕. อ่านประวัติหลวงพ่อปาน


ผู้ถาม – เรียนถามหลวงพ่ออีกนิดหนึ่งว่า ทำไมประวัติหลวงพ่อปาน บางคนอ่านแค่บรรทัดเดียว.. ขนลุกซู่ซ่า! บางคนพออ่านแล้ว แหม...คันไม้คันมืออยากจะควักสตางค์ไปทำบุญที่วัดท่าซุง อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า หนังสือประวัติหลวงปู่ปานนั้น หลวงพ่อเสกคาถาอะไรไว้หรือเปล่าเจ้าคะ "

หลวงพ่อ - (หัวเราะ) ไม่ได้เสกเลย มันเกี่ยวกับบารมีของเขา มันตรงกับจริตไงเล่า"

ผู้ถาม – และก็บางคนอ่านแล้ว เกิดศรัทธาเลื่อมใสในหลวงพ่อ อย่างนี้แสดงว่า เคยเป็นเชื้อสายหรือเปล่าครับ "

หลวงพ่อ - ใช่ ๆๆ



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 3/1/10 at 11:57 Reply With Quote


ปัญหาการเจริญพระกรรมฐาน


๓๒๖. วิธีกราบพระได้อานิสงส์มาก ๆ


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกจะขอทราบเกี่ยวกับเรื่องอานิสงส์สักเรื่องหนึ่งว่า วิธีที่จะกราบพระให้ถูกต้องตามแบบฉบับ เพื่อจะมีผลานิสงส์มาก ๆ นั้น จะต้องกราบแบบไหน ขอแบบฉบับวัดท่าซุงเป็นตัวอย่างด้วยเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ : - ให้กราบด้วยความเคารพอย่างเดียวพอ ให้จิตเคารพนะ ก่อนที่จะกราบพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธรูปก่อน กราบครั้งที่ ๒ กราบพระธรรม นึกถึงดอกมะลิแก้ว ให้ไหลจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าลงหัวเรา กราบครั้งที่ ๓ นึกถึงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคารพ..พอ เอาใจสำคัญ กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ถ้าใจไม่เคารพ ไม่มีความหมาย



๓๒๗. สมาทานพระกรรมฐาน


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าคำสมาทานกรรมฐานของหลวงพ่อ ปรากฏว่าลูกท่องไม่ได้เลย ลูกใช้อย่างนี้เจ้าค่ะ พอหลับตาปุ๊บ! ลูกบอกว่า กรรมฐานทั้งหลายที่หลวงพ่อให้ลูก ขอสมาทานทั้งหมด ณ กาลบัดนี้ แล้วก็หลับตาเลย

หลวงพ่อ : - ใช้ได้เลย ๆ อ้าว..นี่ได้จริง ๆ แต่ว่าอย่าลืมนึกถึงพระพุทธเจ้า อย่าเอาแค่หลวงพ่อนะ ว่ากรรมฐานที่หลวงพ่อเรียนมานี่ เป็นของพระพุทธเจ้า ขอยอมรับกรรมฐานทั้งหมด ที่พระพุทธเจ้าทุกสิกขาบท แล้วนอนภาวนา พุทโธ หลับไปเลย...ใช้ได้



๓๒๘. พื้นฐานการเจริญพระกรรมฐาน


ผู้ถาม : - "หลวงพ่อครับ การเจริญพระกรรมฐาน ต้องมีพื้นฐานอะไรบ้างครับ?"

หลวงพ่อ : - พื้นฐานเหรอ ถ้าเป็นผู้ชายต้องมีกางเกง...พื้นฐานจริง ๆ ก็มี ศรัทธา ความเชื่อ ตัวนี้ตัวเดียว พระศาสนาเรา ถ้าไม่มีความเชื่อเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรเป็นผล และต้องใช้ ปัญญา ร่วมด้วยนะ เขาแนะนำกันมาเราคิดดู มันควรหรือไม่ควร แต่อีกสิ่งที่เป็นฤทธิ์ มันเกินวิสัยที่เราจะคิด อย่างฤทธิ์ของวิชชา ๓ ฤทธิ์ของอภิญญา ฤทธิ์ของปฏิสัมภิทาญาณ นี่เราคิดไม่ได้ เพราะขืนคิดบ้า คิดยังไงมันก็ไม่ลงตัว มันจะเหมือนกับที่เราคิดไม่ได้ เราจะตัดความสามารถของฤทธิ์ก็ตัดไม่ลง

อย่างวิชชา ๓ มีทิพจักขุญาณ ถือว่ามีฤทธิ์ทางใจ ตามธรรมดาเราไม่สามารถเห็นสิ่งของที่ลี้ลับ ได้ใช่ไหม.. แต่ถ้าเขาได้ทิพจักขุญาณ คุณ..ไม่มีอะไรหนีเขาเลย อย่าว่าแต่วางข้างหน้าเลย วางมุมรูปไหนเขาก็รู้ วางโลกไหนก็ได้ทุกโลก นี่ถ้าเขารู้จักใช้นะที่ฝึกไปแล้วไม่รู้จักใช้นี่เยอะ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เศษ ๆ หน่อย ๆ เอาไปแล้วไม่รู้จะใช้อะไรดี บางทีก็ปล่อยบูดไปเลยมีเยอะแยะจริง ๆ แล้ว ถ้าได้แล้วเขาต้องฝึกซ้อม ทำอยู่เสมอ ๆ ได้ง่ายเกินไปเลยปล่อยหายง่าย อย่างนี้มีเยอะแยะ



๓๒๙. ทำสมาธิจิตว่าง


ผู้ถาม : - กระผมทำสมาธิจนรู้สึกว่ามีสติอย่างเดียว แล้วเห็นเงาดำแอบเข้ามา ขอถามหลวงพ่อว่า อย่างนี้จิตว่างหรือเปล่า ทำถูกต้องหรือไม่สำหรับแนวกรรมฐาน?

หลวงพ่อ : - จิตไม่ว่าง ยังมีความรู้สึกอยู่ ทำน่ะทำถูก แต่จิตไม่ว่าง การทำให้จิตว่างน่ะ ไม่มีนะคนถามเข้าใจด้วยนะ จิตว่างนี่ไม่มี จิตมันมีสภาพเกาะอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑. เกาะชั่ว ๒. เกาะดี ๓. อยู่เฉย ๆ ไม่เกาะชั่วไม่เกาะดี ตัวนี้ว่าง คือจิตมีอารมณ์ของพระนิพพาน ถ้าคำว่า "ว่าง" ในที่นี้ ก็ว่างเฉพาะอารมณ์ที่เป็นกิเลส ส่วนอารมณ์ที่เป็นกุศลมันก็ไม่ว่างเหมือนกัน

เป็นอันว่า จิตจริง ๆ มีสภาพไม่ว่างนะ ถ้าจะถามว่า เวลานั้นจิตว่างจากความชั่วหรือไม่
อย่างนี้ควรถาม อย่างนั้นต้องตอบว่า ตอนนั้นจิตว่างจากความชั่ว ๕ อย่าง ที่เรียกกันว่า นิวรณ์ คือ

๑. กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
๒. ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจ
๓. ความง่วง
๔. ความฟุ้งซ่าน
๕. สงสัย



๓๓๐. สมาธิเล็กน้อย


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะกราบเรียนถาม เกี่ยวกับเรื่องสมาธิเล็กน้อย คือว่าสมาธิของลูกนี่จะได้แค่ประมาณ ๒-๓ นาที หลังจากนั้นไปอารมณ์จะฟุ้ง แล้วก็ทุกวันเป็นอย่างนี้ ไม่สามารถจะแก้ได้ ขอบารมีหลวงพ่อช่วยแก้เรื่องการปฏิบัติของลูก ให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : - พอแล้ว ๒ นาทีพอแล้ว อย่าลืมนะวันละ ๒ นาที ๑๐ วันเท่าไหร่ ๑๐๐ ปีเท่าไหร่ วิธีที่ทรงสมาธิให้ทรงตัว จับอานาปานุสสติ โดยเฉพาะ ฝึกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า หายใจออกนับเป็น ๑ ถึง ๑๐ ใช่ไหม.. ตั้งใจคิดว่าถ้ายังไม่ถึง ๑๐ จิตมันวอกแวกน่ะ เริ่มต้นใหม่ เอาให้ถึง ๑๐ ให้ได้ วิธีดีที่สุดเอาตามนี้นะ เอาดีอย่างพระพุทธเจ้าทรงตรัสกับ พระสารีบุตร ซิว่า สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร บุคคลใดทำจิตให้ว่างกิเลส วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง ตถาคตขอกล่าวว่า บุลลนั้นมีจิตไม่ว่างจากฌาน" สองนาทีนี่ มันว่างจากกิเลสนะ...ใช้ได้



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 13/1/10 at 08:52 Reply With Quote


๓๓๑. ทำสมาธิรำคาญเสียง


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง บ้านของลูกอยู่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช มีความข้องใจเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือว่า เวลาสวดมนต์ทำกรรมฐาน จะมีเสียงสวดมนต์บ่นพึมพำ ๆ เป็นผู้ชายบ้าง เป็นผู้หญิงบ้าง เป็นเด็กบ้าง แล้วก็ทำความรำคาญให้กับลูก ในขณะเจริญพระกรรมฐานเสมอ ๆ ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะมีวิธีกำจัดพวกเหล่านี้ได้อย่างไร จะได้ไม่รบกวนในการเจริญกรรมฐานต่อไปเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - เอาแล้ว..หากินพลาดบทแล้ว

ผู้ถาม : - ก็รำคาญนี่ครับ..หลวงพ่อ!

หลวงพ่อ : - ถ้ารำคาญแสดงว่าสมาธิไม่พอ ถ้าหากว่าจิตเข้าถึง ปฐมฌาน จะไม่รำคาญในเสียง แต่ความจริงนะถือว่าเป็นคนมีโชค สามารถได้ยินเสียงของพวกอมนุษย์ได้ อ ย่างนี้มีโชคนะ ถือว่าดี เขาสงเคราะห์ แต่บังเอิญถ้าผู้นั้นใช้กำลังใจไม่พอกับความดีที่เขาให้ เอาใหม่ ตั้งใจใหม่ ถ้ามันมาบ่นให้ฟังเพลินไปเลย คือต้องฝึกนะ ต้องฝึกสู้กับเสียง เพราะฌานขั้นต้น จะไม่รำคาญในเสียง เสียงได้ยินเขาพูดทุกอย่าง ร้องรำทำเพลง แต่เราจะไม่รำคาญในเสียงเขาคุย แสดงว่า คนนี้ยังมีจิตไม่ถึงฌานที่ ๑ ยังไม่เต็มปีติเลย แต่ความจริงตัวที่ได้ยินมันมาจากปีติ อันดับแรกถึงปีติได้ยินใช่ไหม.. ต่อไปจิตตก ตกจากปีติ ยังไม่ถึงฌาน ๑



๓๓๒. นั่งกรรมฐานมีคนดึง


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาลูกนั่งกรรมฐานที่บ้านก็ตาม ที่ห้องพระก็ตาม ส่วนใหญ่ก็ถนัดเรื่อง พุทโธ ที่ประหลาดใจก็คือว่า เวลานั่งภาวนาไปคล้าย ๆ จะมีใครก็ไม่ทราบ ดึงไปข้างหน้าหงายไปข้างหลัง เอียงไปข้าง ๆ ตัวโยกเยก เขาเรียกกรรมฐานโยกเยก เป็นเพราะอะไรครับ?

หลวงพ่อ : - อย่างนี้เขาเรียก โอกกันติกาปีติ ปีติตัวที่ ๓ จิตเริ่มดีแล้ว แต่ทว่าเทวดาประจำบ้าน ท่านบอกว่า อารมณ์หยาบไปเวลาขึ้นต้น อาจารย์อ่านฉันก็ถามเทวดาท่าน.. ไม่ยาก! ท่านบอกเวลาเริ่มต้นอารมณ์หยาบไป ใช้อย่างนี้นะ ก่อนเริ่มต้นพอนั่งปั๊บ หายใจยาว ๆ แรง ๆ สัก ๔-๖ ครั้ง เป็นการระบายอารมณ์หยาบ ต่อไปอาการอย่างนั้นจะคลายตัว พออาจารย์ถาม ฉันก็ถาม ท่านเหมือนกัน ท่านก็เลยบอก...ใช้ได้

ผู้ถาม : - อ้อ..ที่หลวงพ่อตอบเก่ง เพราะมีถามตอบอย่างนั้นหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ใช่..อีกหลายต่อ อย่างเมื่อคืนนี้อุทิศเจ๊งจั๊ง หลายต่อยุ่งเลย

ผู้ถาม : - ผมจะขอต่ออีกนิดคือว่า บางครั้งจะเห็นเป็นคล้าย ๆ ดวงสีขาว ๆ คล้าย ๆ แก้ว ลูกไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรครับ?

หลวงพ่อ : - นั่นละถูกแล้ว..ปีติ พออารมณ์ใจเข้าถึงปีติ อารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ เริ่มเห็นนิมิต ที่ไม่มีภาพจริง ๆ นะ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเป็นของธรรมดา

ผู้ถาม : - ครับ ๆ ที่เห็นนั่นก็เป็นของดีนะ

หลวงพ่อ : - ดีแล้ว..แต่ว่าใช้อารมณ์ให้ละเอียดกว่านั้นนะ อย่าลืมเอาแบบเกณฑ์ทหาร เขาทำอย่างไร หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกแรง ๆ ใช่ไหม.. สัก ๕-๖ ครั้งระบายอารมณ์หยาบ

ผู้ถาม : - แล้วก็บอกว่า สมัยก่อนลูกเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคโน่นโรคนี่ บัดนี้ลูกหายพอสมควรแล้ว จึงขอกราบขอบพระคุณที่หลวงพ่อเมตตาให้กรรมฐานปฏิบัติ แล้วลูกหายจากโรคภัยไข้เจ็บเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : - ยังหายไม่หมดนะ

ผู้ถาม : - เหลืออะไรครับ?

หลวงพ่อ : - โรคสงสัย!



๓๓๓. ทำสมาธิตัวโยก


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาที่ลูกสวดมนต์ก็ดี ฟังเทปก็ดี ตัวโยกไปเยกมา ระงับไม่อยู่ แต่ก็แปลกนะครับ สบายใจดีมาก อย่างนี้เป็นเพราะอะไรครับ ถ้าจะแก้ไขให้ดีไปกว่านี้อีก หลวงพ่อจะแก้ไขอย่างไรครับ?

หลวงพ่อ : - รู้แค่เฉพาะโยกไปนะ แต่เยกมาไม่รู้นะ อย่างนั้นเขาเรียก โอกกันติกาปีติ เร่งรัดมันจะเสีย อยากจะโยกก็เชิญมันโยกไปตามชอบใจ ถ้าปีติตัวนี้เต็มอารมณ์เมื่อไร ก็เลิกโยกมีอารมณ์ดิ่งเป็นฌาน



๓๓๔. ทำสมาธิง่วงนอน


ผู้ถาม : - หลวงพ่อครับ กระผมนั่งกรรมฐานทีไรแล้วเกิดนิวรณ์ตัวที่ ๓ คือง่วงนอนมากเหลือเกิน กระผมทำตามหลวงพ่อแนะนำทุกอย่าง อาบน้ำ ล้างหน้า แหงนดูฟ้า ปรากฏว่าแก้ไม่ตกเลยสักที เลยกลุ้มใจ อยากจะพึ่งบารมีหลวงพ่อ ให้หาวิธีแบบใหม่ที่ไม่ง่วงนอนด้วยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ : - มีอีกวิธีไม่ทำนี่ ถ้าง่วงก็นอนหลับไปเลย อันนี้ได้ผลนะ ดีกว่าทรมาน เพราะว่าภาวนาไป ถ้าเวลานั้นจิตไม่ถึงฌานมันจะหลับไม่ได้ ถ้านอนแล้วภาวนา ถ้าจิตถึงฌานจะตัดหลับทันที ช่วงเวลาหลับกี่ชั่วโมงก็ตาม ยังทรงฌานนั้นอยู่ ควรทำแบบนี้นะ อย่าทรมาน ง่าย ๆ หากินสะดวก ๆ เรียนกับพระขี้เกียจสบายมาก เพราะฉันหากินแบบขี้เกียจมาตลอดเวลา แบบไหนที่ได้ง่ายลงทุนน้อยเอาเลย



๓๓๕. นั่งสมาธิศีรษะสั่น


ผู้ถาม : - กระผมฝึกสมาธิอยู่ที่บ้าน พอถึงระดับหนึ่ง เกิดศีรษะสั่นอย่างรุนแรง พอตอนเช้าคอระบมไปหมด ทำอย่างไรต่อไปดีขอรับ?

หลวงพ่อ : - ความจริงก็ดีเหมือนกันนะ ก็ต้องสั่นให้มันหายระบม ต้องแก้กัน ความจริงไม่เป็นไรปล่อยไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันนะ เวลานั้นก็ถือว่าขณะนั้นจิตเข้าถึง อุเพงคาปีติ แต่ว่าหยาบไปหน่อย คอจึงระบม ถ้าจิตละเอียดนี่จะไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่มีอาการอื่น คงจะมีจิตกระสับกระส่าย กังวลน่ะ พอถึงอาการสั่นหัวนะก็จิตหยาบ



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 19/1/10 at 08:21 Reply With Quote


๓๓๖. ทำสมาธิตกใจ


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้เจริญกรรมฐานเป็นเวลาช้านานแล้ว มีปัญหาอยู่ที่ตรงที่ว่าพอจิตของลูกใกล้ ๆ จะเป็นสมาธิ จะมีสิ่งประหลาด ๆ ทำให้ลูกตกใจอยู่เสมอ จึงทำให้การเจริญกรรมฐานของลูกไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร อยากจะปรึกษาหารือหลวงพ่อว่า วิธีที่จะแก้ปัญหาแบบนี้ ควรจะแนะนำให้ลูกปฏิบัติอย่างไรเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - นั่นเป็นของธรรมดานะ ได้ยินเสียงปึงปัง ๆๆ คล้าย ๆ ใครยิงปืนใกล้ ๆ ก็มี เป็นของธรรมดา เขาลอง ๆ ตอนนั้นจิตเป็นอุปจารสมาธิ เขาลองดูว่าเราจะตกใจไหม ส่วนใหญ่เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช

ผู้ถาม : - อ้อ..นี่เกี่ยวกับเรื่องเทวดาเขาทดสอบ

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ



๓๓๗. ทำสมาธิรู้เรื่องในอดีต


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกนั่งทำสมาธิอยู่เพียงแป๊บเดียว เรื่องราวในอดีต มันปรากฏเหมือนในจอโทรทัศน์ แว๊บ..มา ๆ อย่างนั้นแหละ ลูกก็มาเกิดความสงสัยว่า อย่างนี้จิตของลูกฟุ้งซ่านอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - เป็นเรื่องธรรมดานะ เมื่อจิตสงบเรื่องราวในอดีตก็เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่ว่า ถ้าจะทรงอารมณ์ให้รักษาอานาปา มันต้องมาแน่ มาก็ช่างมัน มันแล้วไปแล้ว



๓๓๘. นั่งสมาธิลมออกหู


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา นั่งสมาธิแล้วปรากฏว่า ลมออกทางใบหู เสียงดังปี๊ด ๆ

หลวงพ่อ : - ก็ยังดี ดีกว่าออกต่ำ ดังปุ๋ง ๆ.. (หัวเราะ)

ผู้ถาม : - แต่ทีนี้เวลาจิตรวมเป็นสมาธิแล้ว ได้เห็นเป็นดวง ๆ มีกลมบ้าง บางทีก็ดำ บางทีก็ขาวลอยเข้ามาจะชนลูกตา ลูกก็ต้องผงะลืมตาแล้วก็นั่งสมาธิใหม่ แล้วก็ลอยมาแล้วก็ชนอยู่ อย่างนี้เป็นประจำ ใช้ทั้ง พุทโธ ใช้ทั้ง นะมะพะธะ แต่ไม่สามารถจะแก้ปัญหานี้ได้ ขอความเมตตา หลวงพ่อช่วยแนะนำ หรือแก้ไขครั้งนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : - จะแก้ทำไม เขาไม่แก้กันหรอก นั่นเป็น นิมิต ของ อานาปานุสสติ ใครเขาแก้กันละ เวลานั้นอานาปานุสสติกำลังเข้าถึงปีติ จึงเกิดภาพนี้ขึ้น เขียวบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้าง.. ตามใจ แล้วแต่เขาจะเกิดของเขา ก็ไปกลัวของดี กลัวสวรรค์



๓๓๙. นั่งสมาธิปวดขา


ผู้ถาม : - กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกปฏิบัติกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อทุกประการ ที่แก้ไม่ตกมีอยู่อย่างเดียวนั่นคือ นั่งไปไม่ถึง ๒-๓ นาที จะมีความรู้สึกปวดที่ขาทันที ลองเปลี่ยนแล้วมันก็เป็นอย่างนี้อีก ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า การกำหนดจิตไม่ให้ปวด การกำหนดจิตไม่ให้มีเวทนา เพื่อจะได้นั่งนาน ๆ เหมือนหลวงพ่อ จะทำอย่างไรดีขอรับ?

หลวงพ่อ : - ก็ไม่เป็นไร บีบจมูกสักหนึ่งชั่วโมง หายเอง..ตาย! ไม่เจ็บไม่ป่วยถ้ามันมีเวทนาอย่างนั้น ก็ใช้วิปัสสนาญาณช่วยซิ เกิดมาเป็นทุกข์อย่างนี้ จะเล่นแต่สมถะ ที่ว่าทำตามทุกอย่างนั้นไม่จริง ไม่จริง ฉันเล่นทุกอย่าง ถ้าป่วยขึ้นมาฉันเล่นวิปัสสนาญาณช่วย ฉันว่าทั้งสองอย่างนะ แต่นี่ล่อสมถะอย่างเดียว ไม่ใช้ปัญญาเข้าช่วย ในเมื่อนั่งมันเมื่อยก็ลุกขึ้นยืน ยืนเมื่อยก็เดิน เดินเมื่อยก็นอน นอนเมื่อยก็นั่ง นั่งเมื่อยก็เดิน นั่งเรียบ ๆ ไม่ดีก็นั่งเก้าอี้ก็ได้

ผู้ถาม : - กรรมฐานนั่งเก้าอี้ได้หรือครับ...หลวงพ่อ?

หลวงพ่อ : - โอ้ย! นั่งบนตอไม้ยังได้เลย นั่งยอดไม้ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มันอยู่ที่ใจ ให้ร่างกายสบายก็แล้วกัน

ผู้ถาม : - ก็ตกลงว่าเปลี่ยนเสียนะ อิริยาบถใดมันไม่ไหวก็.. อ๋อ..ต้องใช้วิปัสสนาญาณช่วยจะได้ประโยชน์มาก

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ มีความจำเป็น



๓๔๐. นั่งสมาธิตัวร้อน


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าคะ มีเด็กอายุประมาณ ๒๑-๒๒ ปีเจ้าค่ะ เขาเห็นพ่อเขานั่งสมาธิแล้วก็นั่งบ้าง พอถึงแค่นั้นเขาบอกทันทีว่า ตัวเขาร้อนไปหมดเลย ทนไม่ไหว เขาเลิก สาเหตุ เพราะอะไรเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ : - เรื่องนี้ตอบไม่ได้ ไม่เคยปรากฏ

ผู้ถาม : - เขาบอกร้อนไปหมดเลย เขาไม่ทำเขากลัว

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆ ต้องมีบาปอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาขวางนะ

ผู้ถาม : - แล้วสมมุติว่า เขาพยายามจะทำต่อ

หลวงพ่อ : - เอ..ถ้าทำต่อไปได้ก็ดี ทำน้อย ๆ นะ

ผู้ถาม : - พอรู้สึกร้อนก็หยุดซะ

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆ หยุดซะ ไม่ช้าก็หาย เอายังงี้นะ ไอ้ตัวร้อนนี่คือตัวบาปเก่า มันคงขวางทาง ถ้าการเจริญสมาธิอย่างน้อยจะขึ้นสวรรค์ ใช่ไหม.. ถ้างั้นต่อไปก็เป็นพรหม ต่อไปก็ไป นิพพาน ขึ้นสูงหนีมัน มันก็ขวางตัว และถ้าเราสามารถหาทางต่อสู้ ด้วยการพอรู้สึกตัว่าร้อน จะร้อนมากเกินไปเราก็เลิก ไม่ยอมแพ้มันก็หมดเรื่องดีกว่า นั่ง ๆ หนัก ๆ เข้ามันจะหายร้อนเองนะ รู้สึก ถ้าร้อนจิตกระสับกระส่ายก็เลิกซะ ถือเอาบุญเข้ามาผสมทีละหน่อยเหมือนน้ำนะ ไอ้ความร้อนเหมือนไฟใช่ไหม.. น้ำค่อย ๆ ใส่ไป ถ้าน้ำมากขึ้นมาไฟมันก็ดับ เอาอย่างนั้นก็แล้วกันนะ



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 24/1/10 at 10:06 Reply With Quote


๓๔๑. ทำสมาธิไม่ได้ดี


ผู้ถาม : - หลวงพ่อขอรับ ผมทำสมาธิทุกวัน ๆ ละหนึ่งชั่วโมงมาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วครับ มันไม่ไปเหนือไม่ไปใต้เลย ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร หรือมีกรรมเวรประเภทไหนมาปิดบัง ขอบารมีหลวงพ่อช่วยแก้ไขหน่อยเถิดขอรับ?"

