ตามรอยพระพุทธบาท

เพชรพญานาค ตอนที่ 1 (ตอน "อาถรรพ์แห่งนาคราช")
webmaster - 15/7/09 at 05:58

 เพชรพญานาค ตอนที่ 2, ตอนที่ 3



สารบัญ

1.
พิสูจน์ (Update 18/07/52)
2. ตามรอยเพชรพญานาค (Update 25/07/52)
3. ประสบการณ์ลี้ลับ ตอนที่ 1 (Update 30/07/52)
4. ประสบการณ์ลี้ลับ ตอนที่ 2 (Update 05/08/52)
5. ประสบการณ์ลี้ลับ ตอนที่ 3 (Update 11/08/52)
6. ภูผาเหล็ก คลังมหาสมบัติพญานาคราช (Update 17/08/52)
7. แก้วพญานาค (เรื่องสั้นจริงๆ) (Update 24/08/52)
8. "หินพญานาค" มีจริง หรือหลอกลวง..? (Update 30/08/52)
9. ความเห็นเรื่อง "เกล็ดพญานาค" (Update 5/09/52)
10. แก้วนาคราช หรือ "ปัฐวีธาตุ" จากลำน้ำโขง (Update 11/09/52)
11. มณีใต้น้ำ เพชรพญานาค เป็นหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง (Update 17/09/52)
12. "ไข่พญานาค" อีกชื่อเรียก "แก้วพระกำ" (Update 23/09/52)
13. พิสูจน์ "เพชรพญานาค" ในเว็บไซด์ต่างๆ (Update 29/09/52)
14. ตำนานพระแก้วมณีโชติ (ฉบับย่อ) (Update 05/10/52)
15. อาถรรพ์แห่งนาคราช (Update 15/10/52)



คำปรารภ


เมื่อปีที่แล้ว ระหว่างวันเข้าพรรษา ผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราว "บั้งไฟพญานาค" ว่าทำไมจึงขึ้นในวันออกพรรษา ซึ่งมีท่านผู้อ่านสนใจเข้ามาอ่านเป็นจำนวนมาก สำหรับวันเข้าพรรษาปี 2552 ผู้เขียนได้ประสบเกี่ยวกับเรื่อง "เพชรพญานาค" อีก จึงได้ค้นคว้าหาความรู้จากเว็บไซด์ต่างๆ ซึ่งได้ให้ความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดี

แต่ทว่าเป็นธรรมดาของโลกที่มีของคู่กัน คือมีทั้งของแท้และของปลอม ที่ทั้งเป็นเรื่องจริงและนิยายก็มากหลาย อย่างไรก็ตาม ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณเองก็แล้วกัน ส่วนผู้เขียนขอเป็นแค่เพียงนำเสนอเท่านั้น ส่วนในตอนท้ายเรื่อง จะได้นำเหตุการณ์ที่ผู้เขียนประสบด้วยตนเอง แล้วเราจะได้พิสูจน์กันว่า เป็นจริงหรือของปลอมกันแน่ ในตอนแรกนี้ จะขอนำข้อเขียนจากเว็บต่างๆ มาให้อ่านก่อน ดังนี้




ภาพจาก : www.igetweb.com

เรื่อง..เพชรพญานาค (อ่านเล่นๆ)

คำนำ

ข้อเขียนจาก : www.oknation.net


การที่ผู้เขียนได้นำเสนอเรื่อง “เพชรนาคา” ธาตุกายสิทธิ์นั้น มิได้มุ่งหวังให้ท่านผู้อ่านงมงาย แต่ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดใช้ดุลยพินิจวิเคราะห์กันเอาเองว่าจริงหรือเท็จ โดยใช้หลัก “กาลามสูตร” ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พิจารณาการเชื่อด้วยปัญญา การใคร่ครวญอย่างมีเหตุและผล รองรับซึ่งกันและกันมีอยู่ด้วยกัน 10 ข้อ

1. อย่าเชื่อด้วยได้ฟังตามกันมา
2. อย่าเชื่อโดยลำดับสืบๆ กันมา
3. อย่าเชื่อโดยความตื่น ว่าได้ยินว่าอย่างนี้
4. อย่าเชื่อโดยการอ้างตำรา
5. อย่าเชื่อโดยนึกคาดเดาเอา
6. อย่าเชื่อโดยนัยการคาดคะเนเอา
7. อย่าเชื่อโดยตรึกตรองตามอาการ
8. อย่าเชื่อโดยชอบใจว่าต้องกับลัทธิของตน
9. อย่าเชื่อโดยผู้พูดสมควรจะเชื่อถือได้
10. อย่าเชื่อโดยนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ เป็นญาติของเรา