หลวงพ่อ : - สมาธินี่ถ้าทำเฉย ๆ ก็ไม่ไปไหนนะ มันก็อยู่แค่ฌาน ถึงฌานหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่ากลัวจะไม่ถึงฌาน น่ากลัวตะเกียกตะกายอยู่ข้างฌาน มันขึ้นฌานไม่ไหว ไต่บันไดแกร๊ก ๆ แต่ความจริงถ้าเรื่องสมาธิจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าได้จริง ๆ ก็อยู่แค่ฌาน ๔ ฌาน ๔ แล้วก็ไม่ไปไหนละ ก็ทรงตัวบ้าง เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ไปข้างหน้า ๑ ก้าว ถอยหลัง ๕ ก้าว ทีนี้ผลการปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่ได้มุ่งสมาธิ ต้องหวังตัด สังโยชน์ ถ้าจะบอกว่าวิปัสสนาญาณก็จะมากเกินไป ความจริงถ้ามุ่งตัดสังโยชน์ ก็ต้องดูอารมณ์ใจตัวตัด ไม่ใช่ดูสมาธิ

อันดับแรก ความโลก อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมีในเราหรือเปล่า เบาลงไปไหม
ประการที่ ๒ ความโกรธ เบาไหม
ประการที่ ๓ ความหลง เบาลงไหม สิ่งทึ่มีความสำคัญคือ

๑.ลืมความตายหรือเปล่า
๒.เคารพพระไตรสรณคมน์จริงจังไหม
๓.มีศีล
๔.หวังพระนิพพานจริงจังหรือเปล่า
๕ บริสุทธิ์ไหม

เขาดูตรงนี้นะ มุ่งเอาสมาธิกลุ้มใจตาย มันไม่มีการทรงตัว เวลาใดร่างกายดีไม่มีอารมณ์กลุ้ม สมาธิก็ทรงตัวใช่ไหม.. ร่างกายอ่อนเพลียหน่อย สมาธิก็ทรุดตัว เอาแค่สมาธิไปไม่รอด

ผู้ถาม : - เมื่อภาวนาไปไม่ได้ อย่างนี้จะมีโอกาสบรรลุธรรมเบื้องสูงหรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อ : - ทะลุธรรมแน่ จุดหมายปลายทางเขาคือสังโยชน์

ผู้ถาม : - ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ ไปนิพพานเมื่อนั้น พอจะไปได้ไหมครับ...หลวงพ่อ?

หลวงพ่อ : - พอเห็นทาง แต่ไม่เข้าทาง

ผู้ถาม : - ๒๐ ปีแล้วนะครับ

หลวงพ่อ : - ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ถ้าเข้าทางจริงต้องคิดว่า

๑.ชีวิตนี้จะต้องตาย ตัวสักกายทิฏฐินะ
๒. วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
๓.มีศีล
๕ บริสุทธิ์ และก็
๔.มีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน อันนี้ถึงจะได้ อันนี้ถึงจะเข้าทางหรือเข้าเขตเลย



๓๔๒. ฝึกสมาธิไม่ได้


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าเกี่ยวกับเรื่องสมาธินี่ผมโชคดี ทำมาด้วยตนเองเป็นเวลา ๒ ปีแล้ว โดยการอ่านหนังสือบ้าง ฟังวิทยุบ้าง ดูโทรทัศน์บ้าง โดยใช้คำภาวนาว่า พุทโธ แต่ว่าไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรเลย แม้แต่นิมิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ได้ กระผมตั้งใจว่าจะมาฝึกมโนมยิทธิ เลิก พุทโธ โดยมาใช้ นะมะพะธะ จะมีทางเป็นไปได้ไหมครับ?

หลวงพ่อ : - เดี๋ยวก่อน..ขอตอบก่อน พวกที่ใช้ นะมะพะธะ เขาไม่ได้เลิก พุทโธ หรอกนะ ในช่วงที่เขาไม่ได้ใช้มโนมยิทธิ เขาก็ใช้ พุทโธ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเขาก็ใช้ นะมะพะธะ คือ "นะมะพะธะ" เป็นของพระพุทธเจ้าท่าน อย่าไปเลิกนะ ถ้าเลิก "พุทโธ" ล่ะซวย! พุทโธ ก็คือพระพุทธเจ้า นะมะพะธะ เป็นคาถาบทหนึ่งในธาตุ ๔ ของกรรมฐาน ๔๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน บอกคาถาบทนี้เอาไว้ใช้เป็นกำลังในการฝึกมโนมยิทธิ ถ้าลืมเจ้าของเก่า คือพระพุทธเจ้า ก็เจ๊ง!

ก็เป็นอันว่า จะมาฝึกมโนมยิทธิก็มาฝึกแต่อย่าทิ้ง "พุทโธ" ว่าง ๆ ก็ใช้ "พุทโธ" แบบสบาย ๆ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเราก็ใช้ "นะมะพะธะ" ก็มีหลาย ๆ อย่าง มีทั้งขา มีทั้งรถ "พุทโธ" เหมือนมีขามีแขน "นะมะพะธะ" เหมือนมีรถนั่งอย่างดี เป็นเครื่องบินก็ได้



๓๔๓. นะมะพะธะ


ผู้ถาม : - หลวงพ่อครับ อย่างคำภาวนาว่า "นะมะพะธะ" เป็นพุทธานุสสติกรรมฐานหรือครับ "นะมะพะธะ" แปลว่าอะไรครับ?

หลวงพ่อ : - "นะมะ" แปลว่า นมัสการ "พะธะ" แปลว่า พระพุทธเจ้า "นะมะพะธะ" แปลว่า ไหว้พระพุทธเจ้า เรื่องจริงนะ "นะมะพะธะ" ที่แปลว่า ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เขา ไม่ได้ภาวนา เขาพิจารณานะ คำว่า "นะมะพะธะ" ที่ท่านมาบอกจริง ๆ บอกว่าไม่ใช่ธาตุ ๔ เป็นการนมัสการพระพุทธเจ้า เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน



๓๔๔. ภาวนาแล้วจิตตกวูบไป


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกภาวนา พุทโธ กับ อานาปา ควบกันไปก็ปรากฏว่า จิตสงบมันก็ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นอุปจารสมาธิก็ไม่เชิง มันจะมีจุด ๆ หนึ่งอย่างนี้ขอรับ จิตมันไปตกวูบ พอวูบไปปั๊บผมก็เกิดความกลัว ก็ภาวนาใหม่ เริ่มต้นใหม่ก็วูบอีก ลักษณะแบบนี้แก้ไม่ตกไม่รู้จะแก้ยังไง ขอพึ่งบารมีหลวงพ่อแนะนำวิธีลูกหน่อยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ : - อาการแบบนี้นะ ขณะที่จิตสบาย ขณะนั้นจิตตั้งอยู่ในปฐมฌาน แต่ว่าสมาธิไม่ทรงตัว สมาธิตก ฌานเริ่มตก มีวูบเสียว ๆ คล้ายตกต้นไม้ใหญ่ นั่นเขาเรียกจิตพลัดจากฌาน วิธีแก้ไม่ยาก เพราะว่าเริ่มต้นทีแรกลมหยาบเกินไป ให้ใช้หายใจยาว ๆ แบบเกณฑ์ทหารน่ะ ๕-๖ ครั้ง หายใจแรง ๆ ยาว ๆ นะ ทำอย่างนี้ทุกวัน ๆ ไม่ช้าอาการจะหาย ขับลมหยาบทิ้งไปก่อน อันนี้ไม่ยาก



๓๔๕. ภาวนาพุทโธไม่เห็นอะไร


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกได้ปฏิบัติภาวนาสมาธิกรรมฐานแบบ พุทโธ มาหลายปีแล้ว ปรากฏผลว่าไม่ได้เห็นอะไรเลยสักอย่าง ได้แต่เงียบกริ๊บ อันนี้จะเกี่ยวกับว่า เป็นเพราะเวรกรรมชาติก่อนทำไว้อย่างไร ชาตินี้เวลาทำสมาธิจึงไม่ได้รู้ไม่ได้เห็น เหมือนกับคนอื่นเขาเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ : - ก็สมาธิเขาทำเพื่อเงียบ ตั้งใจสงัด จิตสงัดจากกิเลส ทีนี้การทำสมาธิเขาไม่ได้หมายถึงการเห็น ไอ้นั่นที่ปฏิบัติเป็น สุกขวิปัสสโก ถ้าต้องการเห็นต้องเป็น เตวิชโช หรือ ฉฬภิญโญ คนละหมวดนี่ ปฏิบัติให้ถูกหมวดซินะ ถ้าเป็นเตวิชโชก็สามารถเห็นได้ ระลึกชาติได้ ถ้าเป็นฉฬภิญโญเห็นได้ด้วย ไปถึงด้วย ใช่ไหม.. ต่างกัน มโนมยิทธินี่ก็มันบวกวิชชา ๓ กับอภิญญา คือว่า ใหญ่กว่าวิชชา ๓ แต่เป็นอภิญญาขนาดเล็ก



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 3/2/10 at 08:12 Reply With Quote


๓๔๖. อิริยาบถ


ผู้ถาม : - มีพระออกโทรทัศน์เมื่อสองวัน ท่านบอกว่าปฏิบัติอย่างนี้ได้ผลอะไรนะ ขวาหงาย.. ยกแล้วก็ย่าง..แล้วก็ยก..จำไม่ได้ ปิ๊ดปี้ปิ๊ด! เหมือนจราจรนั่นแหละ ท่านบอกอย่างนี้นะ ของอาตมานี่ไม่นานหรอก แค่ ๓ ปีก็พอรู้ผล ๓ ปีนะ พอจะรู้ผลนะ..หลวงพ่อ! มโนมยิทธินี่ช้าไปนะ ปุ๊บปั๊บได้ไปเลย ยังกับปฏิบัติวิปัสสนาจราจรแน่ะ เห็นว่าทำออกโทรทัศน์ขำดี นี่ก็แปลกดีเหมือนกัน ความจริงมีหรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อ : - แบบนี้จะเป็น มหาสติปัฏฐาน อิริยาบถ แต่ว่ายาวไป มหาสติปัฏฐานก็เพียงว่า จะยกเท้าย่างเท้าให้รู้อยู่ ก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปข้างหลัง จะกินจะกลืนไอ้ตอนกินนี่รู้ ตอนกลืนไม่รู้ รู้ไม่ทันกลืนลงก่อน พอกินปั๊บก็เลยเข้าไปเลย เอาแค่ให้รู้ตัวอยู่เสมอ สติสัมปชัญญะใช่ไหม..

ความจริงไม่มีอะไร เขาพร้อมแล้วนะ ถ้าได้แล้วไม่มีอะไรต้องระวัง เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างตานี่กระพริบอยู่เสมอ ผงจะมายังไม่ทันรู้ ใช่ไหม.. ตากระพริบแล้ว ข้อนี้ฉันใด พระอริยเจ้าตามขั้นเหมือนกัน ท่านทำตามหน้าที่ของท่าน จิตทำไปเอง



๓๔๗. เจริญมหาสติปัฏฐาน


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกเจริญพระกรรมฐานโดยใช้องค์มหาสติปัฏฐานเป็นหลักใหญ่ บางครั้งจิตก็วูบ บางครั้งก็สว่าง บางครั้งก็คล้าย ๆ จะหมดความรู้สึก มีอาการปฏิบัติไปถึงจุดนี้ทีไร ก็มีอันจะต้องเลิก เพราะใจหนึ่งก็อยากได้อีกใจหนึ่งก็กลัวตาย ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไข อารมณ์นี้ เพื่อการเจริญปฏิบัติของลูกได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป สู่มรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ : - กลับไปอ่านใหม่

ผู้ถาม : - อ่านอะไรครับ?

หลวงพ่อ : - มหาสติปัฏฐานสูตรแต่ละข้อ สอนถึงอรหันต์ทั้งหมดทุกข้อ ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด ทำข้อใดข้อหนึ่งก็ถึงอรหันต์ อ่านให้จบตอนท้ายนะ ไม่ยึดถือโน่นไม่ยึดถือนี่ ไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด เขาทำเพียงข้อเดียว ไอ้ที่ทำนั่นยึดสมถะมากกว่าวิปัสสนา สมถะ คืออารมณ์สมาธิให้ทรงตัวจิตทรงตัว วิปัสสนา คิดหาความเป็นจริง กลับไปอ่านใหม่ อ่านไปใช้ปัญญาคิดตามด้วยนะ นิดเดียว

ผู้ถาม : - เป็นอันว่าไปไม่ยาก

หลวงพ่อ : - ไม่ยาก

ผู้ถาม : - ไปไม่ยากก็แสดงว่าเคยทำ

หลวงพ่อ : - ถูกแล้ว




๓๔๘. มหาสติปัฏฐาน ๔ สั้น ๆ


ผู้ถาม : - หลวงพ่อขอรับ ผมไปพบมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระไตรปิฎก ท่านว่าไว้อย่างนี้ จะต้องปฏิบัตินานถึง ๗ ปี ถึงจะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานได้ กระผมไม่ชอบครับ นานเกินไป อยากจะมาขอพึ่งบารมีหลวงพ่อว่า มหาสติปัฏฐาน ๔ สั้น ๆ ไปนิพพานได้ง่ายของวัดท่าซุงน่ะ มีบ้างไหมครับ?

หลวงพ่อ : - มี ๆๆ ก็ตัวอย่างใช่ไหม.. ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ ท่านพาหิยะ ฟังว่า "พาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูป" เท่านี้ ท่านเป็นพระอรหันต์

ผู้ถาม : - อ๋อ..เท่านี้ สั้นที่สุดเลยนะครับ

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ เท่านี้เอง เป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ"

ผู้ถาม : - แล้วที่ลูกหลานทั้งหลายกำลังฟังกถาอันนี้ เดี๋ยวเกิดบรรลุทีเดียวพร้อมกันหมดทำยังไงครับ?

หลวงพ่อ : - ก็ดีซิ ช่วยกันบิณฑบาต อย่าลืมนะ คนที่นั่งมีกี่คน ถ้ามีสักพันคน อย่าลืมว่าในประเทศไทยมีตั้ง ๕๕ ล้านคน



๓๔๙. ทำสมาธิปวดหัว


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมเป็นโรคประสาทประหลาดนิดหนึ่ง คือว่าโดยปกติแล้ว ร่างกายสมบูรณ์แบบทุกอย่างทุกประการ แต่เวลาจะนั่งสมาธิเป็นเวลา ๑๐ ปีมาแล้ว มีอาการตังต่อไปนี้คือ พอนั่งปุ๊บ! พอจิตสบายจะมีความรู้สึกทางที่ศีรษะ แล้วเหมือนมีอะไรเลื่อนไป เลื่อนมาอยู่บนศีรษะรอบ ๆ แต่พอเลิกนั่งแล้ว หายเหมือนปลิดทิ้ง นั่งทีไรก็เป็นอย่างนี้เป็นประจำ จึงขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า อาการเช่นนี้จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ประการใดหรือไม่ขอรับ?

หลวงพ่อ : - แก้อิริยาบถดีกว่า ถ้านั่งไม่ดีแบบนั้นใช้นอน คือใช้ยืนหรือใช้เดินก็ได้ ถนัดนอนก็นอนดีกว่า สบายกว่า

ผู้ถาม : - กรรมฐานนอนได้หรือครับ...หลวงพ่อ?

หลวงพ่อ : - นั่ง นอน ยืน เดิน มีผลเสมอกันจ้ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่างฉันนี้นอนมา ๙๐ เปอร์เซ็นต์

ผู้ถาม : - นอนกรรมฐานเหรอครับ?

หลวงพ่อ : - ใช่...สบายมากเข้าทั้งตัวเลย

ผู้ถาม : - อ้อ...นี่รับสารภาพเลย

หลวงพ่อ : - ทำไม โกหกทำไม..พระ? อีตอนที่ฉันลาพุทธภูมินะ และพระท่านมาบอกว่า ถ้าคุณจะลาพุทธภูมิให้ลาได้ แต่ต้องมีเงื่อนไข ภายใน ๑๒ ปีนี่ตายไม่ได้ นักเรียนทุน ๑๒ ปีผ่านมาแล้ว ก็มาอีก ๑๐ ปียังตายไม่ได้ ผ่านไปแล้วตอนนี้กำหนด ฉันขี้เกียจกำหนด ถึงเวลาก็ไม่ตาย เตรียมตั้งท่าทุกทีก็ไม่ตายสักที

ผู้ถาม : - อ้อ...ได้ทุนถาวร

หลวงพ่อ : - ได้ทุนถาวร ก็เป็นอันว่าตอนนั้นท่านบอกว่า เมื่อสัญญาตกลงตามนั้นน่ะ เราคิดว่ามีชีวิต ช่วงนี้อยู่กี่ปีก็ช่างมัน ก็ดีกว่าเกิดอีก ๑ ชาติ มันมีทุกข์ไม่เท่ากับเกิดอีก ๑ ชาติ ใช่ไหม.. ก็ตกลงกับท่าน เป็นอันว่าขอลาพุทธภูมิ ท่านก็อนุมัติ พอท่านอนุมัติ ท่านก็สั่งว่านับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป เวลา ๔ ทุ่มตรงฉันจะมาสอนเธอ เวลา ๒-๓ ทุ่มครึ่งให้เลิกรับแขก ทีนี้พอถึงเวลา ๓ ทุ่มครึ่ง ฉันก็บอกแขก ตอนนั้นคุยกับแขกกลางคืนด้วยนะ ทีนี้มันเคยคุยถึง ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม ใช่ไหม..ก็มีบางคนบอกว่ายังไม่ถึงเวลาครับ ก็เลยบอกยังไม่ถึงเวลาของแกก็ช่าง เวลาของฉันมันถึงแล้ว ฉันเข้าห้อง แกนั่งอยู่ยามก็แล้วกัน ฉันก็เข้าห้องฉันซิ เรื่องอะไรงานต้องเป็นงาน งานเรามีใช่ไหม..

พอเข้าไปในห้องก็เตรียมตัวบูชาพระ ล้างหน้าล้างตาบูชาพระพอ ๔ ทุ่มเป๋ง! ท่านมาทันทีตามเวลาเลย เป๋ง..ถึงเลย ในห้องมีแสงสว่างคล้ายกับไฟหลายแสนแรงเทียน สวยมาก มาถึงปั๊บแทนที่

ท่านจะบอกนั่ง ท่านบอกเธอเหนื่อยมาตั้งแต่เช้า เพลิย นอนฟังและจงคิดตามฉันพูด ท่านสอนตั้งแต่ ๔ ทุ่ม ถึงตี ๒ ถึง ๑ เดือน สอนวิชาอะไรรู้ไหม.. ทุกข์ ทุกข์ตัวเดียว ฉันมีความรู้อริยสัจแค่ "ทุกข์" ตัวเดียวนะ

ผู้ถาม : - หนึ่งเดือนเหรอครับ?

หลวงพ่อ : - ใช่ ๑ เดือนเต็ม ค่อย ๆ พูดไปทีละข้อ ท่านพูดละเอียดมาก พูดช้า ๆ ให้คิดตาม พอถึงตี ๒ ก็กลับ อย่างนี้ทุกคืน ๑ เดือน เป็นอันว่านอนดี ถ้านอนภาวนาทุกขเวทนามันไม่เครียดใช่ไหม.. ถ้ามันจะหลับให้ปล่อยหลับไปเลย อย่าฝืนไว้ เพราะจิตถ้าเริ่มเป็นสมาธิ กำลังใจจะรวมตัว พอถึงฌานปั๊บ จะตัดหลับ เมื่อหลับแล้วหลับกี่ชั่วโมง ก็ถือว่าทรงฌานอยู่เท่าเวลานั้น เวลาหลับเขาถือว่า "ทรงฌาน" อันนี้ได้กำไรมาก ถ้าจิตเริ่มเป็นสมาธิกำลังใจจะรวมตัวมาทีละน้อย พอสมาธิมั่นคงพอถึงฌานปั๊บ มันตัดหลับทันที ตัดหลับแบบนี้สังเกตเวลาตื่น ถ้าจิตทรงฌานก่อนหลับจริง เวลาตื่น พอรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มันจะภาวนามาเลย ไม่ต้องบังคับ เขาภาวนาเลย ภาวนาด้วย กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกด้วย เวลานั้นจะเป็นไปตามนั้น

ผู้ถาม : - ถ้าปุ๊บปั๊บตายขณะนั้นก็...

หลวงพ่อ : - ไปตามกำลังฌาน เขาถือว่าก่อนจะหลับอยู่ฌานไหน เวลาหลับก็ทรงฌานนั้น ถ้าหากว่าตายขณะหลับไปก็ตามกำลังของฌาน ถ้าเป็นฌานโลกีย์ธรรมดา ก็ไปเป็นพรหมแน่นอน ถ้าบังเอิญเวลาก่อนจะหลับ มันใช้วิปัสสนาญาณควบ คิดว่าการเกิดเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก คำว่า "ไม่ต้อง การร่างกาย" นี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ถ้าตายเวลานั้นจะไปนิพพานทันที

ผู้ถาม : - อย่างนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนะครับ?

หลวงพ่อ : - ก็ต้องลงทุนนอนหน่อย..(หัวเราะ) นั่ง นอน ยืน เดิน มีผลเสมอกัน

ผู้ถาม : - ขอถามอีกนิดหนึ่งครับ ตอนที่สมเด็จท่านสอนทุกข์นี่ ใช้ภาษาอินเดียหรือภาษาอะไรครับ?

หลวงพ่อ : - ภาษาไทยชัดมาก เพราะมาก เสียงเพราะจริง ๆ เสียงกังวาล อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าคนภาษาไหน เวลาเทศน์จะเป็นภาษานั้นหมด เวลาฟัง ๑๐ ภาษาก็ต่างคนต่างรู้เป็นภาษาของตนเอง เป็นอัจฉริยะไง อัศจรรย์ยังไงล่ะ เทศนาปาฏิหาริย์ เทศน์เป็นปาฏิหาริย์ แต่ใครนั่งด้านไหนก็ตาม จะถือว่าพระพุทธเจ้าหันหน้าไปหาเสมอ ไม่มีคำว่า "หลัง" ไม่มีคำว่า "ข้าง" ดีไหม...

ผู้ถาม : - เสียดายนะ เกิดทันตอนนั้นป่านนี้ก็...

หลวงพ่อ : - "ป่านนี้ก็ลงอเวจีไปแล้ว" (หัวเราะ)




๓๕๐. นั่งสมาธิเวียนศีรษะ


ผู้ถาม : - คือว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุไร เวลานั่งสมาธิคราวใด จะมีความรู้สึกเวียนศีรษะ มีความคลื่นเหียนเป็นอย่างมาก แต่เมื่อลูกตรวจดูแล้ว ก็ปรากฏว่าในอดีตชาติเคยมีแมวกัดลูก เมื่อนั่งทีไรก็มีอาการอย่างนี้เกิดขึ้นทุกครั้ง จึงอยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ก่อนนั่งควรจะทำอย่างไร...อาการอย่างนี้จึงจะไม่เกิดขึ้นอีกเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ลำบากเหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ซิ ก่อนจะนั่ง อุทิศส่วนกุศลให้ ขอให้แมวอโหสิกรรมเสียก่อน แล้วก็ทำจิตให้เป็นสุข อย่าให้เครียดเกินไป กรรมฐานทำใจให้สบาย ๆ ถ้าเครียดเกินไป มันก็เวียนหัวเหมือนกัน อาจจะเครียดเกินไปละมั้ง จะตั้งใจเอาดีมากไปนะ

ผู้ถาม : - อ๋อ..ทำกรรมฐานนี่ ต้องใจสบาย ๆ หรือครับ?

หลวงพ่อ : - ก็ มัชฌิมาปฏิปทา ไงล่ะ.. "เธอทั้งหลายจงละส่วนสุด ๒ อย่าง คือ
๑.กามสุขัลลิกานุโยค คืออย่าอยากได้เกินไป
๒.อัตตกิลมถานุโยค เคร่งครัดเกินไป ถ้าส่วนสุด ๒ อย่าง

อย่างหนึ่งอย่างใดมีกับเธอ เธอจะไม่บรรลุมรรคผล ขอทุกคนจงตั้งอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา" คือ พอสบาย ๆ



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 10/2/10 at 08:35 Reply With Quote


๓๕๑. ทำสมาธินิ่ง


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ คือเวลาที่ลูกนั่งปฏิบัติพระกรรมฐาน เวลาจิตสงบแล้วจะนิ่งไปเลย นิ่งไปชนิดที่เรียกว่าไม่รับรู้ไม่รับทราบ มันนิ่งไปเฉย ๆ ข้างล่างก็ไม่ไป ข้างบนก็ไม่ไป ลูกก็เกรงว่าถ้าหากตายไปในลักษณะนิ่งไม่รู้สึกอย่างนี้ จะไปในที่ไม่ดีไม่ชอบเป็นแน่ จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า มีคำแนะนำอย่างไรต่อไปจากนิ่งเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - มันนิ่ง ต่อไปก็นอน..โธ่เอ๋ย! เขาก็ต้องการกันแค่นิ่ง ไอ้นิ่งเป็นอารมณ์ของฌาน มันเป็นอุเบาขาใช่ไหมล่ะ ถ้าจิตเป็นอุเบกขาจัดว่าเป็นฌานสูง ต้องการกันแค่นั้น จะไปนิพพานหรือไม่ไปนิพพานอยู่ที่อารมณ์ต้น ก่อนที่เราจะภาวนา ต้องพิจารณาใคร่ครวญก่อน ตัดสินใจว่าเราจะไปที่ไหนก่อน ถ้าตายแล้วจะไปไหน อย่างที่เคยบอกไว้นะ แล้วเราก็ภาวนา ถ้าจิตเป็นสมาธิ ถ้าตายเมื่อไร เราก็ไปตามที่เราต้องการเมื่อนั้น



๓๕๒. อารมณ์ดิ่ง


ผู้ถาม : - กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง หลวงพ่อพูดถึงเรื่องอารมณ์ดิ่งในการทำสมาธินั้น หลวงพ่อบอกว่าเป็นอารมณ์ฌาน ทีนี้พอลูกมาทำบุญกับหลวงพ่อ พอเห็นหน้าหลวงพ่อปั๊บ ก็มีอารมณ์ดิ่งอย่างนั้นปั๊บทันที อยากจะหลับตาทำสมาธิก็หลับไม่ได้ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ความจริงไม่จำเป็นจะต้องนั่งหลับตาหรอก ถ้าดิ่งแบบนั้นก็มีสมาธิ ๒ อย่าง เป็น สังฆานุสสติ กับ จาคานุสสติ นึกถึงพระเป็นสังฆานุสสติ อันนี้ดีมาก

ผู้ถาม : - พูดถึงว่าถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ ตอนอารมณ์ดิ่งจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - โดดขึ้นหลังคา เอาขาไปแขวนกับต้นไม้ หัวห้อยลงมา.. ไม่ต้องหรอก เอาแค่นั้นพอนะ ถ้าเลยไปต้องทำแบบนั้น



๓๕๓. ภาวนาปนเป


ผู้ถาม : - กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ขณะนี้ลูกใช้ คาถาเงินล้าน ของหลวงพ่อผสมปนเปกันไป จนกระทั่งไม่แน่ใจเสียแล้ว กล่าวคือคาถาก็ว่าเต็มบท อานาปาก็จับพิจารณาขันธ์ ๕ ก็คิด นิพพานก็จะไป ทำไปทำมาเดี๋ยวนี้ชักขลุกขลักเสียแล้ว ก็เลยเริ่มต้นแบบเดิมอีก ก็อยากกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า อันนี้เป็นเพราะอารมณ์ของจิตของลูกฟุ้งซ่านไปหรือเปล่า และจะแก้ไขอย่างไรครับ?

หลวงพ่อ : - ใช้เวลาซิ เวลาไหนจะใช้อะไร แต่ว่า อานาปานุสสติ ต้องใช้ประกอบเสมอไปนะ ทุกอย่างจะทำอะไรก็ตาม ต้องขึ้นต้นด้วยอานาปานุสสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าช้า ๆ สบาย ๆ อักขระชัดเจน



๓๕๔. ขณะภาวนามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน


ผู้ถาม : - "กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ปัจจุบันนี้การปฏิบัติธรรมของกระผมชักจะแย่ลงไปเลยเกิดปัญหาขึ้นมาว่า ในขณะที่กำลังภาวนา "นะมะ" เข้า "พะธะ" ออก ปรากฏใจของลูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่กับองค์ภาวนา ส่วนหนึ่งฟุ้งซ่านออกไปข้างนอก ฟุ้งซ่านไร้สาระ อารมณ์แบบนี้เกิดขึ้น จึงทำให้ตัวเองต้องวิตกกังวลว่า หากตายในขณะที่จิตซีกหนึ่งฟุ้งซ่าน จะตกนรกเป็นอย่างแน่ ขอบารมีหลวงพ่อช่วยชี้แนะแก้ไขด้วยเถิดขอรับ"

หลวงพ่อ : - "ไม่เป็นไร แบ่งเป็นสองซีก ซีกที่ภาวนาอยู่เกิดเป็นนางฟ้าและพรหม อีกซีกหนึ่งเกิดในนรก เดี๋ยวก่อน..ที่เขาถามมานี่เป็นเรื่องธรรมดานะ ถ้ายังไม่ถึงอรหันต์เพียงใด ความความฟุ้งซ่านย่อมมีกับคน แต่ให้ดูกำลังใจว่า เรามีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ไหม เอาแค่นี้พอ ถ้าจิตยังมีความเคารพอยู่ถือว่าไม่เหลวไหล เรื่องคิดออกนอกทาง เป็นของธรรมดา

ดูตัวอย่าง พระอัสสชิ พระอัสสชินี่เป็นพระอรหันต์รุ่นแรก รุ่น ๕ องค์ เวลาที่จะนิพพานเป็นโรคทางกระเพราะหนัก ปั่นป่วนมาก จิตใจก็ฟุ้งซ่าน ก็ให้พระไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามา พอพระพุทธเจ้ามาก็กราบทูลว่า "บัดนี้ความดีของข้าพระพุทธเจ้าสลายตัวเสียแล้ว ความดีหมดไปเหลือแต่ความ ชั่ว จิตฟุ้งซ่าน"

พระพุทธเจ้าถามว่า "อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่ได้หรือ" (คืออานาปาฯ)ท่านบอก "ระงับไม่อยู่ครับ มันฟุ้งใหญ่ มันเสียด" พระพุทธเจ้าถามว่า "อัสสชิ เธอเห็นว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ" ท่านบอก "ไม่ใช่ พระเจ้าข้า" ในเมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า "ความดีของเธอไม่เสื่อม ยังทรงตัวอยู่" พระอรหันต์ก็ฟุ้งซ่านเหมือนกันเวลาป่วยหนัก และที่คิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา มันไม่มี คือไม่ต้องการโลกต่อไป ใช่ไหม.. สำหรับญาติโยมที่ถามเมื่อกี้นี้ ไม่เป็นไรนะ จิตยังเคารพพระอยู่...ใช้ได้"



๓๕๕. เคยเป็นมิจฉาทิฏฐิ



ผู้ถาม : - "กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ครั้งหนึ่ง คือคิดว่าพระอรหันต์ที่เหาะได้ แสดงว่ากิเลสยังไม่หมด เพียงแค่ปรามาสเท่านี้เอง ปรากฏว่าภายหลังผมเจริญพระกรรมฐานแล้ว สมาธิไม่เคยผ่องใสเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า กระผมต้องการนิพพานในชาตินี้ เมื่อเป็นอย่างนี้อยู่ จะมีทางแก้ไขอย่างไรหรือไม่ขอรับ?"

หลวงพ่อ : - "ขอขมาโทษตรงต่อพระพุทธเจ้า ปรามาสตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ขอขมาโทษเป็นส่วนตัวไม่หาย ต้องขอขมาโทษตรงต่อพระพุทธเจ้านะ"


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 17/2/10 at 08:15 Reply With Quote


๓๕๖. ครวญเพลงทำสมาธิได้ดี


ผู้ถาม : - เวลาปกติแล้ว ลูกก็ปฏิบัติตามคำสั่งหลวงพ่อมาด้วยดีโดยตลอด แต่ที่จะออกนอนคอกอยู่ สักนิด ก็คือว่าเวลาที่ลูกครวญเพลงเบา ๆ ทีไร อารมณ์จะเป็นสมาธิ เห็นอะไรต่อะไร แบบชนิดที่ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่พอจับคำภาวนานั่งสมาธิ กลับไม่เห็นอะไรเลย ในลักษณะอย่างนี้ จึงทำให้กระผมมีความอึดอัดเป็นอย่างมาก เกรงว่าครวญเพลงเกิดสมาธิ ตายแล้วตกนรก

หลวงพ่อ : - อ้าว ๆ ที่นรกไม่มีเพลงนะ ถ้าพวกเพลงนี่ต้องไปอยู่ดาวดึงส์ ทั้งรำทั้งเพลงเลย ความจริงการครวญเพลงของเขา จิตเป็นสมาธิขั้นอุปจารสมาธิ ครวญเพลงก็ดีหรือว่าสวดมนต์ก็ตาม หรือว่าฟังเทศน์ก็ตาม เวลานี้จิตอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ เวลานั้นอารมณ์เป็นทิพย์ เห็นอะไรได้

สำหรับคนนี้เวลานั่งทำสมาธิแน่นเกินไป เลยอุปจารสมาธิ ถ้าถอยกำลังใจตั้งอยู่อุปจารสมาธิ จะเห็นชัดกว่ามาก



๓๕๗. การดูมหรสพ


ผู้ถาม : - ลูกชอบดูละครโขนหนัง เรียกว่าติดเอามาก ๆ เลย มีความลุ่มหลงเป็นอย่างมาก ลูกอยากจะเรียนถามว่า การดูมหรสพเพื่อเป็นแนวทางพระกรรมฐานนั้น เราควรจะดูแบบไหน และใช้ปัญญาแบบไร เจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ใช้ปัญญาแบบ พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เอายังงี้ซิ ถ้าดูแบบวิปัสสนาญาณ ก็เห็นว่าผู้แสดงนี้เป็นทุกข์ ไม่ทุกข์เขาไม่มาแสดง เขาต้องการสตางค์เพราะเขาไม่มีเงิน ต่อมาแสดงเมื่อมันเหนื่อยก็ทุกข์ คนแสดงก็ดี คนดูก็ดี ไม่ช้าก็ตายเหมือนกันหมด ทุกคนต่างคนต่างตาย พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ คิดแบบนี้ ท่านบอกว่า คนที่แสดงมหรสพก็ตาม คนดูก็ตาม ทั้งหมดนี้มีอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็ตายหมด ไอ้เราก็ต้องตายเหมือนกัน ทีนี้ในโลกนี้มีของคู่กัน มีผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย มีมืดก็ต้องมีสว่าง ฉะนั้น ธรรมที่ทำให้คนตายมีอยู่ ธรรมที่ทำให้คนไม่ตายก็ต้องมี



๓๕๘. เบื่อวัฏฏจักร


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา หนูไม่เคยปฏิบัติกรรมฐานเลย ไม่เคยฟังเทศน์เลย แต่มีความรู้สึกอย่างนี้เจ้าค่ะ คือเบื่อในวัฏฏะเจ้าค่ะ มันเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน (เบื่อ แบบนี้ไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้) ตอนนี้ลูกก็มีอายุแค่ ๓๔ ปี อยากจะอยู่สัก ๕๐-๖๐ ปี แล้วก็ตั้งใจจะไปไม่กลับเลย อารมณ์อย่างนี้ลูกควรจะเพิ่มเติมอย่างไรอีกเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - อารมณ์นี้ดี..เป็นนิพพิทาญาณ ไม่เคยเจริญกรรมฐานเลยน่ะ..ไม่แน่หรอก! เพราะว่าชาตินี้ไม่ได้เจริญ แต่ชาติก่อนเจริญ ผลของบุญนี่นะ ถ้าสนองขึ้นมาเมื่อใด สังเกตในสมัยพระพุทธเจ้า คนไม่เคยเรียนอะไรเลย ฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ นั่นแสดงว่าบุญเก่าเขาเต็ม รายนี้ก็เหมือนกัน จะถือว่าไม่เคยเจริญกรรมฐานไม่ได้ ชาตินี้ไม่ได้ทำแต่ชาติก่อนทำ บุญอันนั้นมาสนอง แต่ระวังให้ดีนะ มันเป็นฌานโลกีย์มันเสื่อมได้ ต้องระมัดระวังให้มาก



๓๕๙. สมาธิเสื่อม


ผู้ถาม : - กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกเชื่อคำแนะนำของหลวงพ่อทุกอย่าง แต่ว่าเรื่องสมาธินี่ ไม่ทราบว่าระยะนี้เป็นอย่างไร ชอบตกอยู่เรื่อย ๆ พยายามยกเอาจิตขึ้สู่องค์ภวังค์ ขึ้นมาแป๊บเดียวมันก็หล่นลงไปอีก เบื่อเหลือเกินเจ้าค่ะ..สมาธิ นึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อแก้ปัญหา เก่ง สามารถจะยกจิตขึ้นมาได้ ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะอีกเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : - ขอยืมบุ้งกี๋เหล็กเขามา เอาตักจิตยกขึ้นมา..(หัวเราะ) เอายังงี้ซิ เรื่องนี้เป็นของธรรมดานะ ทำไป ๆ ต่อไปเมื่อกำลังจะดีบ้าง กิเลสมารก็เข้ากวนใจ ทุกคนเป็นเหมือนกัน ก็เกิดมีอารมณ์เบื่อบ้าง มีอารมณ์มืดบ้าง พอดีร่างกายไม่ค่อยสบายก็มีอารมณ์มืด ทีนี้การภาวนามันมีสองอย่าง อารมณ์ทรงตัว กับ อารมณ์คิด

ถ้าทรงตัวไม่ไหวก็ใช้อารมณ์คิด คิดว่ายังไง... มันจะแก่ก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน มันจะป่วยก็ช่างมัน หวยจะกินก็ช่างมัน ฝึกไว้มันจะชิน คิดว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามกฎของกรรม ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรม ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ พระพุทธเจ้าเองยังโดน เราก็เหมือนกัน ขอทำชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ตายแล้วเลิกกัน...ไปนิพพาน



๓๖๐. อารมณ์แทรกซ้อน


ผู้ถาม : - กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาลูกเริ่มไหว้พระสวดมนต์ อันดับแรกจะต้องหาวจนน้ำตาไหล ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยง่วง อีกอย่างหนึ่งชอบมีอารมณ์แทรกซ้อน เวลาเจริญอานาปานุสสติกรรมฐาน คิดโน่นคิดนี่ เผลอ ๆ ก็เป็นฝ่ายอกุศล อารมณ์อย่างนี้จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรหรือไม่...เพราะเป็นปกติเลยขอรับ?

หลวงพ่อ : - เป็นของธรรมดาทุกคนเป็นเหมือนกัน เขาเรียกว่า นิวรณ์ นิวรณ์ตัวที่ ๒ กับนิวรณ์ตัวที่ ๔ นิวรณ์ตัวที่ ๒ คืออารมณ์โกรธไม่พอใจ นิวรณ์ตัวที่ ๔ คืออารมณ์ฟุ้งซ่าน เราก็ถอยหลังเสียใหม่ พักสักประเดี๋ยวหนึ่ง ดูอะไรให้มันเพลิน ๆ พอเริ่มใหม่ปั๊บ! จับลมหายใจเข้าออก เอาจิตจับเฉพาะลมหายใจเข้าออกให้มันทรงตัว ทีสองทีก็เป็นที่พอใจแล้ว


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 24/2/10 at 08:43 Reply With Quote


๓๖๑. ทำอารมณ์ก่อนผ่าตัด


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ศกนี้ หมอจะผ่าตัดลูกด้วยเหตุที่เป็นเนื้องอก ลูกไม่อยากจะผ่าตัดเลยเพราะกลัวตาย แต่ก็ไม่เชิงกลัว (เอ๊ะ! ยังไง)คือลูกอยากจะถามหลวงพ่อเดี๋ยวนี้ว่า ก่อนที่เขาจะลงมือผ่าตัด ลูกควรจะทำอารมณ์พระกรรมฐานแบบไหน เวลาตายตอนนั้นจะได้ตายสบาย?

หลวงพ่อ : - เอาอย่างนี้ซิ พุทโธ นึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปก็ได้ ไง ๆ ก็ยังไม่ตายวันนี้ เขายังไม่ถึงเวลาตาย ไอ้เวลาตายคือเวลาไม่หายใจ นี่ผ่าตัดอีกสัก ๓ ครั้งก็ยังไม่ตายคนนี้นะ แต่ว่าเขาต้องการอารมณ์กรรมฐานนะ..ดีแล้ว พุทโธ ก็แล้วกันสำคัญมาก ถ้าหากว่าได้มโนมยิทธิจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ พุ่งไปนิพพานเลย ไปนิพพานนี่ดีนะ คือว่าหมอไปทำฟันฉันทั้งหมดนี่ ๒๘ ครั้ง ขูดบ้าง เจาะบ้าง อะไรบ้างนะ ฉันก็กลัวปวดกลัวเสียว ฉันก็เปิดไปนิพพาน หมอต้องเรียกเวลาเลิก

ผู้ถาม : - ทำไม่ครับ...หลวงพ่อ?

หลวงพ่อ : - ไม่รู้สึก..เพลิน! คราวหนึ่งเมื่อรู้สึกจะเสียว พอเริ่มเสียวนิด ฉันก็เปิดไปเลย หมอก็ทำไปตั้งแต่ ๒ โมงครึ่งเช้า ถึง ๕ โมง ๑๕ นาที หมอเรียกฉันรู้สึกตัว ถามหมอเสร็จแล้วหรือ หมอถามว่าเจ็บไหม พอแกถามว่าเจ็บไหม ทีนี้ไปเลย..(หัวเราะ) ความจริงยังไม่เจ็บนะก็เลยคิดว่าน่ากลัวมันจะเจ็บมันจะเสียว ใช่ไหม.. เขาถามว่า เจ็บไหมเสียวไหม..หลวงพ่อ? ฉันก็ไม่พูด..ไปเลย

ผู้ถาม : - จะผ่าตัดหรือจะทำอะไร เราจู๊ดไปเลย นี่...

หลวงพ่อ : - นึกถึงนิพพานไว้เป็นอารมณ์ ถ้าบังเอิญมันตายเวลานั้น ก็ไปนิพพานเลย



๓๖๒. ทำสมาธิชอบโกรธ


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกทำสมาธิทีไร กิเลสตัวหนึ่งที่ลูกแก้ไม่ได้ คือ อารมณ์โกรธ เวลาปกติก่อนนั่งสบาย หัวเราะร่าเริง พอเข้านั่งสมาธิทีไร เดี๋ยวไอ้โน่นเดี๋ยวไอ้นี่มารบกวน โดยสถานที่นั้นก็เงียบสนิท ทีนี้ก่อนจะนั่งจะตั้งจิตอธิษฐานว่าอย่างไร เวลาทำกรรมฐานจึงจะไม่มีอารมณ์โกรธเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - เอาอย่างนี้ซิ...ไม่โกรธหนอ ๆๆ (หัวเราะ)

ผู้ถาม : - หายไหมครับ?

หลวงพ่อ : - อาจจะไม่หาย..ก็ทำใจสบาย คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา เสียงที่อื่นจะเข้ามาก็เป็นเรื่อง ของเขา เพราะเสียงนี้เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการคือคำภาวนากับรู้ลมหายใจเข้าออก เท่านี้ก็พอแล้ว



๓๖๓. ชอบถูกนินทา


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อเจ้าขา ลูกมีเวรมีกรรมอะไรก็แก้ไม่หาย ทำบุญสงเคราะห์อนุเคราะห์คนอื่นทีไร ทีแรกเขาก็ยกยอปอปั้นดี พอลับหลังก็นินทาแหลกเลย ในลักษณะอย่างนี้ทำให้ลูกมีอารมณ์ขุ่นหมอง จิตเศร้าหมองเป็นประจำ ขอกรรมฐานของหลวงพ่อช่วยแนะนำอารมณ์ประเภทนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ : - แก้อารมณ์เรอะ...ฉันคิดว่าแก้อาการ!

ผู้ถาม : - อารมณ์กับอาการไม่เหมือนกันหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ไม่เหมือน...อาการคือถูกนินทา อารมณ์ก็ขุ่นมัว อาการอย่างนี้นะฉันเจอเป็นปกติ พระเจ้าอยู่หัวท่านเคยตรัส สมัยก่อนเคยไปเฝ้าท่านนะ ท่านก็เล่าเรื่องคนนินทาท่านให้ทราบ ท่านเล่าหลายเรื่อง มาตอนหลังท่านบอกว่า เมื่อก่อนนี้เขาหาว่าผมฆ่าพี่ แต่เดี๋ยวนี้เขาหาว่าผมฆ่าพ่อตา เขาลือบอกว่า พ่อตาผมเป็นไข้ เอาเหล้ากรอกปากแล้วพาวิ่งตายไปเลย ก็เลยบอกว่า พระองค์แบบไหน อาตมาก็แบบนั้นแหละ ให้เขาเขาก็ด่า ไม่ให้เขาเขาก็ด่า แต่เราให้เป็นการตัดกิเลสของเรา เป็นของธรรมดา

ท่านถามหลวงพ่อคิดยังไงครับ เลยบอกว่าใช้คาถาบทหนึ่งว่า "ช่างมัน ๆ" และถามว่าพระองค์ล่ะ ผมคิดว่า "เรื่อย ๆ ครับ" คือว่าของอย่างนี้เป็นธรรมดา แต่ว่าเราทำดีก็แล้วกัน

ผู้ถาม : - โอ...นี่แสดงว่า พระทัยของพระองค์นี่ปลงตกเหมือนกันนะ

หลวงพ่อ : - ท่านเก่งมาก เรื่องปลงนี่เก่งมาก สมาธิก็เก่งจัด การเข้าฌานออกฌานก็เก่งมาก และใช้กำลังใจได้ด้วยนะ ท่านเป็นอัจฉริยะทุกอย่าง ถ้าไม่คุยกับท่านจะไม่รู้เรื่อง เรื่อง ธรรมะนี้ละเอียดลออมาก ทั้ง ๆ ที่มีเวลาน้อยนะ แต่ว่าละเอียดลออมาก



๓๖๔. ช่วยเขาแต่ถูกด่า


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกเองก็ไม่รู้ว่า จะมีกรรมเก่ากรรมใหม่เป็นประการใด คือว่าลูกเป็นคนมีเมตตา ชอบช่วยเหลือเผื่อแผ่ คนบ้านใกล้เรือนเคียง และคนเดือดร้อนทั่วไปเสมอ ติดใจอยู่นิดหนึ่งก็คือว่า ทุกคนที่ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วนี้ เขาไม่เคยรู้บุญคุณของลูกเลย เขากลับมาเยอะเย้ย "เอ็งมันโง่ เสือกช่วยข้า..." ลูกก็มานึกถึงหลวงพ่อว่า วิธีทำบุญ ให้เขานึกถึงบุญคุณของเรานี้ จะทำแบบไหนเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ความจริงโรคเดียวกับฉันนะ ก็ถูกด่ามาเรื่อย ๆ

ผู้ถาม : - โอ...หลวงพ่อเป็นเหมือนกันหรือครับ?

หลวงพ่อ : - สมัยก่อนหนัก หนักมาก ในเมื่อเราเป็นโรคเดียวกันรักษาหายนะ ให้ถือว่าเป็นเรื่อง ธรรมดา ทำบุญให้ถือว่าทำบุญ ถ้าทวงคุณอานิสงส์มันต่ำ เราถือว่าเราให้ไป เราสงเคราะห์เพื่อเป็นทานใช่ไหม.. ปล่อยไปเลย ถ้าเขาอกตัญญูไม่รู้คุณ มาสนองเราแบบนั้น เขาลงนรก เป็นเรื่องของเขา อย่าไปยุ่งกับเขา

ผู้ถาม : - โอ...ขนาดหลวงพ่อยังเป็นเลยนะ

หลวงพ่อ : - พระพุทธเจ้ายังเป็น โดนเทวทัตล่อเห็นไหมล่ะ...



๓๖๕. โกรธแล้วถึงมีสติ


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกเป็นคนนิสัยไม่ดีนิดเดียว คือเป็นคนที่โกรธแล้วจะมีสติในภายหลัง ทีนี้ก็อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ควรจะทำอย่างไร... จึงจะมีสติก่อนที่เราจะโกรธ เจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - เอาอย่างนี้ซิ พอลุกมาตอนเช้าก็ตะโกน "สติโว้ย..มาพร้อมกันโว้ย!" "สติโว้ย..มา บริบูรณ์โว้ย!" "สติโว้ย..มาทั้งหมดโว้ย!" ร้องยังงี้ทุกวันเลย สติไม่ไปไหนะ หัดเจริญ อานาปานุสสติ ซิ


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 3/3/10 at 07:41 Reply With Quote


๓๖๖. ชอบอาฆาตพยาบาทผู้อื่น


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกมีกิเลสที่เลวร้ายอยู่หนึ่งตัว กล่าวคือ ความเคียดแค้นอาฆาต พยาบาทจองเวรกับผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่เมตตาก็แผ่แล้ว เทปหลวงพ่อก็ฟังแล้ว หนังสือหลวงพ่อก็อ่านแล้ว สมาธิก็ทำแล้ว แต่ปรากฏว่าแก้ไม่ตก วันนี้อยากจะขอทีเด็ดจากหลวงพ่อว่า จะมีทางแก้ไขอย่างไร...เพราะเกรงว่าอาฆาตเคียดแค้น ตายแล้วจะลงนรกเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ : - ทีเด็ดก็คือว่า ไปหาถ้ำไกล ๆ จะได้ไม่โกรธคนอื่น ถ้าอย่างนี้เขาดีแล้วนี่ เขารู้ว่ามันไม่ดี แสดงว่าคนนี้เริ่มดีมากแล้ว ใช้อารมณ์เดิมก็แล้วกันนะ ค่อย ๆ ลดไปนะ อย่างนี้ดีมากแล้ว ไม่ใช่ไม่ดีนะ เขารู้ว่าเลวแสดงว่าดีขึ้นนะ ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า บุคคลรู้ตัว่าเป็นพาล ท่านบอกว่า บุคคลนั้นคือบัณฑิต ทีนี้คนที่เขาคิดว่าอารมณ์นี้มันเลว แต่ความจริงที่รู้ว่าเลวน่ะ ต้องเป็นคนดีแล้ว ถ้าไม่ดีไม่รู้ว่าเลว

และประการที่ ๒ ถ้ารู้ว่าเลวแล้ว ไม่กล้าเปิดเผย ยังลงอยู่ นี่เขาเปิดเผยตัวเองก็ต้องถือว่าดีมาก ค่อย ๆ ทำก็แล้วกันจะหายไปเอง



๓๖๗. ชอบทะเลาะกัน


ผู้ถาม : - กราบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีเรื่องจะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อ คือว่าที่บ้านของลูกครอบครัวไม่รู้เป็นยังไง ทะเลาะวิวาทเสียดด่า มีอันจะต้องเดือดร้อนกันอยู่เสมอ...

หลวงพ่อ : - ดี ๆๆๆ

ผู้ถาม : - อะไรครับ..หลวงพ่อ แกด่ากันทะเลาะกัน...

หลวงพ่อ : - ออกกำลังกาย ใช้ปัญญาบารมี (หัวเราะ) เอ๊ะ! ด่าแบบไหนจะดีนะ ใช้ปัญญาเรื่อย ๆ นี่ล่ะ...โลกธรรม

ผู้ถาม : - เขาบอกว่า แม่ก็ศาสนาหนึ่ง ลูกก็ศาสนาหนึ่ง คือในบ้านมีทั้ง ๓ ศาสนา มีพุทธ มีคริสต์ มีอิสลาม แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือว่า ศาสนาอิส...น่ะ ชอบรังแกพุทธ และชอบว่าพระพุทธรูป ดิฉันก็โกรธก็บอก "นี่ของใครของมันซิวะ!

หลวงพ่อ : - เออ...เขาถูกต้องนะ

ผู้ถาม : - วะ...นี่ถูกต้องหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ถูกต้อง วะ...นี่แปลว่าหนักแน่นแน่ะ

ผู้ถาม : - ก็เลยเป็นอันเถียงกันไปเถียงกันมาแบบนี้ ที่จะกราบเรียนถามโดยสรุปก็คือว่า ลูกควรจะทำอารมณ์จิตแบบไหน ที่สามารถจะต้านอารมณ์ที่มายั่วเย้า หรือยุแหย่ทำให้ลูกเดือดร้อนได้เจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ถือว่าเป็นกฎธรรมดาของชาวโลก ชาวโลกถ้าเกิดมาแล้วต้องถูกนินทา วันนี้แนะนำว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก นี่พระพุทธเจ้าพระพุทธรูปแท้นะ ท่านเป็นอิฐเป็นปูน พูดไม่ได้ยังถูกนินทาเลย ไอ้เราล่ะ...

ผู้ถาม : - อย่างนั้นก็ให้มันนินทาให้มันด่าต่อไป

หลวงพ่อ : - ถ้านินทาด่าจริง ๆ ถ้าเก่งจริงนะ เขาต้องไม่เลิก ๒๔ ชั่วโมงไม่กินข้าวไม่กินปลา ด่า เรื่อย นินทาเรื่อย

ผู้ถาม : - แม้แต่จะปวดท้องขี้ปวดท้องเยี่ยว...

หลวงพ่อ : - ไม่เลิก ไม่ไปขี้ด้วย

ผู้ถาม : - ไหวหรือครับ...หลวงพ่อ?

หลวงพ่อ : - ก็นั่นซิ เดี๋ยวแพ้เราเองแหละ เราเฉยไว้ก็หมดเรื่องกันนะ

ผู้ถาม : - ใช้ตำราหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ ช่างมัน ๆๆๆ



๓๖๘. ทุกข์เรื่องสามี


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา สามีของลูกไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย มีเหละเขะขะ..แบบสิบแปดมงกุฎ มีเพื่อนเขาแนะนำว่าให้ไปหาหมอแขก เขาสามารถจะทำผูกจิตผูกใจให้แน่นปึ๊กเลยเจ้าค่ะ ลูกเกรงว่าถ้าทำไปแล้วจะเกิดบาปเกิดโทษ ลูกคิดไปอย่างนั้น คือลูกเกรงว่ามโนมยิทธิของลูกจะเสื่อมหาย ฉะนั้นลูกมาพึ่งบารมีหลวงพ่อดีกว่า วิธีที่จะยึดจิตของผัวโดยธรรม วิธีนั้นขอหลวงพ่อช่วยแนะนำสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : - มีอย่างเดียว ยิ้มตลอดเวลา นี่ชนะจริง ๆ นะ มาเวลาไหนก็ยิ้ม มาดึกมาดื่นก็ยิ้ม ยิ้มไว้เถอะ ไม่ช้าเลิก!

ผู้ถาม : - "อย่างนี้ไม่ต้องว่าคาถาอะไรเลยหรือครับ?"

หลวงพ่อ : - คาถาว่าให้มันเหนื่อย ถ้าหากว่าเราว่าคาถา ด่าเขา..เขาไม่เข้ามาหรอก เห็นไหมล่ะ

นี่จริง ๆ นะ ได้ผลนะ จะมาดึกมาดื่นแล้วก็ตามใจ เห็นหน้าก็ยิ้มไปเถอะ พยายามยิ้มไว้ไม่ช้าเกรงใจ ถ้ายิ้มไว้เรื่อย ๆ ไม่หิ้ว เลิกหิ้ว เขามีตัวอย่างอยู่แล้ว เมื่อก่อนฉันเคยแนะนำวิธีนี้สมัยอยู่กรุงเทพฯ หลายคนนะ โดยมากพวกภรรยาจะไปเล่าให้ฟัง ใช่ไหม.. ว่าผัวกินเหล้าเมายาและก็ เจ้าชู้

บอก คุณ..กลับไปตั้งใจยิ้มอย่างเดียว อย่าบ่น จะไปเวลาไหนก็เตรียมตัวไว้ได้เลย ถ้าเป็นนักเที่ยว ก่อนกลับมาจากทำงาน เราซักเสื้อรีดผ้าเสร็จ บอกเสื้อผ้ารีดให้แล้ว ไม่ช้าไม่กี่วัน..คุณ! ไม่เกิน ๑๕ วันชักปลดจังหวะช้าลง ไปน้อย ประมาณเดือนเศษ ๆ อยู่นั่นไม่ยาว ไม่ยาก

ผู้ถาม : - ขนาดหลวงพ่ออยู่วัดยังรู้วิธีปราบ

หลวงพ่อ : - (หัวเราะ) ไม่ใช่อะไร ไอ้ทีแรกจริง ๆ นะ ฉันใช้วิธีนี้ วิธียิ้มนะ แต่ว่าต้องเอาแป้งมาให้กระป๋องหนึ่ง สตางค์ ๖ บาท ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม จะเสกให้ แต่ว่าจะเสกนี่ ต้องเสก ๓ เดือน ในระหว่างที่ก่อนจะเสกนี่ ต้องยิ้มไว้เสมอ ๆ นะ ความจริงไม่เสกวางไว้เฉย ๆ (หัวเราะ) พอถึง ๓ เดือนแกก็มาเอา ใช่ไหม.. สตางค์ก็คืนไปบอกว่า สตางค์นี่ไปซื้อของใส่บาตรบูชาครู ก็ไปใช้ไม่กี่วันบอกกลับมาชนะแล้ว เพราะอะไร แกเลิกหยุดก่อน ๓ เดือนใช่ไหม

ผู้ถาม : - โอ..ยังไม่ทันจะใช้แป้งเลยได้ผล

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ ทีแรกจะไม่ทำวิธีแบบนั้น เลยเกรงแกจะไม่เชื่อ ต้องทำหน่อย ต่อมาสมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ท่านเรียกไปถาม เห็นเล่ากันว่า แกมีคาถาเสน่ห์หรือ..(หัวเราะ) บอกครับ ผมไม่มีคาถา แต่มีวิธีเสน่ห์ ถามว่าทำไง ก็เลยเล่าให้ฟัง หัวเราะกิ๊ก ๆ บอก เออ..เข้าใจหากินโว้ย! ทำต่อไป ได้ผลนะ



๓๖๙. ชอบทะเลาะกับสามี


ผู้ถาม : - ขอเรียนรบกวนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้นับถือสักการบูชาหลวงพ่อมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ว่าอะไร ๆ ก็ดีหมด เสียอยู่อย่างเดียวเจ้าค่ะ ที่แก้ไม่ตก คือว่าสามีกับดิฉันนี่ ชอบทะเลาะกันเป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างก็อายุย่างเข้า ๗๐ กว่าแล้ว...

หลวงพ่อ : - โอ้ย! ดีมาก ๆ ออกกำลังกาย

ผู้ถาม : - นี่การทะเลาเบาะแว้งนี่...

หลวงพ่อ : - ออกกำลังกายใช้กำลังสมองด้วย ใช้ความคิดปราดเปรื่อง สรรหาวาจามาด่ากัน

ผู้ถาม : - ทั้ง ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็อายุ ๗๐ ปีกว่าแล้ว แกหึงฉันเหลือเกินเจ้าค่ะ ขนาดมาทำบุญแกยังให้คนมาเป็นเพื่อน ลูกก็เลยคิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่อยากแต่งกับมันอีกต่อไปแล้ว ขอให้หลวงพ่อช่วยลูกไปนิพพานเร็ว ๆ เถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : - เออ...อัตตา หิ อัตตโน นาโถ "ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งของตน" จะไปได้หรือไม่ได้ต้องตนทำเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า อักขาตาโร ตถาคตา "ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก" ไม่ใช่นำไป บอกแล้วปฏิบัติตาม ของง่าย ๆ



๓๗๐. รักพระนิพพาน


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกรักพระนิพพานมาก ก่อนนอนชอบภาวนาว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง" แต่ทำสมาธิไม่ดีเลย อย่างนี้ลูกจะไปนิพพานได้ไหมคะ?

หลวงพ่อ : - คำว่า สมาธิ นี่มันจำเป็น แต่คนถามไม่รู้จักสมาธิ ไอ้ตัวนึกถึงนิพพานมันเป็นสมาธิอยู่แล้ว สมาธิเขาแปลว่าตามนึกถึง ถ้านึกถึงนิพพานเขาเรียกอุปสมานุสสติกรรมฐาน ทีนี้

ถ้าการนึกถึงนิพพานอย่างเดียว เรารักนิพพานภาวนาว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง" บ้าง "นิพพานะสุขัง" บ้าง "นิพพานัง" บ้าง แต่ว่าก็ต้องดูอารมณ์ใจฝึกไว้อีกส่วนหนึ่ง คนที่จะไปนิพพานได้ต้องไม่ห่วงร่างกาย อันนี้ต้องฝึกไว้ด้วยนะ ต้องฝึกไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายมันเป็นทุกข์ สภาพของความทุกข์ที่เรามีความทุกข์เกิดขี้นทุกอย่าง

๑. ความหิว ถ้าเราไม่มีร่างกายมันก็ไม่หิว มันหิวเพราะมีร่างกาย
๒. หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ก็เพราะร่างกาย
๓. ป่วยไข้ไม่สบาย ก็เพราะร่างกาย
๔. ต้องมีงานหนัก ก็เพราะร่างกาย
๕. การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็เพราะมีร่างกาย
๖. ความตายมาถึงเพราะร่างกาย

ก็ใช้ปัญญาทบทวนไปว่า คนระดับชั้นไหนบ้าง ที่มีร่างกายไม่ทุกข์ ถ้าเราจะเกิดอีกกี่ชาติ ถ้าเรามีร่างกายอย่างนี้ มันก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วขึ้นชื่อว่าร่างกายมีขันธ์ ๕ แบบนี้ เราจะไม่มีกับมันอีก เราต้องบการจุดเดียวคือนิพพาน ทำใจแน่นอนแล้วภาวนาว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง" ก็ได้ นิพพานัง ก็ได้ ต้องคิดอย่างนี้ก่อนแล้วภาวนา คิดแล้วก็ภาวนาต่อไปอย่างนี้ใช้ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้เวลาใกล้จะตายจริง ๆ อารมณ์จิตที่เราพิจารณามันจะรวมตัว มันจะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกาย และวางเฉยในร่างกาย จะมีความรู้สึกว่า การตายมีความสุขกว่านี้ ก็ไปนิพพาน

ผู้ถาม : - แล้วภาวนาอย่างนี้ละค่ะ มีอยู่คืนหนึ่งพิจารณาความไม่เที่ยง เลยฝันว่ามีคนจะมาเอาลูกไป ลูกหนีแทบแย่ ตื่นแล้วยังมีความรู้สึกว่า เหมือนมีคนจะมาเอาเราไปจริง ๆ ทำไมภาวนาแล้วเกิดเป็นอย่างนี้เจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - นี่แสดงว่ายังไปนิพพานไม่ได้แหง ๆ เพียงแค่เขาลอง เขาทดสอบหน่อยเดียว คนจะไปนิพพานคนเขาต้องทดสอบ เทวดาเขาต้องทดสอบว่า เรามีความมั่นคงพอไหม จะเอาไปหมายจะให้ตาย ความจริงบุคคลที่จะเข้าถึงนิพพาน เขามีความรู้สึกว่า ถ้าร่างกายตายเมื่อไร เขามีความสุข เขาไม่ได้ห่วงร่างกายนะ มันต่างกันเยอะ


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 10/3/10 at 08:05 Reply With Quote


๓๗๑. พิจารณาเกิดดับ


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกชื่อ พรรัตน์ โชคจิตสัมพันธ์ อยู่ประเทศออสเตรเลีย หลวงพ่อเจ้าขาลูกอยู่ไกลมาก แต่ก็มีโอกาสได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์เป็นประจำ ก็มีความสงสัยอยากจะใคร่เรียนถามข้ามทวีปมาดังต่อไปนี้ ข้อที่ ๑. การพิจารณาการเกิดดับนั้น เขาพิจารณากันแบบไหน ขอหลวงพ่อได้โปรดแนะนำด้วยเถิดเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ : - เอ๊ะ! นี่พูดไปเขาจะได้ยินหรือเปล่า..นี่ฉันตอบไปนี้เขาคงไม่ได้ยินละมั้ง พิจารณาเกิดดับเหรอ.. พิจารณาแบบไหนดีล่ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราเกิดมาแล้วมันเหลือแต่เวลาดับ ให้ดูคนอื่นดูสัตวอื่นว่า เขาเกิดมาแล้วในที่สุดเขาก็ตาย เราก็มีสภาพเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดมาแล้ว ไม่ช้าก็ตายเหมือนกัน ดูแค่นี้ก็แล้วกัน ไปดูตามตำราดูไม่เห็นหรอก ต้องดูแบบนี้นะ เวลาปฏิบัติจริง เขาดูกันแบบนี้ ไม่ใช่ตามตำรา

ผู้ถาม : - ข้อที่ ๒ วิธีพิจารณาร่างกายให้เห็นว่า เป็นที่น่ารังเกียจปฏิกูลนั้น จะต้องใช้ปัญญาและอารมณ์แบบไหนเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ไม่ต้องใช้มาก สังเกตข้าว อาหารที่กินเลือกแล้วเลือกอีกใช่ไหม..พอเป็นกากไหลออกมา ดูไม่ได้แล้ว..เป็นขี้! นี่อยู่ในร่างกาย ฉะนั้น ของในร่างกายทั้งหมด มันเต็มไปด้วยของสกปรก ไม่ใช่ของดี อย่างเลือดที่เราต้องการให้มีเลือดมาก ๆ ใช่ไหม..แต่ว่าพอเลือดไหลออกมาแล้ว เราก็รังเกียจเลือดใช่ไหม แล้วก็สำหรับในปากน้ำลายมีอยู่เราอมได้ พอบ้วนมาเราแตะต้องไม่ได้ แสดงว่าข้างในร่างกายไม่มีอะไรดี มีแต่สกปรกอย่างเดียว เท่านั้นไม่ยาก

ผู้ถาม : - อ๋อ..แค่นี้เอง แต่ฝรั่งนี่แปลกจริง ๆ มันดูดกันได้นะ ไม่ปฏิกูล น่าเกลียด!

หลวงพ่อ : - คนไทยเขาก็มีดูดนะ หนังสือพิมพ์ลงบ่อย ๆ" (หัวเราะ)




๓๗๒. อาหาเรปฏิกูลสัญญา


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีความถนัดและพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาเป็นประจำ ก่อนทานอาหารทุกครั้งต้องพิจารณาเสียก่อน แล้วจึงค่อยรับประทาน ตอนพิจารณาก็เห็นเป็นซากสกปรก เลอะเทอะสะอิดสะเอียดมาก พาลทำให้กินไม่ได้ผ่ายผอมลงทุกวัน ๆ จึงใคร่ถามหลวงพ่อว่า วิธีพิจารณาฉบับของหลวงพ่อ บริโภคได้โดยไม่สะอิดสะเอียดนั้น หลวงพ่อพิจารณาแบบไหนเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญาแล้วนะ ต่อไปฉันก็ภาวนา "กินหนอ ๆ" มันเลอะเทอะกูก็กินมึง กูจะกินเสียอย่าง คือการพิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา คือของทุกอย่างเกิดจากของสกปรก มีไก่สกปรก อาหารของสัตว์ก็สกปรก ร่างกายของสัตว์ก็สกปรก แต่ว่าสิ่งสกปรกทั้งหลายเหล่านั้น ร่างกายของเราก็สกปรก เมื่อของสกปรกกับสกปรกอยู่ด้วยกันก็ช่างมันปะไร ถืออุเบกขา กินดะเลย คือว่าอย่าเห็นเฉพาะเวลานั้นซิ เวลานั้นเขาพิจารณาให้เห็น ให้เกิดเป็นนิพพิทาญาณ

นิพพิทาญาณ หมายถึงความเบื่อหน่าย เห็นร่างกายสกปรก หลังจากนั้นต้องใช้พิจารณาแบบนั้นต้องใช้ สังขารุเปกขาญาณ เข้าควบคุม อารมณ์ใจวางเฉย มันสกปรกแล้วก็ไม่เป็นไร เราเกิดมาแล้ว ก็ต้องพบกับความสกปรก ต่อไปชาติหน้าความสกปรกจะไม่มีกับเราอีก เราตายเราจะไปนิพพาน คิดอย่างนั้น



๓๗๓. พิจารณาร่างกายเป็นปฏิกูล


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา เวลาหลวงพ่อเทศนาที่ซอยสายลมเกี่ยวกับเรื่องวิปัสสนา พิจารณาร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ น่าเกลียด ปฏิกูลเยอะแยะ เห็นตามภาพชัดเลยน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ เจ้าค่ะ แต่อีตอนกลับไปถึงบ้านพบพ่อของลูกทีไร อารมณ์วิปัสสนากรรมฐานหายไปหมดทุกที จนกระทั่งพบหลวงพ่อใหม่หรือฟังเทป อารมณ์นั้นจึงฟื้นคืนขึ้นมา ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า วิธีที่จะทรงอารมณ์วิปัสสนา พิจารณาร่างกายให้ตลอดรอดฝั่งนี้ ลูกควรจะทำอย่างไรเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ความจริงเขาก็ทำถูกแล้วนะ อย่าไปทำใหม่ เวลาว่างจากพ่อไอ้หนูก็พิจารณา พิจารณา เป็นอสุภสัญญาของน่าเกลียด เจอะพ่อไอ้หนูก็มีเมตตาบารมี เมตตา กรุณา สงสาร อันนี้ความจริงทำถูกไม่ใช่ไม่ถูก เพราะอารมณ์เรายังไม่ถึงอนาคามีใช่ไหม.. เพียงแค่พิจารณาร่างกายชั่วเวลาว่างเดี๋ยวเดียว จุดนี้จะเป็นจุดสำคัญตอนก่อนที่เราจะตาย เพราะก่อนที่เราจะตายปั๊บ อาศัยอารมณ์จิตที่เคยคิดถึงนิพพานใช่ไหม.. ถือว่าร่างกายไม่ดี มันป่วยขนาดนั้น จะคิดว่าร่างกายนี่มันไม่ดี

มองไปเห็นร่างกายโสโครก ถ้ามีความรู้สึกแค่โสโครก มันจะเกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่าย ตอนนั้นเป็นอนาคามี ถ้ามีความคิดว่า เราไม่ต้องการร่างกายนี้อีก จะเป็นอรหันต์ เป็นสังขารุเปกขาญาณ ไม่ยาก นี่สำคัญมาก

ตัวอย่างบุคคลมีความรู้สึกนิดหน่อย ก็ได้แก่ พระจุลปันถก เรื่องย่อ ๆ เป็นอย่างนี้ พระจุลปันถกพระพุทธเจ้าบอกว่า ในสมัยดึกดำบรรพ์ ท่านเคยเป็นพระมหากษัตริย์ วันหนึ่งออกเลียบพระนคร เลียบพระนครมันก็ร้อนใช่ไหม.. ปรากฏว่าเหงื่อไหล ท่านก็นำผ้าเช็ดหน้าที่มีสีขาวมาเช็ดเหงื่อ ผ้าก็สกปรกก็มองดูคิดว่า ร่างกายมันสกปรกขนาดนี้เชียวหรือ แล้วเขาคิดเท่านั้นไม่ได้คิดอีกน่ะ

ต่อมาอีกหลายชาติ มาพบองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ คือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงส่งผ้าขาวให้ คลึงไปคลึงมาเป็นอรหันต์เลย และอันนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มาก แม้จะใช้ได้เวลาเล็กน้อย อย่าคิดว่ามันเบานะ หนักมาก อานิสงส์หนักมาก และก็เป็นเชิ้อสายให้บรรลุมรรคผลด้วยเหตุอันนี้ นี่เขาทำถูกแล้ว"

ผู้ถาม : - อย่างนี้ก็ต้องรักษาอารมณ์จิตต่อไป

หลวงพ่อ : - ถูกแล้ว..ใช่ ๆ กลับไปบ้านก็มีเมตตา มีกรุณา สองอย่างอย่าทิ้ง ไม่ได้ ทิ้งแตกกัน



๓๗๔. อยากตัดกามารมณ์


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยู่ตลิ่งชัน ลูกเป็นวัยสะรุ่นอายุ ๑๗ ปี ที่เดือดร้อนอยู่ก็คือว่า ไอ้เรื่องอารมณ์ทางเพศ ลูกพยายามเอาอสุภกรรมฐาน กับกายคตานุสสติของหลวงพ่อไปตัด เพื่อให้มันเด็ดขาด แต่มันก็ได้ชั่วครั้งชั่วคราว พอไปเจอหนุ่มเจอพวกเข้ามันก็คึกอีก ก็ไม่ทราบว่าจะทำยังไง ลูกกลุ้มใจเหลือเกิน ขอบารมีหลวงพ่อช่วยตัดกามารมณ์ของลูกสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : - (หัวเราะ) โอ้..นี่ยุ่งแล้ว จะลุกไม่ค่อยจะไหวเลย เอาอย่างนี้ซิ เพื่อความสะดวกแต่งงานเสียเลยนะ

ผู้ถาม : - อย่างนี้คลายเครียดแน่นะ

หลวงพ่อ : - (หัวเราะ) ใช่ ๆๆ ก็คลายเครียด ก็เจริญกรรมฐานต่อไป อย่าง นางวิสาขา ไงล่ะ

นางวิสาขาท่านเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ปี อายุ ๑๖ ปีก็มาแต่งงาน ไอ้หนูนี่เกินไปปีหนึ่งแล้ว

ผู้ถาม : - แล้วยังมีลูกมีเต้าเป็นระนาว

หลวงพ่อ : - แค่ ๒๐ คน

ผู้ถาม : - โอ้โฮ! นี่เป็นพระโสดาบัน เขายังคลายเครียดได้

หลวงพ่อ : - (หัวเราะ) ใช่ ๆๆ เรื่องอย่างนี้มันตัดกันไม่ออก ต้องเป็นพระอนาคามี ถ้ายังไม่ถึงอนาคามี คือพระโสดาบันกับสกิทาคามีนี่ ยังต้องแต่งงานอยู่ เวลามันเครียดขึ้นมา เราก็คลายเครียดเสีย จิตก็เป็นฌาน..(หัวเราะ) จิตเป็นฌานง่าย ใช่ไหม..

ผู้ถาม : - ถ้าจะให้ตัดจริง ๆ ถ้าจะไม่แต่งงานก็ต้องเป็นอะไร..พระอนาคามี?

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ ค่อย ๆ เป็นนะ



๓๗๕. ปลงขันธ์ ๕ ตอน (จุด ๆๆ)


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกพิจารณาธรรมะเป็นส่วนใหญ่ มองเห็นชีวิตเน่าเปื่อย น่าเบื่อหน่าย มีแต่ความทุกข์ ไม่ช้าก็ต้องตาย เหมือนท่อนไม้อันไร้ค่า อารมณ์อย่างนี้จะปรากฏประหลาด คือจะปรากฏเฉพาะเวลา ๓ ทุ่ม คือเป็นเวลาที่ (จุด ๆๆ) เมื่อเป็นเช่นนี้...

หลวงพ่อ : - (หัวเราะ) เดี๋ยว ๆๆ จุดอะไร?

ผู้ถาม : - ผมรู้แล้ว หลวงพ่อคงไม่รู้ซิอยู่วัด.. (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : - ฉันไม่รู้จุดอะไรกัน..(หัวเราะ) เขาปลงขันธ์ ๕ ได้ดีนะ

ผู้ถาม : - นี่เขาสารภาพดีนะ

หลวงพ่อ : - ตรงไปตรงมา ดีมากเป็นสัจจธรรม

ผู้ถาม : - จนกระทั่งบางครั้งสามีโมโหถึงกับด่า.. "อีระยำ! ตอนอื่นไม่ไปปลง เสือกมาปลงตอนจุด ๆๆ" เดี๋ยวนี้ลูกสบายใจได้แล้ว เวลาที่ปัญหาเกิดขึ้น (จุด ๆๆๆ) ลูกก็เรียกหลวงพ่อช่วยทุกครั้ง

หลวงพ่อ : - (หัวเราะ)

ผู้ถาม : - ปู้โธ่ถัง! ปลงสังขารไม่ดูเวล่ำเวลา ไม่ดูอย่างยกทรงเป็นตัวอย่าง

หลวงพ่อ : - ใช้ได้..เวลานั้นจิตใจเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์เดียว เป็นฌาน ขอบารมีได้ง่าย

ผู้ถาม : - เอ๊ะ! ตอนขอบารมีหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์ จะไปจุด ๆๆ ไม่ได้นะ ไม่ถูกเรื่องถูกราวเหมือนกัน

หลวงพ่อ : - ไม่ใช่ ไปเป็นพยานเขา..(หัวเราะ) นี่หัวเราะเจ็บท้องเลย


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 24/3/10 at 13:38 Reply With Quote


๓๗๖. วิธีฝึกใจให้เข้มแข็ง


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ไม่รู้ว่าเป็นเวรกรรมอะไร เกิดมาในชาตินี้รู้สึกว่า ไม่มีความเข้มแข็ง ในดวงจิตเลย ใช้คาถาก็ไม่แข็ง มาทำบุญกับหลวงพ่อก็ไม่เข้ม เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อยากจะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า วิธีฝึกให้จิตใจเข้มแข็งเพื่อพระนิพพานชาตินี้ ลูกควรจะฝึกด้วยวิธีไหน?

หลวงพ่อ : - ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใช้เบ้าหลอมเหล็ก คนเหลวแล้วก็กิน ต่อไปใจจะแข็ง ร่างกายก็แข็ง กินเหล็กได้เข้มแข็งไงล่ะ เนื้อเหล็กกินไม่ไหวนะ กินขี้เหล็กก่อน (หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ ค่อย ๆ นะ ค่อย ๆ คิด ใช้เวลาน้อย ๆ เราทำอารมณ์ทำสมาธิใช่ไหม..ใช้เวลานิดหน่อย ๑-๑๐ เราก็เลิก แค่นี้พอใช้ได้ ไม่ช้าก็ชิน



๓๗๗. นิสัยไม่ดี


ผู้ถาม : - กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ คือว่าลูกมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าต้นดีกลางกับปลายคด...

หลวงพ่อ : - ดีมาก...

ผู้ถาม : - ดีอีกแล้ว ปัญหาทุกอย่างมาหาหลวงพ่อนี่...

หลวงพ่อ : - ดีหมด..อย่างเทวทัตไง ต้นดีปลายคด

ผู้ถาม : - นี่เขาเรียก "ดีหมด" นะครับ หรือว่า "หมดดี"

หลวงพ่อ : - หมดดี

ผู้ถาม : - เขาว่ามาอย่างนี้ คือเวลาฟังหลวงพ่อเทศน์ใหม่ ๆ มันปีติ เอาจริงเอาจัง ปฏิบัติคร่ำเคร่งนั่งหูดับตับไหม้เลย แต่ว่าพอหลวงพ่อกลับไปแล้วซิคะ จิตมันเลวระยำคิดจะทำโน่นทำความชั่วต่าง ๆ นานา อารมณ์อย่างนี้ ลูกแก้ไม่ตกเลยเจ้าค่ะ ขอบารมีหลวงพ่อโปรดช่วยความสว่างกระจ่างใจสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : - ก็ดีแล้วนี่

ผู้ถาม : - ดีอีกแล้ว ผิด..เลว..ก็ดี

หลวงพ่อ : - อ้าว..ทำไม่เล่า ก็เวลาฟังเทศน์จิตเขาดี ทำไมจึงว่าเขาไม่ดีล่ะ

ผู้ถาม : - ที่เขากล่าวหมายถึง ตอนที่หลวงพ่อกลับไปแล้วจิตไม่ดีครับ

หลวงพ่อ : - ก็ช่างมัน.. เราก็มาดีใหม่ แต่เวลาจะตายความดีอาจเข้าถึงตัวได้นะ ถ้ามันจะตาย ธรรมดาของคนมันเป็นอย่างนั้นแหละ จะให้ดีทุกวันเป็นไปไม่ได้หรอก ต้องดีบ้างชั่วบ้างทำความดีคราวละน้อย ๆ ทำบ่อย ๆ ก็เต็ม เหมือนน้ำฝนตกทีละหยาด ๆ สามารถทำให้ภาชนะเต็มได้ใช่ไหม.. อย่างนี้ที่หลวงพ่อมามีปีติ ไอ้ปีติเป็นตัวสำคัญมาก เป็นมหากุศล และจงอย่าลืมว่าเวลาจะตายน่ะมันจะช่วย ปีตินี่จะช่วย เมื่อปีติช่วยเข้าสนองใจปั๊บเห็นภาพพระทันที นี่ตายแบบนี้ลงนรกไม่ได้

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน แก้ตัวใหม่ ก่อนจะหลับภาวนา พุทโธ ๓ ครั้ง ตื่นขึ้นก่อนจะลุกขึ้นภาวนาพุทโธ ๓ ครั้ง แค่นี้พอแล้ว เอาแค่ฉันเมื่อเป็นเด็ก ฉันเมื่อเป็นเด็กแม่บังคับแค่นี้ ก่อนจะหลับหัวถึงหมอนปั๊บภาวนาพุทโธ ต้องว่าดัง ๆ นะ ให้ท่านได้ยิน พอตื่นขึ้นปั๊บ "พุทโธ พุทโธ พุทโธ" แล้วก็ไป เราก็ว่าตามประสาเด็ก ทีว่าเมื่อกี้หลวงพ่อกลับไปแล้วชั่ว ความจริงเขายังไม่ชั่วหรอก บางวันเขาก็ภาวนา บางวันเขาก็ไหว้พระ ยังไม่ชั่ว ยังนึกถึงหลวงพ่ออยู่ ถ้าทางที่ดีนะ ควรจะรับหนี้จากหลวงพ่อไปเสียบ้าง จะได้นึกถึงหลวงพ่อทุกวัน ๆ ใช่ไหม. (หัวเราะ)

ผู้ถาม : - เรียกว่า ถ้ารับหนี้จากหลวงพ่อไปได้ไอ้เรื่องอะไร ๆ...

หลวงพ่อ : - ก็นึกถึงหลวงพ่อทุกวันไง เป็นสังฆานุสสติ ตายแล้วไปสวรรค์ทันที

ผู้ถาม : - อ๋อ..การนึกถึงว่าจะช่วยใช้หนี้หลวงพ่อ เป็นสังฆานุสสติ

หลวงพ่อ : - ใช่..เป็นการช่วยสงฆ์ นึกถึงพระสงฆ์ไงเล่า สังฆานุสสติ แปลว่า นึกถึงพระสงฆ์

ผู้ถาม : - นี่ถ้าเกิดนึกอะไรไม่ได้ จับนึกถึงกล้องยานัตถุ์หลวงพ่อเป่าปู้ด ๆ เห็นกล้องยานัตถุ์ นึกถึงกล้องยานัตถุ์ อย่างนี้ตายแล้วไปไหนครับ?

หลวงพ่อ : - ตายแล้วไปเกิดเป็นกล้อง.. (หัวเราะ) อันนี้ก็เป็นสังฆานุสสติเหมือนกัน เพราะกล้องยานัตถุ์ของหลวงพ่อ อย่าลืมว่าลงคำหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นพระสงฆ์ใช่ไหม?

ผู้ถาม : - เรียกว่าอะไรแล้วแต่ เกี่ยวกับหลวงพ่อนี่เป็น...

หลวงพ่อ : - เกี่ยวกับหลวงพ่อหรือพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม..เหมือนกัน เป็นสังฆานุสสติเหมือนกัน ถ้าเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งเป็นพุทธานุสสติ เกี่ยวกับการสวดมนต์หรือฟังเทศน์ เป็นธัมมานุสสติ

ผู้ถาม : - นั่งสมาธินิดหน่อย ๆ ก็เป็นธัมมานุสสติ

หลวงพ่อ : - อย่าลืม..นิดหน่อยนี่ มีความสำคัญมาก มันสะสมตัวเอง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า แม้ทำบุญคราวละเล็กคราวละน้อย แต่ทำบ่อย ๆ มันก็สามารถทำบารมีให้เต็มได้ เหมือนน้ำ ฝนที่ตกทีละหยาด ๆ สามารถทำภาชนะให้เต็มได้ เห็นไหม.. ไอ้นี่เวลาหลวงพ่อมาปีติดีมาก ก็ไหลไปบ้างไหลมาบ้าง ไม่ได้เสียทุกวัน ฉันรู้นะที่พูดมาน่ะโกหก เขาไม่เสียทั้งวันหรอก เขาเสียบ้างไม่เสียบ้างเท่านั้นเอง เฉพาะเวลาบางเวลา

ผู้ถาม : - โอ๊ะ! หลวงพ่อรู้เสียด้วย เป็นอันว่าก็เป็นคนดีคนหนึ่ง

หลวงพ่อ : - ฉันขอแช่งคนนี้ไว้ ตายแล้วห้ามเกิดเป็นมนุษย์ ไปสวรรค์ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าไป



๓๗๘. ท้อแท้ทำความดี


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะทำความเพียรเพื่อทำความดี แต่บางครั้งก็มีอารมณ์ท้อแท้ จะทำอย่างไรดีคะ?

หลวงพ่อ : - ถ้าท้อแท้ต่อความเพียรก็แสดงว่าขี้เกียจ คนที่มีความเพียรคือคนขยัน ความเพียร เพียร ต่อสู้กับความชั่ว เพื่อหวังให้มีผลในความดี เป็นเรื่องธรรมดาของคน ไอ้การต่อสู้ความขยันหมั่นเพียร มันจะมีทุกเวลาไม่ได้นะ ในบางครั้งกรรมที่เป็นอกุศลเดิมมันเข้ามาครอบงำจิต เวลานั้นจะตัดความดีของเราให้รู้สึกท้อแท้ไม่กล้าต่อสู้..เบื่อ! พอกุศลเข้ามาสนองปั๊บ กุศลเตะไอ้นั่นออกไป นี่ขยันแล้วสร้างความดี ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกันทุกคน หนักเข้า ๆ กุศลมีกำลังแรงก็เตะไอ้นั่น กระเด็นออกไป

พอถึงพระโสดาบันปั๊บ อกุศลยังเข้ามาได้ แต่เข้าก็เข้าแรงไม่ได้ ถ้าถึงพระโสดาบันอกุศลเข้าแรงไม่ได้ มันจะสร้างความขุ่นมัวบ้าง แต่จะถึงทำบาปไม่ได้ คำว่า "ขุ่นมัว" อาจจะต้องโกรธใช่ไหม.. พระโสดาบันยังมีโกรธ พระโสดาบันยังมีความรักในระหว่างเพศ พระโสดาบันยังมีความอยากร่ำรวย แต่เรื่องละเมิดศีลไม่มี แต่มีอารมณ์ที่แจ่มใสจริง ๆ คือพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์เพียงใด ก็ยังเตะกันใหม่ แต่ว่าเตะเบา ๆ



๓๗๙. พระอรหันต์ไม่โกรธ


ผู้ถาม : - หลวงพ่อได้พูดไว้ว่า พระอรหันต์มีอารมณ์โกรธ แต่ดับอารมณ์ได้ฉับพลัน

หลวงพ่อ : - ฉันสงสัย...ฉันเขียนผิดหรือคนอ่านจำผิด อารมณ์โกรธ ไม่มีตั้งแต่อนาคามี แต่ท่าทาง แสดงความโกรธน่ะมีอยู่ ไม่ใช่อารมณ์โกรธ ที่แสดงแบบนั้นกลัวคนนั้นจะเสีย ก็แสดงท่าว่าโกรธ อย่างที่พระพุทธเจ้าลงโทษพระสงฆ์ มีคำสั่งลงโทษ นั่นไม่ใช่โกรธนะ...หวังดี นี่จำผิดแล้ว

ถ้าอารมณ์โกรธมีและดับได้เร็วเป็นพระสกิทาคามี อนาคามีนี่เขาไม่มีแล้ว แต่ถ้าความโกรธเกิดขึ้นจะดับไม่ยาก ซื้อรถดับเพลิงไว้ พอเริ่มโกรธปั๊บ..สตาร์ทพรืด! น้ำพ่นพรวด..หกคะเมนเกนเก้! หาย ไปเอง นั่นไม่ใช่อรหันต์น ฉันคงไม่เขียนผิดละมั้ง ต้องกลับไปอ่านใหม่ แต่ว่าแสดงความโกรธนั้นมีอยู่ เพราะว่าจะลงโทษ คือไม่ลงโทษก็ยับยั้ง ไม่ยังงั้นคนนั้นจะเสีย

อย่างพระพุทธเจ้าลงโทษพระต่าง ๆ อย่าง พระฉันนะ ก็เหมือนกัน หนักมาก ที่สั่งให้พระสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว ขอให้พระสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ อันนี้เรื่องใหญ่มากเชียว

ไม่ใช่พระพุทธเจ้าโกรธ แต่ต้องการให้พระฉันนะดี แต่ในเมื่อพระสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ท่านก็เสียใจ คิดว่าตอนพระพุทธเจ้าอยู่ใคร ๆ ก็คุยด้วย พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว จะไปหาใครก็ไม่มีใครคุยด้วย พระอรหันต์ก็เยอะ เพราะพระพุทธเจ้าสั่ง เพราะการรู้ตัวตอนนี้ เป็นเหตุให้พระฉันนะเป็นพระอรหันต์ เขาทำเพื่อประโยชน์ ไอ้คนถูกลงโทษใหม่ ๆ อาจจะนึกว่า เราไม่น่าถูกลงโทษเลย ไอ้คนที่ทำความผิด ไม่รู้ตัวว่าผิดเป็นเรื่องธรรมดา



๓๘๐. กรรมฐานกองสุดท้าย


ผู้ถาม : - อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติพระกรรมฐานบ้าง แนะการปฏิบัติของหลวงพ่อบ้าง มีอยู่ตอนหนึ่งที่หลวงพ่อชอบพูดอยู่บ่อย ๆ เสมอว่า ถ้ายังไง ๆ ฉันก็ไม่ทิ้งกรรมฐานกองสุดท้าย ฉันชอบกรรมฐานกองสุดท้ายเป็นอย่างมาก อยากเรียนถามว่า กรรมฐานกองสุดท้ายที่หลวงพ่อใช้ หลวงพ่อนึกเป็นประจำวัน คืออะไรเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - กองสุดท้าย คือ สังขารุเปกขาญาณ เป็นกองสุดท้ายในพระพุทธศาสนา


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 1/4/10 at 08:28 Reply With Quote


๓๘๑. บรรลุอรหันต์ในที่นั่งเดียว


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับหนึ่งบอกว่า นักปฏิบัติที่ปฏิบัติถึงได้พระโสดาบันแล้ว ไม่ต้องลุกขึ้น ให้ตีตั๋วรวดเป็นพระอรหันต์ไปในที่นั่งนั้นได้เลย ลูกอยากให้หลวงพ่ออธิบาย พร้อมทั้งแสดงวิธีปฏิบัติเรื่องนี้ พอเป็นไตเติ้ลให้ลูกดูหน่อยเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ : - มีไตเติ้ลด้วยนะ ไอ้ไตเติ้ลมันแปลว่ายังไง ไตไม่ดีหรือไง.._(หัวเราะ) เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ที่พูดอย่างนั้นละนะ พูดตามวิสุทธิมรรคท่าน พระพุทธโฆษาจารย์ ท่านรจนาวิสุทธิมรรคเป็นพระอรหันต์ องค์นั้นนะท่านเขียนไว้ว่า ถ้าบุคคลผู้ใดเจริญพระกรรมฐานในที่นั่งใดได้พระ โสดาบัน ไม่ต้องลุกจากที่ ทำให้ถึงพระอรหันต์เลย และวิธีปฏิบัติจริง ๆ เขาปฏิบัติกันตามนี้นะ ถ้า ถึงพระโสดาบันแล้ว เขาไม่มุ่งสกิทา อนาคา เขาตีตั๋วเข้าอรหันต์ไปเลย

วิธีการตีตั๋วอรหันต์เป็นอย่างนี้ พอถึงพระโสดาบันเสร็จให้จับ อวิชชา ตัวสุดท้าย พิจารณา
ตามความเป็นจริงว่า มนุษยโลกทั้งโลกมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เทวโลกกับพรหมโลก มันมีความสุขจริงแต่สุขไม่นาน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็กลับมาเกิดใหม่ มีทุกข์ใหม่ งั้นเราไม่ต้องการในที่นี้ เราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน เท่านั้นแหละ และอารมณ์ก็จะทรงฌาน อารมณ์ทรงฌานก็จะตัดกิเลสเอง

เวลาปฏิบัติจริง เขาทำแบบนั้นกันนะ ถ้าตามแบบเขาต้องว่ากัน พระโสดา สกิทา อนาคา
อรหันต์ นี่ตามแบบ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้ เขาก็หาว่านอนแบบอีก เวลาปฏิบัติก็ต้องว่าอีกส่วนหนึ่งต่างหาก



๓๘๒. ฆราวาสเป็นอรหันต์


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ที่ว่าฆราวาสสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว อยู่นานไม่ได้ต้องนิพพานไป ในกรณีที่สามีสำเร็จอรหันต์แล้ว สามารถจะบอกภรรยาได้หรือไม่ว่า น้องจ๋าพี่สำเร็จแล้ว...

หลวงพ่อ : - คงจะบอกได้นะ

ผู้ถาม : - แล้วถ้าภรรยาจะบอกว่า เมื่อพี่เข้านิพพานแล้ว ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้น้องร่ำรวยอย่างนี้จะขัดกับพระนิพพานหรือเปล่าคะ?

หลวงพ่อ : - เจ้าของจดหมายกับฉันคิดผิดกัน ฉันคิดว่าถ้าพี่ไปนิพพาน ขอฉันมีสามีใหม่ได้ไหมคะ.. (หัวเราะ)

ผู้ถาม : - เออ..ดีเหมือนกันนะ

หลวงพ่อ : - เอาอย่างนี้ซิ พระอรหันต์ท่านยอมรับกฎของกรรม มันจะรวยหรือไม่รวยอยู่ที่กฎของกรรม ถ้าชาติก่อนทำทานไว้ดี กฎของกรรมแห่งทาน ก็บันดาลให้เราร่ำรวย แต่ทานก็ก็เป็นเขต การให้ทานแก่สัตว์หรือทานกับบุคคลอื่น ทานกับบุคคลเป็นคนมีศีลหรือไม่มีศีล ทรงฌานสมาบัติไหม เป็นพระอริยเจ้าไหม แต่ทานที่ดีที่สุดคือสังฆทาน เป็นต้นเหตุ เป็นต้นทาน ของมหาเศรษฐีตรง

ผู้ถาม : - ฉะนั้น จักรพรรดิก็ไม่ได้เป็น จักรเพชรก็ไม่ได้เป็น

หลวงพ่อ : - ได้..ก็ไปรวมอยู่ที่นิพพานไงล่ะ ทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ไปรวมที่พระนิพพานหมด ที่นิพพาน จะเห็นว่า พื้นแผ่นดินก็เป็นเพชร กำแพงบ้านก็เป็นเพชร บ้านทั้งหลายก็เป็นเพชร เครื่องใช้ทั้งหมดก็เป็นเพชร ตัวเองก็เป็นเพชร แถมส้วมถ้ามีก็เป็นเพชร



๓๘๓. พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะขอวิธีบำเพ็ญบารมี ที่เวลาบรรลุอรหันต์แล้ว จะได้ปฏิสัมภิทาญาณได้ด้วยนั้น เราจะต้องทำบุญประเภทไหนและอธิษฐานแบบไร เพื่อเวลาสำเร็จแล้ว จะได้ปฏิสัมภิทาญารพร้อม ๆ ไปเลยเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ฉันยังไม่ได้เลย สำคัญปฏิสัมภิทาญาณนี่ ฉันยังไม่ได้เลย แล้วจะสอนใครได้

ผู้ถาม : - อ๋อ..ต้องได้ก่อนถึงจะสอนได้

หลวงพ่อ : - ใช่ซิ รออีก ๓๐ ปีจะบอกให้..มันต้องอาศัยบารมีเก่า ไม่ใช่ไปเรียนใหม่ คือเก่าเขาเคยได้สมาบัติ ๘ มาแล้ว เคยได้อภิญญามาแล้ว อาศัยบุญของสมาบัติ ๘ นี่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ ไม่ใช่มาสร้างกันส่งเดช

ผู้ถาม : - ต้องบุญเก่าตามมา

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ

ผู้ถาม : - งั้นก็แสดงว่า มโนมยิทธิที่ฝึกอยู่ทุกวันนี้ ที่ได้กันปุ๊บปั๊บ..ตาทิพย์ แสดงว่าบุญเก่าเขา

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ ทดสอบได้เลย



๓๘๔. ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกอ่านธัมมวิโมกข์เมื่อเดือนกรกฎาคม หน้า ๕๔ ว่าด้วยปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ จึงสงสัยว่า คนที่จะบรรลุ ๓ อย่าง อย่างที่หลวงพ่อว่านั้น สมมุติทำบุญในชาตินี้ล้วน ๆ แล้วอธิษฐานว่า "เจ้าประคุณ! ถ้าฉันเป็นอรหันต์เมื่อไหร่ ขอให้ได้ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมขก์ ๘ อภิญญา ๖ อธิษฐานอย่างนี้ จะมีทางสำเร็จในชาติปัจจุบันได้หรือไม่ เจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - สำเร็จ..แต่ไม่ใช่สำเร็จอรหันต์หรอก สำเร็จอธิษฐาน จะไปทำทำไม ฉันให้ฝึกมโนมยิทธินี่ดีแล้ว ชอบยาก ๆ

ผู้ถาม : - ความจริงแค่ขึ้นไปนิพพานได้นี่ ก็...

หลวงพ่อ : - เหลือแหล่..ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว อยากได้ปฏิสัมภิทาญาณ อยากได้ไปทำไม ไม่มีมีความหมายเลย แค่นิพพานอะไร ๆ ก็แค่นิพพาน"

ผู้ถาม : - เรียกว่าสบายที่สุดก็คือ...นิพพาน

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ ไม่น่าจะมีคนฉลาดแบบนี้เลย



๓๘๕. อยากได้อภิญญา


ผู้ถาม : - กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า การที่เราฝึกมโนมยิทธิแล้ว โดยใช้ภาพพระพุทธรูปแก้วใสของหลวงพ่อจับเป็นกลิณ กับใช้ภาพองค์สมเด็จพระชินราช จะได้ผลเหมือนกันหรือไม่ เพราะผมตั้งใจแล้วว่าต่อไปอนาคต ผมจะเอาอภิญญา ๖ ให้ได้ขอรับ?

หลวงพ่อ : - เอาแน่หรือ..เอาแน่นะ?

ผู้ถาม : - อ้อ..มโนมยิทธินี่ ถ้าพูดถึงว่าจับพระพุทธรูปใส...

หลวงพ่อ : - ได้ทั้งสองอย่าง อะไรก็ได้ อภิญญานี่ต้องได้กสิณทั้ง ๑๐ นะ อย่าทำเตาะแตะส่งเดชไปกสิณทั้ง ๑๐ นี่ต้องคล่องทั้งหมด แล้วก็เดินหน้าถอยหลังได้ เข้าฌานสลับฌานได้ ยากแล้วนะ เอายังงี้ซิ ถ้าฝึกต้องการอภิญญา ๖ ฝึกไปนิพพานง่ายกว่าเยอะ ดีกว่าเยอะ ไม่ได้เกิดประโยชน์

ผู้ถาม : - ความจริงมโนมยิทธิก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว

หลวงพ่อ : - ก็แค่นั้นแหละ ได้อภิญญา ๖ ก็แค่นั้นแหละ ไปได้เท่ากัน

ผู้ถาม : - แต่ฆราวาสได้แค่ ๕ หรือ ๖ ก็ได้ครับ

หลวงพ่อ : - ถ้า ๖ ต้องเป็นพระอริยเจ้านะ อันที่ ๖ _อาสวักขยญาณ _ไงล่ะ ความจริงเอาแค่เป็น พระอริยะดีกว่า อภิญญาเฉย ๆ จะทำอะไรกัน ได้มโนมยิทธิก็ถมเถไปแล้ว

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 8/4/10 at 08:01 Reply With Quote


๓๘๖. เจริญอรูปฌาน


ผู้ถาม : - หลวงพ่อขอรับ ผมสงสัยว่าผู้ที่เจริญอรูปฌาน หรืออรูปพรหมนั้นน่ะ ถ้าจะต่อวิปัสสนาญาณ หวังมรรคผลพระนิพพานในชาตินี้ จะเปลี่ยนแปลงหรือจะต่ออย่างไร ขอหลวงพ่อโปรดแนะนำด้วยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ : - ได้หรือยัง...ทำได้หรือยัง?

ผู้ถาม : - เอ้า! คนเขียนทำได้หรือยัง แล้วเป็นไงครับ..อรูปฌาน ผมยังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่?

หลวงพ่อ : - อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ วิญญาณัญจายตนะ คนที่ถามนี่ยังทำไม่ได้หรอก ถ้าได้แล้วเขาไม่ถามแบบนี้ เพราะปัญญามันเกิดแล้ว ถ้าต้องการนิพพาน ๗ วันเท่านั้นแหละ ต้องการอรหันต์นะ เจริญวิปัสสนาญาณใช้อรูปฌานเป็นพื้นฐานนะ ไม่เกิน ๗ วัน เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ

ผู้ถาม : - ฌานก็ดีเหมือนกันน่ะซิ ได้ฌานก็ดีเหมือนกัน

หลวงพ่อ : - อ้าว..ก็ต้องถือฌานเป็นพื้นฐาน จะเป็นอรหันต์ เป็นโสดา สกิทาคา เหมือนกัน ต้องมีฌานเป็นพื้นฐาน ไม่มีฌานเป็นพื้นฐานไม่ได้

ผู้ถาม : - บางองค์เขาบอกว่า สมถะไม่ต้องใช้ ใช้วิปัสสนาล้วนรวดเดียวไปนิพพานได้ง่าย เพราะสมถะก็ใช้ไม่ได้

หลวงพ่อ : - มันจะรู้เรื่องเมื่อไหร่ ไอ้คนสอนน่ะ

ผู้ถาม : - โง่เหมือนยกทรงนะ

หลวงพ่อ : - โง่กว่ายกทรงเยอะ มันแยกกันไม่ได้ _ศีล สมาธิ ปัญญา สมถะคือสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิ วิปัสสนาญาณมันมียังไง ปัญญามียังไง สมถะคือสมาธินั่นเอง ก็ต้องทำพร้อมกัน

ผู้ถาม : - สงสัยท่านตัวเบ้อเร่อ มาขาดสมาธิตัวเดียว

หลวงพ่อ : - ไม่รู้...ไอ้หมอนั่นไม่รู้แน่

ผู้ถาม : - ครับ ๆๆ ก็คงเป็นพระอรหันต์รุ่นใหม่

หลวงพ่อ : - รุ่นโน้นซิ...รุ่นเทวทัต!



๓๘๗. ขอขมาโทษหลวงพ่อ


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ก่อนอื่นผมขอกล่าวคำสวัสดีต่อหลวงพ่อด้วย ที่เคยล่วงเกินหลวงพ่อมาเป็นเวลาช้านานแล้ว เพราะปฏิเสธเรื่องนิพพานที่หลวงพ่อสอน ผมเป็นลูกศิษย์พระอภิธรรม มันว่าง..มันสูญ! เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่า ไม่ว่าง. ไม่สูญ! ตามที่อาจารย์มันว่า (อ้าว..สงสัยจะล้างแค้นเลย เออ..ฉุนอาจารย์เก่า)

หลวงพ่อ : - ด่าทั้งสองฝ่าย

ผู้ถาม : - นั่นซิ..วันนี้ที่จดหมายมา ไม่มีอะไรหรอกครับ คือจะมากราบขอขมาลาโทษ ดอกไม้ธูปเทียนไม่มีมา ผมเอาสตางค์ใส่ตู้แทนแล้วนะครับ

หลวงพ่อ : - เดี๋ยว ๆ สีอะไร?

ผู้ถาม : - อ้อ..ต้องดูสี การขอขมานี่ ต้องมีสีหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ต้องมีสี.. (หัวเราะ) ไม่รู้เขาด่าสีไหนนี่

ผู้ถาม : - นี่จำไม่ได้ก็ต้องใช้สี...สีม่วง!

หลวงพ่อ : - นิพพานต้องสีม่วง.. (หัวเราะ)

ผู้ถาม : - แล้วโดยสรุปก็คือว่า ขอหลวงพ่อได้โปรดอโหสิกรรมให้ลูกด้วย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ลูกจะขอปฏิบัติตามแนวมโนมยิทธิทุกประการขอรับ

หลวงพ่อ : - ไม่เป็นไร ไม่เคยถือโทษโกรธใคร

ผู้ถาม : - เอ๊ะ! ปกติหลวงพ่อไม่เคยทำอะไรใครเลยหรือครับ?

หลวงพ่อ : - เคย

ผู้ถาม : - อ้าว..เดี๋ยว ๆๆ เมื่อกี้บอกว่าไม่เคย อันนี้บอกว่าเคยอีกแล้ว

หลวงพ่อ : - เมื่อกี้บอกไม่เคยถือโทษโกรธใคร ทำอะไรนี่เคยทำ ถ้าความจริงถ้าฉันโกรธคนนั้นโทษน้อย ถ้าฉันไม่โกรธคนนั้นโทษมาก ถ้าฉันโกรธ เขาด่าฉันมาใช่ไหม..ฉันด่าเขาด้วย ขึ้นสถานีเสียเงินสองฝ่าย

ผู้ถาม : - อ๋อ..หมายถึงค่าปรับโรงพักงั้นหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ ทีนี้ถ้าเราไปด่าคนที่เราไม่ควรจะด่า อย่างพระอริยเจ้านี่ ท่านไม่ด่าตอบ เราซวย แล้วก็ซยกันมาเยอะแล้ว

ผู้ถาม : - ยังงี้ก็แสดงว่าเขาด่าเรา เราด่าตอบ อย่างนี้ไม่ดีนะ

หลวงพ่อ : - ไม่ดี

ผู้ถาม : - ก็เป็นอันว่าสบายใจได้อย่างหนึ่งว่า หลวงพ่อไม่เคยถือโทษใครเลยนะ"

หลวงพ่อ : - ไม่แน่...เมื่อก่อนเอา เมื่อก่อนโน้นเอา!

ผู้ถาม : - เคยโกรธเหมือนกันหรือครับ...หลวงพ่อ?

หลวงพ่อ : - เคย..ตอนเป็นหลวงพ่อไม่โกรธหรอก ตอนเป็นหลวงพี่ซิ...

ผู้ถาม : - เดี๋ยว..ต่างกันยังไงครับ หลวงพ่อ..หลวงพี่นี่?

หลวงพ่อ : - หลวงพ่อมันแก่ หลวงพี่มันหนุ่ม

ผู้ถาม : - ตอนนั้นเคยมีเหมือนกันหรือครับ?

หลวงพ่อ : - เคยมี..เหมือนชาวบ้านเขานี่..เหมือนกัน ยี่ห้อเดียวกัน

ผู้ถาม : - แหม..ขนาดมีบุญขนาดหลวงพ่อนี่ ยังมีหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ใครมีบุญ?

ผู้ถาม : - อ้าว..ก็หลวงพ่อซิ ใคร ๆ ก็เอาอะไรมาถวาย ๆ

หลวงพ่อ : - มี..เขาถวายเป็นของสงฆ์ เสือกไปเอาเองซิ ลงอเวจี.. (หัวเราะ) สังฆทานนี่ตัวร้ายกาจ มาตราเดียวอเวจี..ง่าย ๆ คำว่า "สังฆทาน" พระผู้รับถือว่าผู้แทนสงฆ์เท่านั้นเอง เอาไปเข้าส่วนกลางเขา

ผู้ถาม : - อ๋อ..อย่างนั้นคนที่เข้าใจผิดคือบอกว่า สังฆทานต้องมีตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เอ๊ะ! ทำไมทำไมซอยสายลม หลวงพ่อรับองค์เดียว อย่างนี้ก็เป็นปาฏิปุคคลิกทานจริง ๆ

หลวงพ่อ : - รับแทนสงฆ์ ในพระไตรปิฎกเขาก็เขียนไว้ เสือกไม่อ่านเอง

ผู้ถาม : - อ๋อ..นี่ใช้ภาษาไทยตอบเลยหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ใช่..คนไทยใช้ภาษาเจ๊กรู้เรื่องยาก



๓๘๘. ปรามาสพระอริยเจ้า


ผู้ถาม : - เรื่องพระอริยเจ้าก็มีอยู่นิดคือว่า การปรามาสพระอริยเจ้าด้วยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม โมโหด้วยความตั้งใจก็ตาม อยากเรียนถามว่า จะมีกรรมมากไหมครับ?

หลวงพ่อ : - ก็ลงนรกด้วย เจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม ลงเหมือนกัน!

ผู้ถาม : - ไม่ต้องสอบสวนหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ไม่ต้องสอบ สบาย..ก็ไม่ยาก ก็ไปขอขมาต่อพระพุทธเจ้าเสียซิ ถ้าไม่พบพระพุทธเจ้าก็พระพุทธรูป

ผู้ถาม : - ต้องไปพบพระพุทธรูปที่วัดท่าซุง หรือว่า...

หลวงพ่อ : - ไม่จำเป็น ที่บ้านก็ได้ ให้นึกว่าท่านคือพระพุทธเจ้า เพราะพระอริยเจ้านี่ ขอขมาโดยตรงตัวไม่มีผล อย่างสมมุติยกทรงเป็น "โสดาตะบัน" ใช่ไหม...

ผู้ถาม : - เดี๋ยว ๆ ครับ ตามศัพท์พระไตรปิฎกเขาเรียก "โสดาบัน" ครับ

หลวงพ่อ : - ไอ้นี่มันหนักแน่น "โสดาตะบัน" นี่ขั้นเอกพิชีนะ เพราะตะบันจนกระทั่งแน่นปั๋งไม่คลายตัว สมมุติว่ายกทรงเป็นพระโสดาบัน เขาไปด่าไปว่าเข้านินทาเข้าก็บาป ใช่ไหม.. ไปขอโทษโดยตรงกับยกทรงนี่ไม่มีผล ต้องขอโทษโดยตรงกับพระพุทธเจ้า เพราะว่าความเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่เกิดจากยกทรง เกิดจากพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์

ผู้ถาม : - แล้วอย่างพระโสดาบันที่บวชเป็นพระ กับโสดาบันที่เป็นฆราวาส ถ้าเราปรามาสโทษ จะเป็นอย่างไรครับ?

หลวงพ่อ : - ครือกัน

ผู้ถาม : - เพราะฉะนั้น พวกเราจำไว้นะ ฆราวาสที่เป็นพระอริยะมีเยอะแยะ

หลวงพ่อ : - เอายังงี้ก็แล้วกัน พระโสดาบันไปตันแค่ศีล ๑.เคารพพระพุทธเจ้า ๒.เคารพพระธรรม ๓.เคารพพระอริยสงฆ์ ๔.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ องค์พระโสดาบันมีแค่นี้

ผู้ถาม : - อุ้ยตายแล้ว! หลวงพ่อนี่เทศน์ไม่เหมือนกับโทรทัศน์ เดี๋ยวนี้ยังออกอากาศปาว ๆ อยู่นะครับ ว่าพระโสดาบัน ๑.สักกายทิฏฐิ ต้องตัดขันธ์ ๕ โดยเด็ดขาด

หลวงพ่อ : - เอาเลื่อยที่ไหนมาตัด เดี๋ยวก่อน..พระโสดาบันถ้าตัดขันธ์ ๕ เด็ดขาด ลองคิดดู นางวิสาขา ท่านเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ปี ขันธ์ ๕ นะคนเดียวนะ พออายุ ๑๖ ได้อีก ๕ ขันธ์..มีผัว! ต่อไปก็ลูกชาย ๑๐ คน มีผู้หญิง ๑๐ คน ลูกทั้งหมด ๒๐ คน ตัดหรือไม่ตัด ตัดหรือต่อ พระโสดาบันกับสกิทาคามี สองอย่างยังแต่งงานได้ ไม่แต่งงานก็อนาคามีขึ้นไปเท่านั้นเอง ไอ้เทศน์อย่างนั้น ท่านเทศน์ถูกของท่าน แต่ไม่ถูกตามพระไตรปิฎก

ผู้ถาม : - อย่างนี้ฆราวาสที่จะเป็นพระโสดาบัน ก็แค่ศีล ๕ ก็...

หลวงพ่อ : - แค่นั้นแหละ เขาเรียก สัตตักขัตตุง

ผู้ถาม : - อย่างนี้เป็นฆราวาสก็ดีกว่าเป็นพระซิครับ?

หลวงพ่อ : - โอ้ย! ดีกว่าเยอะ ความจริงฆราวาสถ้าพูดตามส่วน เขาได้เปรียบกว่าพระมาก ๑. เจี๊ยะไม่เลือกเวลา ประการที่ ๒ เข้าวิกได้

ผู้ถาม : - หลวงพ่อรู้ด้วยหรือครับ?

หลวงพ่อ : - อ้าว..เคยเป็นฆราวาสมาก่อนนี่ ประการที่ ๓ มีผัวมีเมียได้ ประการที่ ๔ หลับตื่นสายได้ พระตื่นายไม่ได้ ใช่ไหม.. เช้ามืดต้องทำวัตรสวดมนต์ ต้องเจริญกรรมฐาน ถ้าพลาดหน่อยเดียวพระลงนรก สมมุติว่ามีปลาหนึ่งตัวนะ พระมีปลาหนึ่งตัว ฆราวาสมีปลา ๑๐๐ ตัว ตัวขนาดเดียวกัน พระฆ่าปลาหนึ่งตัว ฆราวาสฆ่าปลา ๑๐๐ ตัว พระโทษมากกว่า ก็เพราะว่าทรงศีลเป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาต้องบูชา นี่ละบาปมาก พระไม่ใช่เรื่องเล็กนะ

ผู้ถาม : - โอ้ย! ไม่บวชดีกว่า

หลวงพ่อ : - ใช่..ยกทรงก็เคยเสียท่ามา ๑๘ ปีแล้วซิ



๓๘๙. ฆราวาสเป็นพระโสดาบัน

ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกสงสัยว่า ถ้าฆราวาสที่มีจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว เวลาประสบสิ่งที่ทำให้ไม่สบาย เช่นเรื่องเกี่ยวกับการทำมาหากิน การกระทบอารมณ์ต่าง ๆ อยากจะทราบว่า อารมณ์เขาตอนนั้นจะเป็นอย่างไรเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - พระโสดาบันก็มีอารมณ์คล้ายคลึงกับคนธรรมดา ยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังต้องการความร่ำรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของศีล ฉะนั้นความสะเทือนใจย่อมี แต่ว่าพระโสดาบันไม่ละเมิดศีล ไม่ผิดกาเม ความต้องการรวยยังมี แต่ว่าไม่โกงใคร ไม่ละเมิดศีล โกรธได้แต่ไม่ฆ่าใคร หลงในชีวิตแต่ไม่คิดว่าร่างกายจะไม่ตาย ขอบเขตเขามีแค่นั้นนะ จะไปนึกว่าพระโสดาบันเขาไม่มีความรู้สึกไม่ได้ ถือว่าชาวบ้านชั้นดี

ผู้ถาม : - นึกว่าเป็นพระโสดาบันแล้วจะไม่โกรธ

หลวงพ่อ : - พระโสดาบันน่ะไม่โกรธ แต่แข้งอาจจะโกรธ อย่าลืมนะ ยังเตะได้ เขาไม่ได้ฆ่านะ นี่บอกกันตรง ๆ พระโสดาบัน พระสกิทาคานี่ อย่าไปแหยมเข้านะ

ผู้ถาม : - เอาเรื่องเหมือนกันหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ไม่เอา..เตะเลย! ดีไม่ดีมันมีปืนไม่ตั้งใจจะฆ่า ยิงให้บาดเจ็บ เป็นการยับยั้ง เขายังทำได้นะ ศีลเขาไม่ได้ขาดนะ

ผู้ถาม : - อย่างนี้ก็ยังไว้ใจไม่ได้

หลวงพ่อ : - ไว้ใจได้แน่นอน ถ้ายั่วหนัก ๆ ถูกเตะแน่ ถ้าเป็นผู้หญิงเขาอาจจะตบเอา อย่าไปยุ่งนักไม่ใช่อนาคามี ดูตามขั้นตอนเขาก่อน อนาคามีต่างหากที่ไม่มีความโกรธ จะคิดมากไปว่า พระโสดาบันจะไม่มีความรู้สึกน่ะไม่ได้ ต้องดูตามขั้นตอน



๓๙๐. โคตรภูญาณ


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกพบหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านพูดถึงเรื่องโคตรภูญาณ ลูกไม่เข้าใจเลย เจ้าค่ะ ปฏิบัติอย่างไร ถึงจะเข้าถึงโคตรภูญาณเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - โคตรภูญาณ เขาแปลว่า ระหว่าง ระหว่างโลกีย์กับโลกุตระตอนหนึ่ง ระหว่างพระโสดาบันกับพระสกิทาคาตอนหนึ่ง ระหว่างพระสกิทากับพระอนาคาตอนหนึ่ง ระหว่างพระอนาคากับพระอรหันต์ตอนหนึ่ง มีหลายโคตร มี ๔ โคตร ๕ โคตร

ผู้ถาม : - ตกลงคำว่า "โคตร" นี่หมายถึงระหว่าง

หลวงพ่อ : - ระหว่าง เขาสมมุติว่า จิตของเราจะเข้าถึงพระโสดาบันใช่ไหม.. มันยังไม่ถึงแต่แหย่เข้าไปแล้ว ท่านเปรียบเทียบบอกว่า คล้ายลำรางเล็ก ๆ เท้าข้างซ้ายเหยียบฝั่งนี้ เท้าข้างขวาเหยียบฝั่งโน้น ทั้งสองเท้ายังยันดินอยู่ ยังไม่ยกเท้านี้ไป ระหว่างนั้นเรียก โคตรภูญาณ ญาณ

ในระหว่างโลกีย์กับโลกุตร แต่ว่าเวลานั้นสำหรับตอนต้นนะ เอาตอนต้นที่จะเป็นพระโสดาบัน จะมีอารมณ์ ๆ หนึ่งขึ้นในใจนั่นคือ ต้องการพระนิพพานอย่างเดียว จิตจะรักพระนิพพานอย่างยิ่ง ใครจะชวนเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าไม่ต้องการหมด ต้องการนิพพานอย่างเดียว พอเข้าถึงพระโสดาบันปั๊บอารมณ์ ๆ หนึ่งจะเกิดขึ้นนั่นคือ ธรรมดา

ผู้ถาม : - เป็นยังไงครับ?

หลวงพ่อ : - ถูกด่าก็ธรรมดาของคนเป็นอย่างนี้ ถูกนินทาก็ธรรมดาของคนเป็นอย่างนี้ แต่อย่าด่าบ่อยนักนะ เอาบ้าง.. (หัวเราะ) คือว่าพระโสดาบันยังมีโทสะ แต่โทสะไม่รุนแรง

ผู้ถาม : - ในโทรทัศน์วิทยุเทศน์ บอกพระโสดาบันนี่หมดแล้ว โลภะ โทสะ โมหะ

หลวงพ่อ : - นั่นมันโทรทัศน์ไม่ใช่ที่นี่ นี่โทรทัศน์วงจรปิด นั่นเขาวงจรเปิด

ผู้ถาม : - อ๋อ..จริง ๆ แล้วไม่ถึงขนาดนั้นหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆ

ผู้ถาม : - อย่างนี้ก็ลูกหลานนั่งแถวนี้ก็มีสิทธิ์

หลวงพ่อ : - โอ๊ย..มีสิทธิ์ทุกคน กล้วยตานีสุก ๆ ไม่ยาก

ผู้ถาม : - อ้อ..บังเอิญหลวงพ่อพูดคืนนี้เกี่ยวกับ อรหัตมรรค เรียนถามนิดคือว่า อรหัตมรรคกับอรหัตผลนี่ อารมณ์ต่างกันมากหรือไม่ครับ?

หลวงพ่อ : - ต่างกันมาก ต่างเยอะเชียว อรหัตมรรคมีอะไรบ้าง? ๑.ต้องตัดรูปราคะ ยังมีอารมณ์ หลงในรูปอยู่ ต้องตัดตัวนี้ก่อน รูปฌานนะ ไม่ใช่รูปคน ประการที่ ๒ เมื่อตัดตัวนั้นแล้ว ต้องตัดอรูปราคะ ต้องตัดอารมณ์ที่รักอรูปฌาน คือหลงในอรูปฌาน ยังใช้ฌานแต่ไม่หลงในฌาน ใช้ฌานเป็นประโยชน์นะ ๓.ตัดมานะ การถือตัวถือตน ๔.ตัดอุทธัจจะ คืออารมณ์ฟุ้งซ่าน ๕.ตัดอวิชชา อรหัตมรรคก็ยังมี ๕ อย่าง คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา พออรหัตผลเลย ไม่มีอะไร อรหัตผลเหลืออย่างเดียว สังขารุเปกขาญาณ วางเฉยหมด

ผู้ถาม : - ไม่เอาอะไรเลยหรือครับ?

หลวงพ่อ : - เอา..เอาเฉย ๆ คำว่า "สังขารุเปกขาญาณ" วางเฉยในขันธ์ ๕ ใช่ไหม.. ขันธ์ ๕ มันจะแก่ ขันธ์ ๕ มันจะตาย ก็เป็นเรื่องของมัน คือว่าถ้ายังมีขันธ์ ๕ ก็จะต้องประคับประคอง ถ้าไม่ยังงั้นมันหิว ถ้าขันธ์ ๕ มันป่วย ก็รักษาเป็นการระงับเวทนา ถ้าขันธ์ ๕ จะตายไม่หนักใจ เพราะต้องการนิพพาน

ผู้ถาม : - ต้องมีอารมณ์ขนาดนั้น ถึงวางได้ขนาดนี้นะครับ?

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ และเป็นสุขที่สุด มันเป็นสุขบอกไม่ถูก ก็ไม่ใช่สุขอย่างกับสุขในฌาน ๑ เป็นสุขนะ นั่นมันสุขต่างหาก ไอ้นี่มันสุขที่ไม่อาศัยอะไรทั้งหมด คือไม่อาศัยอามิส เขาเรียก นิรามิส สุข ไม่ต้องมีวัตถุเป็นเครื่องเกาะ อารมณ์จะสุขเอง

ผู้ถาม : - ถ้าหากว่าลูกหลานนี่ สมมุตินะครับ ขณะนี้ทรงอารมณ์พระโสดาบันได้แล้วนี่ จะไม่เอาละ สกิทาอนาคา จะตีรวดไปทีเดียวตอนตายเป็นอรหันต์ จะได้ไหมครับตอนนั้น?

หลวงพ่อ : - วิธีปฏิบัติเขาก็ปฏิบัติแบบนั้น ไอ้พูดตามแบบเขาต้องไล่ตามระดับ ใช่ไหม.. แต่ถ้าปฏิบัติจริง ๆ ท่านบอกว่า ถ้าได้พระโสดาบันในที่นั่งใด ให้ทำจิตให้บรรลุอรหันต์ในที่นั่งนั้น แต่ยังไม่ทุนลุกเป็นอรหันต์เลย

ผู้ถาม : - อ๋อ..ตีรวดข้ามไปเลย

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆๆ ไปจับ อวิชชา เลย วิธีตีรวดก็จับเฉพาะอวิชชา ได้พระโสดาบันแล้วจับอวิชชา

อวิชชามี ๒ อย่างด้วยกันคือ ฉันทะกับราคะ ฉันทะ มีความพอใจในมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ราคะ เห็นมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก สวยสดงดงามน่าอยู่ ไม่มีในอารมณ์ของเรา และโลกทั้ง ๓ นี่ไม่พ้นทุกข์ เราไม่ต้องการ เราต้องการนิพพาน เท่านั้นแหละ ถ้าทำเป็น...ไม่ยาก

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 14/4/10 at 14:11 Reply With Quote


๓๙๑. อยากไปนิพพานก่อนหลวงพ่อ


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะกราบพึ่งบารมีหลวงพ่อเจ้าค่ะ คือลูกปรารถนาที่จะไปมรรค ผลนิพพานให้มันเร็วกว่าที่เขากำหนด เพราะมันเบื่อหน่ายร่างกายเหลือเกิน แต่ใจหนึ่งก็ไม่ห่วง แต่ใจหนึ่งก็ยังเป็นห่วง ไม่ห่วงตัวแต่ห่วงหลวงพ่อ อยากจะขออนุญาตหลวงพ่อตายก่อน ไปก่อนจะได้ไหม หรือว่าจะกลายเป็นลูกอกตัญญู ขอหลวงพ่อได้โปรดอโหสิกรรมด้วยเถิดเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ : - นี่คนนี้อยู่ใกล้วัดไหน อ้าว..เผื่อพระบังสุกุลไง

ผู้ถาม : - อ๋อ..เวลาตายหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ใช่..มันจะแนะนำให้ ตายอย่าง พระโคธิกะ ก็แล้วกัน คือปาดเชือดคอตาย!

ผู้ถาม : - เขาว่าฆ่าตัวตายก็ตกนรกนะ..หลวงพ่อนะ

หลวงพ่อ : - แต่ไปนิพพานนะ พระโคธิกะไปนิพพานนะ ถ้าเบื่อร่างกาย เบื่อจริง ๆ นะ คิดว่าร่างกายเป็นศัตรู เราหิวก็เพราะร่างกาย ป่วยไข้ไม่สบายเพราะร่างกาย มีทุกข์ทุกอย่าง เพราะร่างกาย เราไม่ต้องการมันอีก ขึ้นชื่อว่าร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ อาการ ๓๒ อย่างนี้ไม่มี กับเรา เราต้องการนิพพาน เพียงแค่นี้ก็ไปนิพพาน แต่ระวังมันเจ็บนะ

เอาอย่างนี้ดีกว่า เอาตายแบบสบาย ๆ ดีกว่า อยู่เรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะตายเอง ฆ่าตัวตาย
เดี๋ยวเกิดเจ็บขึ้นมา จิตใจฟุ้งซ่านลงนรกไปเลย"

ผู้ถาม : - ต้องเบื่อจริง ๆ จึงจะไปนิพพานได้

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆ

ผู้ถาม : - เบื่อ ๆ อยาก ๆ เบื่อเฉพาะตอน...

หลวงพ่อ : - เบื่อ ๆ แต่ว่าห่วงหลวงพ่อ ไม่เบื่อจริง เบื่อต้องเป็นสังขารุเปกขาญาณ ตัดทุกอย่างอารมณ์มันจะทรงตัวเอง ไม่ใช่ไปสร้างมันเกิดขึ้น ให้มันเกิดเอง ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นของธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีกังวล ถ้าอยู่เราก็ต้องบริหารร่างกายตามธรรมดา ต้องกินข้าว ต้องถ่ายส้วม ต้องไปขี้น่ะ ต้องป่วย ต้องรักษาโรค อย่างพระพุทธเจ้าเห็นไหม.. แต่ว่าเวลาขันธ์ ๕ จะพัง มันก็เป็นเรื่องของมัน

"เตสัง วูปะสะโม สุโข การเข้าไปสงบสังขารนั่นย่อมเป็นสุข" นั่นหมายความอารมณ์เราเป็นสุข จากร่างกาย เราไม่เดือดร้อนเพราะร่างกาย ร่างกายจะอยู่เชิญอยู่ จะตายก็เชิญตาย ทำจิตให้เป็นสุขนะ

ผู้ถาม : - เอาแค่นี้นะครับ

หลวงพ่อ : - ค่อย ๆ ไป ค่อย ๆ ทำ แต่แค่เบื่อจริง ๆ ยังไปนิพพานไม่ได้นะ เบื่อเป็น นิพพิทาญาณ แค่อนาคามี ต้องเป็น สังขารุเปกขาญาณ วางเฉยในขันธ์ ๕



๓๙๒. ตัดสักกายทิฏฐิ


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ เมื่อปีที่แล้ว น้องชายของกระผม ขอร้องให้กระผมตัดสักกายทิฏฐิของเขา กระผมก็ทำท่าอยากจะตัดอยู่ ก็ไม่รู้วิธีจะตัดแบบไหน ประการใด จึงมากราบเรียนขอคำแนะนำจากหลวงพ่อ ช่วยตัดให้หน่อยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ : - ไปหาเจ๊กขายหมูซิ มีดคมดี

ผู้ถาม : - อ๋อ..ตัดต้องใช้มีดหมูหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ใช่..ตัดสักกายทิฏฐิ ต้องตัดร่างกายยังไงล่ะ กร๊วบ! ทีเดียวขาดเลย สักกายทิฏฐิ ถ้าตัดขาดก็เป็นพระอรหันต์ จำให้ดีนะ คือว่าสักกายทิฏฐิเขาตัด ๓๒ ชั้น อย่างพระโสดาบัน กับพระสกิทาคามีใช้ปัญญาเล็กน้อย สมาธิเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ แค่มีความรู้สึกว่า ร่างกายจะต้องตาย

ถ้าอนาคามีเห็นร่างกายสกปรกโสโครก มีความเบื่อหน่ายเกิดนิพพิทาญาณ ถ้าอรหันต์เห็นว่า ร่างกาย ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา มี ๓ ชั้น ไปเทศน์แบบนั้น ชาวบ้านก็ไม่ต้อง ทำกันละ ต่างคนต่างท้อ อย่างเด็กจะแบกน้ำทั้งปีบไม่ไหว มันต้องใช้กระป๋องเล็ก ๆ ใช่ไหม.. พอกับแรงเด็ก

ผู้ถาม : - ถ้าอย่างนั้นคนที่มีบุญน้อย ก็ใช้มินิสังฆทานไปก่อน

หลวงพ่อ : - มันเป็นยังไงนะ

ผู้ถาม : - อย่างชุดละ ๑๐๐ เขาเรียก "มินิสังฆทาน" ครับ

หลวงพ่อ : - อ๋อ..ยังงั้นเหรอ

ผู้ถาม : - ตกลงว่า ถ้าระดับโสดาบันก็...

หลวงพ่อ : - มีความรู้สึกว่า ร่างกายจะต้องตาย นึกว่ามันตายแน่ ตายเมื่อไรก็ช่างเถอะ

ผู้ถาม : - เอ๊ะ! พระโสดาบันจะว่าตัดก็ไม่ตัดนี่ครับ

หลวงพ่อ : - ตัดมันไม่หนัก แต่ยกมันจึงหนัก ท่านบอกแล้วว่าพระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์ นิดเดียวไม่ได้ใช้มาก พระโสดาบันก็เหมือนกับชาวบ้านธรรมดา แต่อยู่ในขอบเขตของศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ เท่านั้นเอง

ผู้ถาม : - อย่างนี้ก็เป็นง่ายซิครับ

หลวงพ่อ : - อย่างฉันเป็นยาก ฉันมีเมียกับเขาไม่ได้ พระโสดาบันมีได้ ฉันไม่มีโอกาส..หมดสิทธิ์!

ผู้ถาม : - มิน่า..เด็กคนหนึ่งมันบอกว่า ถ้าหลวงพ่อได้เป็นพระโสดาบันเมื่อไร ฉลองให้เต็มที่เลย



๓๙๓. พระโสดาบันเปลี่ยนแนว


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมมีความข้องใจว่า การเป็นพระโสดาบันแบบสุกขวิปัสสโก ถ้าจะเปลี่ยนแนวเป็นเตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต จะมีวิธีการอย่างใด ขอหลวงพ่อได้โปรดแนะนำขั้นต้น เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติด้วยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ : - ก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าเตวิชโชนะ ที่เขาฝึกมโนมยิทธิมันแข็งกว่าเตวิชโชหน่อย มันเข้าถึงเขตอภิญญา แต่เป็นอภิญญาอย่างอ่อนนะ ถ้าจะเอาฉฬภิญโญจริง ๆ ก็ต้องปฏิบัติกสิณให้ได้ ๑๐ เข้าฌาน ๔ ทั้งหมด ๑, ๒, ๓, ๔ ว่าไปสลับไปสลับมา อย่าเอาเลยลำบาก แต่ความจริงแค่มโนมยิทธินี่ วิชชาสามเต็มขั้น อภิญญานิดหน่อยสามารถไปได้ วิชชาสามจริง ๆ นะไปไม่ได้นะ วิชชาสามได้แค่เพียงตาทิพย์ เรานั่งตรงนี้เทวดาอยู่ที่ไหน นางฟ้าอยู่ที่ไหน พรหมอยู่ที่ไหน นรกอยู่ที่ไหน เราเห็นหมด

เมื่อเห็นแล้วสามารถคุยกันได้ แต่เราไปหาเขาไม่ได้ มโนมยิทธินี่เป็นอภิญญานิดหน่อย สามารถเอาใจไปได้แต่ตัวไปไม่ได้ เป็นอภิญญาอย่างอ่อน แค่นี้ก็ง่าย ๆ ไม่ยาก

ผู้ถาม : - ที่จริงมโนมยิทธินี่เหลือกินแล้ว

หลวงพ่อ : - ปฏิสัมภิทาญาณอย่าเอาเลยนะ ลามไปลามมาจะอดทั้งหมด



๓๙๔. ฝึกมโนมยิทธิใช้ของพลาสติกบูชาครู


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง การฝึกมโนมยิทธิของลูกเท่าที่ผ่านมา ไม่ทราบว่า ทางสายลมเขาจัดอะไรไว้เรียบร้อย ลูกก็เลยเอามาจากบ้านครบ แต่ว่าไม่เหมือนกับซอยสายลม กล่าวคือลูกใช้ดอกไม้ประดิษฐ์ใหม่ เป็นผ้าไม่ใช่ดอกไม้สด และธูปลูกก็ใช้ธูปสมัยใหม่คล้าย ๆ พลาสติก พานก็พานพลาสติก อะไรก็พลาสติกหมด แต่เงินสลึงหนึ่งไม่ใช่พลาสติก ก็มาสงสัย ว่าเวลาฝึกมโนมยิทธิมันล่ำ ๆ เหลื่อม ๆ จะชัดก็ไม่ชัด จะแจ้งก็ไม่แจ้ง อันนี้จะเกี่ยวกับไม่ถูกต้องต้องระเบียบการของหลวงพ่อหรือเปล่าเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ไม่เกี่ยว..เกี่ยวกับจิตใจตัวเอง กำลังใจเป็นสมาธิไม่พอ วิปัสสนาญาณไม่พอ ความแจ่มใสจึงไม่พอ ต้องทำบ่อย ๆ ไม่ใช่ทำเดี๋ยวเดียวได้แจ่มใส เดี๋ยวจะเก่งกว่ายกทรงไป

ผู้ถาม : - หลวงพ่อครับ เพื่อให้วิปัสสนาญาณมันแก่ ๆ สักหน่อย หลวงพ่อจะแนะนำยังไงให้แก่ ๆ กว่านี้ไปหน่อยครับ?

หลวงพ่อ : - อ้าว..ก็อยู่นาน ๆ อย่างฉันซิ อ้าว..แก่ไง! วิปัสสนาญาณแก่ ๆ ก็อยู่ให้แก่ ๆ แนะนำไง.. ใช้อานาปานุสสติทรงสมาธิให้ดี รู้จักทุกขสัจ จับทุกข์ตัวเดียวก็พอ รู้จักว่าชีวิตนี้ต้องตาย รักษาศีลให้ครบถ้วน เคารพพระไตรสรณคมน์ เห็นโลกทั้งโลกเป็นทุกข์..พอแล้ว



๓๙๕. ฝึกมโนมยิทธิไม่ได้


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงปู่ที่เคารพอย่างสูง...

หลวงพ่อ : - แหม..เลื่อนมาเป็นพ่อของพ่อแล้ว

ผู้ถาม : - เมื่อคราวที่แล้วมีคนเรียกหลวงตา คือลูกคิดอย่างนี้เจ้าค่ะ คือว่าตายเมื่อไร ขอไปนิพพานชาตินี้เลย แต่ความคิดของลูกนี้ไม่ได้เรื่อง ลูกฝึกมโนมยิทธิหลายครั้งแล้ว ไม่เคยได้สักที เพื่อมากี่คน ๆ ได้หมด ทีนี้ลูกก็กลัวว่า เมื่อไม่ได้มโนมยิทธิแล้ว จะไม่ไปตามที่ใจคิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ : - มันอยู่ที่ใจ มันไปได้ที่เรียกว่า ฝึกแบบสุกขวิปัสสโก ไงล่ะ สุกขวิปัสสโกถ้าไม่มีทิพจักขุญาณก็ไปได้ พวกที่มีทิพจักขุญาณ เขาเรียกว่า เตวิชโช ไปเที่ยวสวรรค์นรกได้ เขาเรียกว่า ฉฬภิญโญ ใช่ไหม.. คนนี้สงสัยบารมีคล้าย ๆ พระสารีบุตร บริวารของท่าน ๒๕๐ คน ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าจบ เป็นพระอรหันต์หมด พระโมคคัลลาน์พระสารีบุตร ยังเป็นพระโสดาบันตามเดิมอัก ๖ วัน พระโมคคัลลาน์เป็นพระอรหันต์ พระสารีบุตร ๑๕ วัน จึงเป็นพระอรหันต์ มีพระไปถามพระพุทธเจ้าว่าเป็นเพราะอะไร

พระพุทธเจ้าบอกว่า ตามธรรมดาพระมหากษัตริย์จะไปไหน พลทหารไปถึงก่อน พระมหากษัตริย์ไปถึงทีหลัง คนมีปัญญามากก็เป็นแบบนั้น คนนี้ก็เหมือนกัน คนนี้ถ้าได้เก่งมาก พยายามทำให้ดีนะ ที่ไม่ได้ไม่ใช่อะไร..สงสัย ไม่แน่ใจ จะเอาตาเห็น

ผู้ถาม : - แต่เขาก็คิดดีนะครับ ตายเมื่อไรไปนิพพานเมื่อนั้น

หลวงพ่อ : - ใช่...จุดนี้สำคัญมาก

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 25/4/10 at 09:50 Reply With Quote


๓๙๖. จะเลิกฝึกมโนมยิทธิ


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ชาตินี้ลูกคงจะมีกรรมเป็นอย่างมาก คือว่าพยายามฝึกมโนมยิทธิกี่ครั้งกี่หนแล้วไม่ได้ ลูกจึงตัดสินใจอย่างนี้ว่า ต่อนี้ไปจะเลิกฝึกมโนมยิทธิ จะทำใจเฉย ๆ ทำใจจะเอาสบาย ๆ ดีกว่า ลูกก็เห็นเทวดาทันที ลูกอยากจะถามว่า ลูกมีเวรมีกรรมกับมโนมยิทธิอย่างไร เวลาเอาจริงไม่ได้ เวลาจะได้ ไม่ได้เอาจริงเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - แปลกจริง ๆ เวลาจะเอาจริง ปล้ำจริง ๆ ไม่ได้ แต่ความจริงเขาไม่ได้ปล้ำกับมโนมยิทธินะ เขาปล้ำกับ _อุทธัจจะ _เวลาทำอยากได้เกินไป ไอ้ตัวอยากได้เป็นนิวรณ์ตัวที่ ๔ ไม่มีทาง มโนมยิทธิจะได้จริง ๆ ก็ต้องหยุด จิตไม่อยากได้ ไอ้ตัวนั้นแหละ ตัวหลังตั้งถูกมันเป็นมโนมยิทธิ แต่ก่อนมันไม่ได้

ผู้ถาม : - อ๋อ..อยากเกินไป

หลวงพ่อ : - อยากพอดีก็ไม่ได้ เขาห้ามอยาก ต้องหยุดอยาก ทำใจเฉย ๆ ทำใจสบาย ๆ เพราะตามที่ปรากฏมันเกิดกับใจไม่ได้เกิดกับตา ส่วนมากจะเอาเห็นที่ตา..ไม่มีทาง!



๓๙๗. มโนมยิทธิไม่แจ่มใส


ผู้ถาม : - กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ปัจจุบันมโนมยิทธิของลูกมีความแจ่มใสดีเจ้าค่ะ แต่เวลาลูกกลุ้มใจ เมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ชักหน้าไม่ถึงหลัง มันทำท่าจะไม่สว่างเสียแล้ว ในฐานะที่ลูกมีรายรับไม่พอกับรายจ่ายเช่นนี้ หลวงพ่อว่าลูกควรจะใช้อารมณ์แบบไหน เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - กั้นทุกข์.. ไอ้หนูเอ๊ย! มันกั้นไม่อยู่ ก็ฉันยังทุกข์เลย พระพุทธเจ้าท่านก็ทุกข์ ท่านก็ป่วยเป็น ใช่ไหมล่ะ.. การกั้นทุกข์ ถือการอดทนซิ ต้องถือธรรมดาไปนะ เรื่องมันแนะนำได้แต่ปฏิบัติยาก ตัดใจไม่ให้กลุ้มเพราะทุกข์จริง ๆ ต้องเป็นพระอรหันต์ มันลำบาก พูดน่ะพูดได้ แต่ทำยาก ก็ถือว่า เมื่อทุกข์ก็ต่อสู้ไป ถือว่าเป็นธรรมดา ต้องคิดอย่างนี้นะ


๓๙๘. แจ่มใสแล้วหาย


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่ากระผมได้ฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลม แต่ไม่เห็นจะชัดเจนแจ่มใสเลย แต่เวลาไปอยู่ที่บ้านกลับแจ๋วแหวว พอคุยโม้ไม่เท่าไร ปรากฏว่าตั้งแต่นั้นไม่เห็นเลย ภายหลังผมเลยเปลี่ยนวิธีใหม่ จับองค์ลูกแก้วของหลวงพ่อ บัดนี้ก็ชัดเจนตแจ่มใส แต่ที่ประหลาดก็คือว่า ไม่รู้มีแสงขาวเป็นประกายพรึกมาจากไหน ไหลลงสู่ลูกแก้ว แต่ก็ทุกครั้งก็ได้แค่นี้เอง อยากจะให้หลวงพ่อต่อให้ก้าวหน้าอีกสักนิดด้วยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ : - ไม่รู้จะต่อยังไง เพราะยังไม่จบ..คาหลักสูตร! ก็ถ้าจะต่อก็ _สังโยชน์ ๓ _แค่นี้มันก็ไม่มีอะไร สมาธิทำไปก็แค่นั้นแหละ ถ้าทำเพียงแค่สมาธิก็เป็นฌานโลกีย์ เอาตัวไม่รอด จะต้องเป็นโลกุตระ

ผู้ถาม : - แล้วก็มีอีกนิดหนึ่งก็คือว่า ถ้าสมมุติว่าผมจะไม่เห็นนิพพานเหมือนเดิมนี้ วิมานของผมจะมีอยู่หรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อ : - เจ๊กเหมาไปแล้วนะ ซักซ้อมใหม่ วิมานไม่ไปไหนหรอก



๓๙๙. ลืมตาแล้วเห็นชัดเจน


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง การฝึกมโนมยิทธิแบบสอนอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ทราบ

กระผมมีเวรมีกรรมอะไรกับหลวงพ่อ เวลาหลับตาไม่เห็นสักที ขมุกขมัวอย่างไรชอบกล แต่พอลืมตาปรากฏเห็นชัดเจนแจ่มใสเหมือนเห็นจริง ๆ อันนี้อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ควรจะแก้ไขอย่างไร หรือเพิ่มเติมอย่างไรขอรับ?

หลวงพ่อ : - ไม่ต้องแก้..นั่นดีแล้วนะ เขาถือทางเดิม คนนี้เคยได้ทิพจักขุญาณมาก่อน อย่างฉันนี่ได้ทั้งหลับตาลืมตา โดยมากฉันลืมตาถนัดกว่าหลับตา ไม่จำเป็นต้องหลับตาเสมอไป แต่ลืมตาเขาถือว่าเก่งนะ ใช้ได้..ตามเดิมก็แล้วกัน ไม่ต้องแก้ไข



๔๐๐. ชัดเจนเฉพาะที่บ้าน


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา เวลาที่ลูกปฏิบัตินั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็อาศัยมโนมยิทธิไปที่นิพพานไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็พาไปที่วิมานของตัวเอง ชัดเจนแจ่มใสตามความเป็นจริง นี่หมายถึงทำที่บ้านนะเจ้าคะ พอเวลามาฝึกจริง ๆ กับครู กลับตรงกันข้ามไม่ชัดเจน ไม่แจ่มใส ดูไปดูมาก็ชักจะมีอะไรผิด ๆ พลาด ๆ อยู่เสมอ จึงขอเรียนถามหลวงพ่อว่า เป็นเพราะเหตุไร และต่อไปลูกจะแก้ไขอย่างไร จึงจะชัดทั้งที่บ้านและที่ซอยสายลมเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ก็ใช้กำลังใจให้เหมือนกัน คือว่าที่บ้านทำเวลาที่เราสบาย ไอ้ที่นี่เวลาจำกัด มาถึงก็เหนื่อย เวลาก็เครียดเบียดกันอากาศก็ร้อน อย่างนั้นทำจิตให้เป็นสุข ลืมเสียให้หมด ลืมร้อน ลืมหนาว ลืมเมื่อย ลืมปวด ให้จิตเป็นสมาธิจริง ๆ ถึงปีติมันลืมอย่างนี้จริง ๆ นะ มันมีแต่สุขตัวเดียว ค่อย ๆ ศึกษาอารมณ์

ผู้ถาม : - นี้เขาบอกว่า ถ้าหากว่าถ้าจะให้ดีคือว่า นั่งที่นี่ก็ได้ชัด กลับไปบ้านถ้าชัดเจนอย่างนี้ยิ่งดีใหญ่

หลวงพ่อ : - ใช่ ๆ นั่งข้างหน้าบ้านก็ชัด หลังบ้านก็ชัด ในส้วมก็ชัด ห้องนอนก็ชัด...

ผู้ถาม : - อะไรครับ.. กรรมฐานไปนั่งในส้วมได้หรือครับ?

หลวงพ่อ : - อ้าว..นั่นยิ่งชัดใหญ่ ไม่มีใครกวนใจ โอ้..ส้วมนั่งคนเดียวนะ อุเบกขาเลย นี่กรรมฐานจริง ๆ ฉันใช้แบบนี้ ไม่ใช่ฉันใช้นะ ผีเคยใช้ ไอ้นี่จริง ๆ เมื่อก่อนนี้ตอนอยู่ที่วัดบางนมโคนะ คืออย่างนี้ ถ้าเวลานั่งคุยกับใครอยู่ ถ้าท่านจะบอกอะไรให้ฟังนะ บางทีเราคุย ๆ อาจจะคุยผิดก็ได้ แกบอกให้ฟังรู้สึกง่วงนอนทนไม่ไหว ก็บอกแกขึ้นมา เดี๋ยวคอย..นอนประเดี๋ยว พอเข้าห้องพระปั๊บกราบพระได้ยินเสียงบอกทันที ก็ออกมาเลยหายง่วง

ทีนี้บางคราวพอคุย ๆ กับคนอยู่ ไปห้องพระปวดท้องขี้เข้าส้วมเจอะท่าน บอกหายปวดออกมาคุยได้ เพราะนั่นเป็นที่สงัด ห้องพระกับห้องส้วม อาการคล้ายคลึงกัน อ้าว..จริง ๆ ห้องพระนี่เป็นพุทธานุสสตินะ ห้องส้วมเป็นอุจารานุสสติ.. (หัวเราะ) เขาเรียกว่า "สุขา" ไงล่ะ มีความสุข

ผู้ถาม : - ที่หลวงพ่อตอบนี่ก็จริง แต่มีคนเขาบอก กรรมฐานเขาไปทำในส้วม บอก..บาป! เอาพระพุทธเจ้าไปไว้ในส้วม ก็ถ่ายคล่องอย่างนั้นละซิ

หลวงพ่อ : - อ้าว..ก็เอาพระพุทธเจ้าไว้บนหัวเรานะซิ ท่านก็ปวดอุจจาระเหมือนกัน ไม่พาเข้าส้วมก็แย่นะซิ

ผู้ถาม : - นี่ผมกำลังแก้คนจีนอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงมีประจำเดือน บอกใส่บาตรไม่ได้ อะไรไม่สะอาด เขาว่าอย่างนั้น

หลวงพ่อ : - พระก็อดตายนะซิ ก็ผู้หญิงมีประจำเดือนใส่บาตรไม่ได้ พระก็อดตายนะซิ พระไม่ถือ!

ผู้ถาม : - ความจริง ๆ แล้วก็ไม่บาปไม่อะไรเลย

หลวงพ่อ : - ไม่อะไรเลย ไอ้เลือดมันก็อยู่ในร่างกายอยู่แล้ว ของธรรมดาไม่มีอะไร เขาไม่เอาประจำเดือนมาใส่บาตรนี่.. (หัวเราะ) แล้วก็อยู่ข้างนอกกาย

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 6/5/10 at 07:53 Reply With Quote


๔๐๑. ทำทานเล็ก ๆ น้อย ๆ


ผู้ถาม : - หลวงพ่อครับ คือสงสัยว่า คนที่ทำทานก็ดี รักษาศีลก็ดี แต่ว่าทำเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ทำเป็นประจำ ทำจำนวนไม่มาก ตามมีตามเกิด ที่น่าประหลาดก็คือ ความดีทำเป็นประจำ แต่มาฝึกมโนมยิทธิไม่ได้สักที ตั้งใจจะไปนิพพานในชาตินี้ กระผมคงไม่มีโอกาสไปได้แน่ เพราะไม่ได้มโนมยิทธิ ขอให้หลวงพ่อช่วยให้กำลงัใจหน่อยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ : - การไปนิพพานนี่นะ มโนมยิทธิเป็นหมวดที่ ๓ ที่เรียกว่า ฉฬภิญโญ ไปนิพพานจริง ๆ เขาไปได้ทั้ง ๔ หมวดนั่นแหละ สุกขวิปัสสโก ก็ไปได้ เตวิชโช ก็ไปได้ ฉฬภิญโญ ก็ไปได้ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ก็ไปได้ ได้เหมือนกัน คนที่เขาไม่ได้มโนมยิทธิ เขาไม่ได้อภิญญา เขาสามารถไปได้เยอะแยะไป มันขึ้นอยู่กับกำลังใจที่ตัดกิเลส อย่าง หลวงพ่อวัดพระพุทธบาทตากผ้า ท่านบอก "ขณิกนิพพาน" ทีแรกฉันสงสัย นิพพานก็ต้องนิพพานกันเลยใช่ไหม.. นิพพานประเดี๋ยวเดียวเป็นยังไงได้อ่าน ๆ ไปก็เกิดมีความเข้าใจ
ไอ้คำว่า นิพ แปลว่า ดับ เวลานั้นจิตดับกิเลสชั่วคราว ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธินี่ ผู้ที่ไปนิพพานได้
เวลานั้นไม่มีกิเลส เวลากลับมากิเลสโดดเกาะคอใหม่ พอจะไปอีกทีก็วางกิเลสสักประเดี๋ยว เขา
เรียกว่า "ขณิกนิพพาน"

ผู้ถาม : - อย่างนี้ก็มีสิทธิ์ไปได้

หลวงพ่อ : - ก็มีสิทธิ์ไป คือว่าการจะถึงนิพพานได้ ก็เพราะอาศัยการตัดกิเลสเฉพาะเวลา เฉพาะเวลานั้น ถ้ากิเลสสงบเราก็เข้าถึงได้ ถ้ากิเลสเกาะใจก็หล่น นี่อย่างที่เขานั่ง ๆ เขาตัดได้นะ อย่าลืม..อย่างการบำเพ็ญทาน ต้องสละทรัพย์ นั่นเขาตัดความโลภไปชั้นหนึ่งนะ ตัดทีละชั้นสองชั้น ศีลก็ตัดโทสะ ความโกรธ อย่างนี้เขาไม่ถือว่าเล็กน้อย เขาถือว่าเรื่องใหญ่นะ

ผู้ถาม : - แต่บางคนเขาหาว่าเล็กน้อย

หลวงพ่อ : - ก็พระพุทธเจ้าท่านว่าใหญ่ ฉันว่าน้อยก็ลงอเวจี เพราะท่านบอกว่า "ถ้าหากทานบารมีเต็ม อย่างอื่นก็เต็มหมด" ท่านให้แนะนำเรื่องทานบารมี ทีนี้ทานบารมีไม่จำเป็นต้องทุ่มเท ทำเท่าที่จะทำได้ ถ้ายังไม่มีโอกาสจิตคิดว่าจะทำมีอยู่ อย่างนี้ใช้ได้ เป็น จาคานุสสติ



๔๐๒. ฝึกมโนมยิทธิให้เด็ก


ผู้ถาม : - กระผมได้ฝึกมโนมยิทธิให้กับเด็กหญิง ให้แกภาวนา พุทโธ ปรากฏว่าเห็นภาพพระพุทธรูปชัดแจ๋วเป็นสีทอง เมื่อเป็นอย่างนี้กระผมก็เลยบอกว่า "เออ..ขอบารมีพระพุทธองค์ซิ ขึ้นไปจุฬามณี" พอก้าวขาขึ้นไปมืดตึดตื๋อ อ้าว..เริ่มต้นใหม่ ภาวนาแล้วจับภาพจนสว่างใส ขึ้นไปจุฬามณีทีไรก็มืดตึดตื๋อ อาการอย่างนี้แก้ไม่ตก จึงขอรบกวนหลวงพ่อช่วยชี้แนะเป็นแนวทางด้วยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ : - สมาธิไม่เป็นไรหรอก ให้ทำนาน ๆ จะเก่ง ให้ทำสักประเดี๋ยวสัก ๔-๕ นาทีก็ได้ ให้ทรงสภาพอย่างนั้น จับภาพพระพุทธรูปได้ให้นั่งภาวนา นั่งดูภาพพระพุทธรูปสักประเดี๋ยวหนึ่ง เพื่อให้จิตเป็นสุขก่อน ให้ฌานทรงตัว สมาธิทรงตัวจะไปไหนก็ได้ นั่งสมาธิยังไม่ทรงตัว สมาธิร่วง ต้องใส่กระเป๋ารูดซิปให้มิดชิด ความจริงเด็ก ๆ นี่ง่ายนะ เด็กไม่มีนิวรณ์



๔๐๓. หลอกเด็กฝึกมโนมยิทธิ


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมชื่อ สุวัฒน์ ได้ฝึกเด็ก ๆ โดยจะบอกว่าผีอยู่ข้างหลัง เด็กจะมีความกลัว ผมก็ให้ภาวนา พุทโธ พอภาวนาพุทโธเสร็จ ก็ให้จับภาพพระพุทธรูปด้วย ๓ ครั้ง แล้วให้เด็กเหยียบหลัง ขณะที่เด็กเหยียบหลัง ผมก็ถามว่า ภาพพระชัดเจนไหม.. เด็กบอกว่าชัด ผมก็บอกว่า "เอ้า! ถ้ายังงั้นไปกับลุง ไปเที่ยวสวรรค์.." แหม..สนุกสนานกันใหญ่ พอลูกกลับมาแล้วก็ไม่สบายใจ คือว่าไม่ได้ทำตามพิธีกรรมของหลวงพ่อทุกประการ การฝึกมโนมยิทธิแบบเอาผีหลอกเด็ก จะเป็นการปรามาสหลวงพ่อหรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อ : - เอ..แต่เขาสามารถทำได้นะ แต่ความกลัวก็เป็นเหตุให้ภาวนา คือมันได้แก่ฉันเมื่อเด็ก ๆละมั้ง เมื่อเด็ก ๆ ฉันกลัวผีนะ

ผู้ถาม : - หลวงพ่อนี่หรือครับ?

หลวงพ่อ : - ไม่ใช่หลวงพ่อ.. ตอนนั้นไอ้หนู ตอนเป็นหลวงพ่อนี่ไม่กลัวแล้ว ตอนนั้นกลัวผี ไปเจอะหลวงพ่อปานเข้า ท่านบอกภาวนา _พุทโธ _ซิลูก ถ้าพุทโธนี่ผีกลัว เราไม่ต้องกลัวผี พอดีที่แม่สอนตอนเด็ก ๆ ให้ภาวนาพุทโธ ตอนนั้นก็ยังไม่มั่นคงนัก อีตอนกลัวผีนี่ภาวนาหนัก เพราะกลัวผีจะหลอก แล้วก็ตอนนั้นอายุ ๗ ปีได้ทิพจักขุญาณ ไม่ต้องฝึกกับใคร ฝึกคนเดียว

เป็นอันว่าเด็กกลัวผี แนะนำให้ภาวนาเป็นผลพลอยได้ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเด็กก็ไม่ภาวนา ความจริงก็ไม่ผิด แต่ควรจะบอกเด็กสักนิด พอภาวนาปั๊บ "ไอ้หนูเห็นผีไหม.." เด็กบอกไม่เห็น "นั่นแหละ ผีกลัวพุทโธ หนีไปแล้ว.." ขาดไปนิดหนึ่ง ไม่ยังงั้นเด็กจะหวิวไป

ผู้ถาม : - แต่ว่าแกบอกว่า ลูก ๆ หลาน ๆ แกใช้วิธีนี้ได้ผลหมดเลย ทำไปทำมาเดี๋ยวนี้แกต้องถามเด็ก "เฮ้ย! ตรงนั้นมันอะไรวะ.." แกบอก แหม..มันน่าเขกหัวตัวเอง เป็นอาจารย์แท้กลับมาถามลูกศิษย์

หลวงพ่อ : - "ไม่ใช่..ให้เกียรติลูกศิษย์ ให้เกียรติลูกให้เกียรติหลาน ไม่ทำยังงั้นมันไม่ขยัน เดี๋ยวกลัว ลุงถาม เดี๋ยวตอบไม่ได้ ต้องขยัน ใช่ไหม..."



๔๐๔. สวดอิติปิโสกล่อมเด็ก


ผู้ถาม : - กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือปกติเมื่อก่อนกล่อมหลานที่นอนในแปลง...

หลวงพ่อ : - "เดี๋ยว ๆ ในเปล ถ้าแปลง..ก็ควายน่ะซิ" (หัวเราะ)

ผู้ถาม : - อ๋อ..นี่ล่อสระแอ แถม..งองู ก็แปลงน่ะซิ เปลซิจ๊ะ! เมื่อก่อนนี้ลูกกล่มหลานที่นอนในเปล ทำนองร้องรำขับร้อง แต่พอมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแล้ว ลูกเปลี่ยนใหม่เจ้าค่ะ คือ เวลาจะกล่อมหลาน ลูกก็สวด "อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ..." ปรากฏว่าเด็กหลับง่าย ไม่มีผวาอะไรเลย

หลวงพ่อ : - เออ..ดีมาก เพราะอิติปิโสเป็นบุญ นี่เป็นความจริงนะ เพราะเสียงธรรมะเป็นบุญ อย่าลืมว่าเสียงธรรมะ ถึงแม้ว่าเด็กไม่รู้เรื่องก็มีอานิสงส์

ผู้ถาม : - แต่ที่สงสัยก็คือว่า ถ้าสวดโดยปกติ ลูกทราบว่าต้องเป็นบุญ แต่เวลากล่อมเด็กต้องใช้ลีลาเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเป็นไรไหมคะ?

หลวงพ่อ : - อย่าลืมว่าเวลาสวดเราไม่ได้ปรามาส ตั้งใจกล่อมเด็ก ตั้งใจสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ใช่ไหม.. เป็นบุญใหญ่ ไม่ใช่บุญเล็ก ทำทุกวันน่ะดี อย่างน้อยที่สุด จิตใจนึกถึงพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ เพราะบทสุปฏิปันโนเรียงบท อานิสงส์ของพระโสดาบัน พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหันต์ สุปฏิปันโน พระโสดาบัน อุชุปฏิปันโน พระสกิทาคามี ญายปฏิปันโน อนาคามี สามีจิปฏิปันโนพระอรหันต์

ผู้ถาม : - ก็เป็นอันว่ากล่อมลูกกล่อมหลาน สวดอิติปิโสใช้ได้

หลวงพ่อ : - แต่จริง ๆ เอาทำนองสวดสรภัญญะเพราะมาก แหม..ฉันจะสวดให้ฟังก็เสียงแห้ง ยกทรงพอได้มั้ง!

ผู้ถาม : - ผม..ผม..สึกมานานก็แย่แล้วครับ แต่หลวงพ่อสวดเป็นไตเติลหน่อยก็จะดีนะ

หลวงพ่อ : - ไตเติล..หรือกระเพาะเติล..ก็ไม่ไหวละ



๔๐๕. "จิ เจ รุ นิ"


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ในขณะที่ลูกกำลังสับหมูทำกับข้าวเลี้ยงเด็ก ๆ ประมาณ ๒๐ คนเศษ อารมณ์เกิดเคลิ้มขึ้นมา อุทานออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า "จิ เจ รุ นิ"

อยากจะเรียนถามว่า ๔ ตัวนี้ มีความหมายเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติอย่างไรบ้างเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - มี.. จิ คือจิต ห้ามจิตอย่าให้ชั่ว เจ คือเจตสิก ห้ามอารมณ์อย่าฟุ้งซ่านเกินไป รุ คือ รูป อย่าหลงในรูป นิ คือนิพพาน หวังนิพพาน ฉันว่าอย่างนี้ใครว่าอย่างไรก็ช่าง

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 12/5/10 at 08:15 Reply With Quote


๔๐๖. "ทุ สะ นะ โส"


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าคะ หนูนั่ง ๆ มีอยู่วันหนึ่ง พอนั่งนิ่ง ๆ มีคนมาบอกว่า ตอนที่ท่อง พุทโธ นี่ แก้วหูจะลั่น แล้วเขาบอกว่าท่อง "ทุสะนะโส"

หลวงพ่อ : - ก็ว่าตามเขาสิ

ผู้ถาม : - แล้วถึงจะว่า พุทโธ ด้ใช่ไหมคะ?

หลวงพ่อ : - ว่าตามเขาสั่งก่อน จนกว่าจะสบายนะ ทุสะนะโส นี่เป็น หัวใจเปรต เขาเรียกหัวใจเปรต เพราะว่าถ้าอย่างนั้น ทุสะนะโส ต้องปราบอาการนั้นได้ อาการที่ขวางนะ ก็ว่าไปจนกว่าจะสบายก่อน ตอนหลังก็ลองเปลี่ยนดู สบายแล้วก็สบายเรื่อยใช้ได้เลย เว้นไว้แต่ว่าเขาจะมาบอกให้เปลี่ยนใหม่ก็เปลี่ยน คือว่า ทุสะนะโส นี่เป็นหัวใจเปรต
คำว่าหัวใจเปรตนี่ มันมีเปรตอยู่หนึ่งตัวว่า "ทุ" ความจริงต้องพูดยาวกว่านั้นใช่ไหม.. พอว่า "ทุ" ตัวเดียวก็จมลงไปในหม้อทองแดง อีกตัวก็โผล่มา "สะ" แล้วก็ "นะ" แล้วก็ "โส" นี่น่ะ พอโผล่พูดคำก็จมลงไป เป็นหัวใจเปรตที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับมานพคนหนี่งไว้

ถ้าเราว่าคาถาบทนี้ อาจจะปราบไอ้อาการนั้นได้ เขาจึงมาบอกให้ใช่ไหม.. ก็ว่าเรื่อย ๆ ไป ถ้ายิ่งสบายใช้คาถานี้สบายก็ว่าไปเลย เพราะว่าให้ถือว่าคาถาบทนี้ พระพุทธเจ้าบอกเรา เพราะคาถาบทนี้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ใน ธรรมบท นะ ถือว่าเป็น พุทธานุสสติ เหมือนกันนกัน



๔๐๗. เห็นภาพคนมารับส่วนบุญ


ผู้ถาม : - กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ คือได้ทำบุญกับหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าตอนอุทิศส่วนกุศลนี่ รู้สึกประหลาดใจเพราะว่า บางทีก็เห็นภาพคนมารับ บางทีก็เห็นแต่หัว บางทีก็เห็นแต่คอ เป็นเพราะอะไรคะ?

หลวงพ่อ : - ยังดี..ยังได้เห็น ฉันอุทิศทีไร ฉันไม่เห็นสักที!

ผู้ถาม : - แล้วการอุทิศที่ไม่เห็นนี่ จะเป็นไรไหมครับ?

หลวงพ่อ : - ไม่เป็นไร ๆ เขาโมทนา ใช้ได้เลย ต้องถือว่าคนนี้ กำลังใจที่เป็นทิพย์เก่งมาก ใจผ่องใสก็เห็นเต็มตัว ใจไม่ผ่องใสก็เห็นไม่เต็มตัว ก็ถือว่าไม่ผิด ถือว่าเก่ง



๔๐๘. เห็นญาติที่ตายไปแล้ว


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อวานนี้ลูกได้มาฝึกมโนมยิทธิพบญาติที่ตายไปแล้ว

หลวงพ่อ : - ดี ๆ

ผู้ถาม : - เจอคนตาย..หลวงพ่อยังว่าดีอีกหรือครับ?

หลวงพ่อ : - ดี อนิจจา วะตะ สังขารา.. อาชีพพระใช่ไหม เขาสามารถพบคนตายได้ต้องถือว่เก่งแล้ว ให้รักษาความดีนั้นไว้นะ..ยาก! ปฏิบัติได้ขั้นนี้ไม่ใช่ต่ำ ถือว่าขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว แล้วว่าไง?

ผู้ถาม : - เขาลำบากมาก คือว่าสังฆทานที่ได้ทำไปแล้ว เขาบอกว่ายังโมทนาไม่ได้ หนูจึงแผ่ส่วนกุศลความดีที่หนูได้บำเพ็ญมากับหลวงพ่อ ปรากฏว่าความร้อนของเขาก็เบาไปนิดหน่อยหนึ่ง ลูกก็เลยอยากจะสงเคราะห์เขาให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ อยากจะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า ลูกควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - ไม่มีปัญหา.. หัวเราะ) เรื่องนี้เรื่องใหญ่มากลูก ต้องไปถามเจ้าตัวเขาโดยตรง ถึงวิธีแก้นะ เรื่องนี้หนักมาก เขาจะขอแบบไหน การอุทิศส่วนกุศลทำยังไง เข้าใจว่าต้องเดินทางตรงไปหากัน เพราะว่าอยู่ในขุมนี่ เป็นเรื่องลำบากมาก หนักมาก เอาอย่างนี้นะ ไปหาเขาใหม่ ถามว่า "ถ้าต้องการจะให้ช่วยให้ดีกว่านี้ จะให้ช่วยแบบไหน.." เขาจะบอกมาเอง แบบ พระเจ้าอชาตศัตรู ช่วยเท่าไรก็ไม่ไหว จนกระทั่งต่อมาก็ขอพระ ขอพระพุทธรูป ต่างคนต่างอุทิศส่วนกุศลให้แล้วท่านรับได้ แต่ว่าความร้อนลดไป ๖๐ เปอร์เซ็นต์ นี่ต้องติดต่อตรงนะ



๔๐๙. เห็นจิตเป็นประกายพรึก

ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมนั่งสมาธิจนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ เห็นประกายสีทองลอยมา พอเข้ามาใกล้ก็เปลี่ยนแปลงเป็นสีต่าง ๆ คล้ายกับเป็นสีประกายพรึกเป็นอย่างนี้บ่อยครั้ง เห็นทีไรก็เห็นแค่ประกายพรึก หลวงพ่อว่าเมื่อเห็นประกายพรึกแล้ว ควรต่อวิปัสสนาอย่างไรครับ?

หลวงพ่อ : - มันก็ที่สุดแค่นั้นละ จะเอาต่อไปถึงไหนละ ขณะที่เห็นเป็นประกายพรึกขณะนั้นจิตเป็นฌาน



๔๑๐. เห็นจิตพระนักเทศน์สีดำ


ผู้ถาม : - ลูกทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลวชิระ โดยปกติมักจะมีพระดี ๆ มาเทศน์ทุกเดือน เวลาทำสมาธิ ลูกก็จับภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ตรวจดูคนที่มานั่ง ก็ปรากฏว่า สว่างไสวเป็นจำนวนมาก แต่ว่าหนูดูองค์ที่เทศน์มืดตึ๊ดตื๋อ ไม่มีแสงสว่างเลย

หลวงพ่อ : - นั่นท่านเข้า...นีลกสิณ!

ผู้ถาม : - แหม..หลวงพ่อแก้ตัวให้องค์นั้นอีกแล้ว

หลวงพ่อ : - ไม่ได้แก้ให้ วันนี้สอนกสิณนี่ ถ้าเข้านีลกสิณ ถ้าสว่างก็ทำให้มืดได้ พอดีเลยนะ

ผู้ถาม : - องค์นั้นเลยรอดตัวไปนะ ถ้าท่านรู้คงมากราบหลวงพ่อแน่

หลวงพ่อ : - อาจจะนั่งด่าที่วัดก็ได้ ท่านใจดีมากนะ ท่านเก็บความสว่างไปแจกคนอื่น เหลือความมืดไว้


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member
[*] posted on 20/5/10 at 16:55 Reply With Quote


๔๑๑. เอาลูกแก้วเพ่งเป็นกสิณ


ผู้ถาม : - หลวงพ่อเจ้าขา ลูกได้ใช้ ลูกแก้วของหลวงพ่อเพ่งเป็นกสิณ รู้สึกสบายใจแล้วก็ทำได้แคล่วคล่องว่องไว แต่ลูกอยากจะเอากสิณ "ลูกแก้ว" ของหลวงพ่อต่อเป็นวิปัสสนาญาณเลย ไม่รู้จะทำอย่างไร ขอหลวงพ่อได้โปรดกรุณาชี้แนะด้วยเถิดเจ้าคะ?

หลวงพ่อ : - เห็นภาพกสิณแล้ว เวลานั้นเป็นสมถภาวนา ต่อมาอีกประเดี๋ยวหนึ่ง กสิณก็เคลื่อน ภาพนั้นก็หาย ก็ตัดสินใจว่า ร่างกายกับสภาพกสิณ มีสภาพอย่างเดียวกัน นิมิตกสิณตั้งขึ้น ก็เกิดขึ้น พอเคลื่อนหน่อย ก็หายไป ชีวิตของเราก็เหมือนกัน เกิดแล้วก็ตายแบบนี้ไม่เป็นเรื่อง ไม่ต้องการร่างกายที่ไม่ดีอย่างนี้อีก

ผู้ถาม : - แต่ก็แปลกนะ พระที่เทศน์ตามวิทยุ ทำสมถะแล้ว จะทำวิปัสสนาไม่ได้เด็ดขาด

หลวงพ่อ : - แกไม่เคยทำ และอ่านหนังสือไม่ครบด้วย



๔๑๒. ฝึกกสิณข้างบน


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้มาฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลมแล้ว ปรากฏว่าชัดเจนแจ่มใสดีเป็นอย่างมาก แต่ว่าความโลภของลูกอีกซิ มันอยากจะได้ให้ดีกว่านั้น วงเล็บ คืออยากจะได้อภิญญา ๖ วันหนึ่งลูกขึ้นไปพบพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ท่านบอกว่าเคยเป็นพ่อของลูกมาช้านาน ท่านสอนกสิณทั้ง ๑๐ กองในเวลาเดียวกัน แล้วบอกว่า "เอ็งต้องใช้เตโชกสิณ จะได้ดีเป็นอย่างมาก.." ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้าลูกฝึกเหมือนอย่างข้างบน โดยฝึกข้างล่างอย่างนี้แล้ว ชาตินี้จะมีโอกาสได้อภิญญา ๖ หรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อ : - เป็นยังไง..ฝึกข้างบนฝึกข้างล่าง ฝึกข้างบนฝึกข้างล่างเป็นไง..ถ้าพระพุทธเจ้าตรัส มาทำตามนั้นนะ อย่าถามคนอื่น

ผู้ถาม : - หลวงพ่อครับ ฆราวาสนี่มีสิทธิ์ได้อภิญญา ๖ หรือครับ?

หลวงพ่อ : - โอ๊ย! เยอะแยะไป อภิญญา ๖ นั่นหมายความว่า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปเรียกอภิญญา ๖ ถ้าอภิญญาโลกีย์แค่อภิญญา ๕ ใช่ไหม.. อาสวักขยญาณ นั่นคือตัดกิเลสได้พระโสดาบันขึ้นไป ถือว่าตัด!

ผู้ถาม : - งั้นคนที่ถามนี่ก็มีสิทธิ์ซิครับ?

หลวงพ่อ : - ก็ต้องทำตามท่านสั่ง...อย่าเบี้ยว!



๔๑๓. ปฏิบัติธรรมถามพระ


ผู้ถาม : - เวลาปฏิบัติบางครั้งมีปัญหา จึงเรียนถามองค์สมเด็จว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมมาจนถึงป่านนี้ บุญบารมีจะยังประโยชน์ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงนิพพานแล้วหรือยัง ท่านบอกว่า

ขึ้นชื่อว่าบารมีเต็มแล้ว.. เลยบอกว่า ข้าพเจ้ายังไม่พอใจ เพราะครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าท่านล้นแล้วล้นอีก ท่านก็ยังทำเรื่อย ๆ กระผมขอเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ครับ ท่านบอก "สาธุ.." อย่างนี้ถือว่า ที่กระผมกราบเรียนนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหมครับ?

หลวงพ่อ : - ถูก..ที่พูดน่ะไม่ผิด แต่ตรงหรือไม่ตรงไม่รู้..(หัวเราะ) ใช่ไหม.. คือว่าพระอรหันต์ทุกองค์ ไม่มีองค์ไหนท่านหยุด เราจะอ่านตามพระสูตร จะพบว่า พระโมคคัลลาน์ ก็ดี พระสารีบุตร ก็ตาม ถึงเวลาท่านก็ทำกรรมฐานด้วยกันทุกองค์ และกรรมฐานของพระอรหันต์ไม่ใช่เฉพาะเวลา ท่านใช้อารมณ์ทั้งวัน ถ้าถามว่าขยันหรือ..ต้องตอบว่าไม่ขยัน มันเป็นอารมณ์ปกติของท่าน ปกติของท่านคือคุมสมาธิคุมวิปัสสนาญาณ มันคุมเองไม่ต้องไปบังคับมัน อย่างเรา ๆ ที่ยังต้องบังคับ เวลานี้ใช้สมถะ เวลานี้ใช้วิปัสสนาญาณ ใช่ไหม.. ของท่านไม่ต้อง เป็นปกติของท่านเลย ถามว่าเหนื่อยไหม.. ปกติเป็นอย่างนั้นก็ไม่เหนื่อย มีความสุข

ทีนี้เวลาตอนกลางคืน ท่านรวบรวมกำลังเป็นพิเศษ รวมทั้งหมด ตอนกลางวันตอนเช้าขึ้นมา ก็ทรงจิตในขั้นปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง สองฌานนี่ทรงอยู่แน่ ถ้าตอนเช้ามืดต้องทรงฌาน ๔ หรือฌาน ๘ เป็นผลสมาบัติ แล้วตัวผลสมาบัติจะคุมตลอดวัน พอเวลาจะคุยหรือเวลาทำงาน จะเหลือ ๑ หรือ ๒ ถ้า ๓ นี่ทำไม่ได้แล้ว..แข็ง! ฌาน ๔ เอาเต็มที่ไม่ได้ ต้องเป็นฌาน ๔ ใช้งาน คือกำลังฌาน ๔ คุม อยู่ แต่กำลังทำงานจริง ๆ คือฌาน ๑ และฌาน ๒ มันมีสองอย่างนะ พูดแล้วฟังยากเหมือนกัน อันนี้ ต้องทำเข้าแล้วจึงจะรู้

อย่างกับพวกแม่ครัวก็เหมือนกัน เห็นไหม.. ถ้าเขาคล่องดีแล้ว ทำอะไรก็อร่อย ไอ้คนที่ทำไม่เป็นหยิบยัดเท่าไรก็ไม่เป็นเรื่อง เปลืองของด้วยใช่ไหม.. ไม่ต้องนั่งคิด ต้มอย่างนี้ใช้อะไรบ้าง ผัดอย่างนี้ใช้อะไรบ้าง ถ้าคนเขาเก่งแล้วไม่ต้องคิด พอเขาเห็นของปั๊บ ทำอย่างนั้นได้ ทำอย่างนี้ได้ ข้อนี้พระอรหันต์ก็เหมือนกัน ของท่านทุกอย่างครบบริบูรณ์



๓๑๔. ได้ยินเสียงพระพุทธเจ้า


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อเจ้าขาที่เคารพ ลูกก็เป็นศิษย์หลวงพ่อมาเป็นเวลาพอสมควร ประสบการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างมาก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่ลูกภาวนาและก็นอนไป ใกล้ ๆ เวลาที่ลูกจะตื่น เป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ จะยินเสียงบอกว่า "หันมาหาฉันซิ.." เสียงเพรานุ่มนวล ลูกก็แปลกใจ ก็มองไปตามเสียงนั้น ไม่มีอะไร แต่มีกระดาษเป็นรูปพระพุทธเจ้าแขวนไว้ที่ฝาห้อง ลูกก็นอนต่อ ภาวนาเรื่อยไป พอใกล้จะตื่นก็.. "หันมาหาฉันซิ" พูดอย่างนี้เป็นประจำทุกครั้ง ที่จะเรียนถามก็คือว่า ผู้ที่พูดนั้นเป็นรูปพระพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือว่า...?

หลวงพ่อ : - เราเชื่อว่าเป็นเสียงพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน ถ้าเสียงเพราะ ๆ เสียงเบา ๆ น่ะ ต้องเสียงคล้าย ๆ ผู้หญิงกับเสียงเด็กผสมกัน นี่เป็นเสียงพระพุทธเจ้า ฉันเคยได้ยิน เมื่อก่อนนี้จะทำงานอย่างหนึ่ง มันหนักใจเรื่องการเงิน สมัยหนุ่ม ๆ น่ะ พอนอนไป ดับไฟนอนภาวนา "พุทโธ" เสียงพูดเบา ๆ ข้างหลัง "คุณ! ไม่เป็นไร ๆ ฉันช่วย ๆ.." แล้วงานนั้นเสร็จจริง ๆ และเร็วมาก



๔๑๕. เห็นพระพุทธเจ้า


ผู้ถาม : - กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าเมื่อเช้าวันที่ ๓ ม.ค.๓๔ ประมาณตี ๔ เคลิ้ม ๆ ไม่เชิงหลับ ปรากฏกระผมได้เห็นพระพุทธเจ้ามาชี้หน้าบอกว่า "วันนี้เธอต้องตายด้วย โรคท้องเสีย.." กลับมาบ้านแล้วลูกก็ไม่สบายใจ ก็บอกให้แม่ช่วยต่ออายุให้หน่อย แม่ก็ไม่ยอม อารมณ์ก็เลยวูบไป ทีนี้เกี่ยวกับเรื่องตายนี่ ลูกหลานจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้าจะตีความหมายในด้านธรรมปฏิบัตินั้น ลูกควรจะนึกถึงอะไรครับ?

หลวงพ่อ : - ตาย แปลว่า ศูนย์นะ.. (หัวเราะ) จดไว้ ๆ ไอ้ตัวตายตัวเดียวนี่ เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เป็นหมดนะ พระโสดาบันก็ตัวตาย พระสกิทาคามีก็ตัวตาย พระอนาคามีก็ตัวตาย พระอรหันต์ก็ตัวตาย ตัวนี้ตัวเดียวบรรลุหมด นี่เรื่อง สักกายทิฏฐิ เขาตัดตัวเดียว จริง ๆ บรรลุอรหันต์เขาตัดตัวเดียว ไม่ใช่ ๑๐ ตัว ตัดตัวเดียวไอ้ตัวอื่นหดไปเอง หมดแรง ตัวหัวหน้าแล้ว.. ลูกแถวก็เสร็จ! สำคัญที่สุด


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))



praew
Super Administrator
*********
Posts: 462
Registered: 12/3/08
Member Is Offline
View User's Profile View All Posts By User U2U Member

Go To Top
 

"เว็บตามรอยพระพุทธบาท" ได้รับลิขสิทธิ์จาก พระอาจาย์ชัยวัฒน์ อชิโต เพื่อเผยแพร่รูปภาพและข้อมูล
จาก "หนังสือตามรอยพระพุทธบาท" จึงขอสงวนลิขสิทธิ์ตาม
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๗ และพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐
ห้ามคัดลอกข้อมูล, ภาพ, เสียง ออกไปเผยแพร่ หรือนำไปโพสในเว็บใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเสียก่อน

เว็บไซต์นี้แสดงผลได้ดีกับโปรแกรม Internet Explorer, Window Media V.9, Flash Player ความละเอียดหน้าจอ 1024 x 768 pixels ความเร็วอินเตอร์เน็ต 1 Mbps. ขึ้นไป

ถ้าพบข้อผิดพลาดใดๆ หากจะแนะนำ หรือติชม และสอบถาม ติดต่อ "ทีมงานเว็บตามรอยพระพุทธบาท"
เริ่มเปิดเว็บไซด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Copyright @ 2008 tamroiphrabuddhabat.com All rights reserved