เพราะผู้เขียนพึงเขียนนำเสนอมาจากประสบการณ์ทางจิต, การศึกษาการเรียนรู้ และคำบอกเล่าจากครูบาอาจารย์ ผู้รู้หลายท่านของผู้เขียนมาเล่าสู่กันฟัง โดยที่ผู้เขียนมิได้มุ่งหวังให้เป็นบรรทัดฐานใดๆ ที่จะบ่งบอกให้ทุกท่านใช้เป็นกฏเกณฑ์ตัดสินใจในเรื่องนี้ ต่างคนก็ต่างประสบการณ์ ขอให้ผู้อ่านจงดูเนื้อที่แท้จริงในสิ่งนั้นๆ ไม่มีหลักการใดๆ มาพิสูจน์ในเรื่องเช่นนี้ได้จริง

นอกจากบุคคลผู้นั้นได้ศึกษาเรียนรู้ถึงที่สุดแล้ว เพียงแค่ “นรก สวรรค์ ” สาวกองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ ก็ยังมีความคิดที่แตกแยกกันไป ไม่ต้องไปกล่าวถึง “อัตตา หรือ อนัตตา ใน นิพพาน” เพราะพูดกันไปในแต่ละคนก็ยังไปไม่ถึง เพราะถ้าถึงพูดออกไปใครจะเชื่อ

การอธิบายคำบรรยายความหมายก็เกิดขึ้นมาจาก “สมมุติบัญญัติ” ว่าสิ่งนี้คือสิ่งนี้ รูปร่างหน้าตานี้คือคน หรือ รูปร่างหน้านี้คือลิง เป็นต้น จะเอาเหตุผลกลใดมาเป็นมาตราฐานได้จริง เพียงแต่สิ่งนี้เป็นการยอมรับของมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่เป็นสัตวโลกเท่านั้น

ตอนนี้ผู้เขียนมีความเสียดายเพียงอย่างเดียว นอกเหนือจากการที่ได้สัมผัสและเห็นของจริงไม่ว่าเป็น “เพชรนาคา” ในรูปร่างลักษณะต่างๆ และแบบที่เป็นหินห่อหุ้มเพชรนาคาไว้ภายใน นั้นก็คือไม่สามารถที่จะเดินทางไปสัมผัสและถ่ายรูป ในสถานที่เก็บรักษาเพชรนาคา ในถ้ำลึกในสถานที่ต่างๆ ที่มีการพบ “เพชรนาคา” ได้

แต่บางครั้งถึงจะยืนยันในเรื่องสถานที่รูปถ่ายก็ตาม ถ้าจะมีคนที่ชั่งสงสัยตั้งข้อสงเกตุสังกามาหักล้าง หรือไปพบแต่ของปลอมที่เลียนแบบขึ้นมา และค้นหาวิธีการแยกธาตุพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ก็เพียงจะรู้ได้แค่มีส่วนผสมเป็นแร่อะไร, โลหะชนิดไหนเพียงเท่านั้น นอกเหนือธรรมชาติจากนั้น ไม่สามารถที่จะพิสูจน์หาเหตุผลมาได้

อจินไตย..เกินความรู้


เพชรนาคาหรือเพชร 7 สีมณี 7 แสง เป็นของศักดิ์สิทธิ์มีอาถรรพ์พลังลึกลับอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เกิดขึ้นมาด้วยบุญญาธิการแห่งการบำเพ็ญเพียรพระโพธิญาณขององค์มหาพระโพธิสัตว์ ที่ตั้งจิตอธิษฐานปราถนาที่จะได้ลงมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า นับว่าเป็นความยากลำบากมาก เพราะจะต้องประกอบไปด้วยการบำเพ็ญเพียรการสร้างสมบารมีให้ครบ 30 ทัศ และต้องลงมาสร้างบารมีขั้นปรมัตถบารมีอีก 10 ชาติถึงจะสมบูรณ์ทุกประการ

การสร้างบารมีบำเพ็ญเพียรนั้นจะแบ่งออกมาได้อีก 3 ประเภทคือ
1.พระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญสร้างบารมีถึง 4 อสงไขยกำไรแสนกัป ,
2.พระพุทธเจ้าสัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีถึง 8 อสงไขยกำไรแสนกัป ,
3.พระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญเพียรบารมีถึง 16 อสงไขยกำไรแสนกัป

แค่เพียงแสนกัปนั้นก็มิอาจคาดคะเนคำนวณได้ ถ้าจะนับก็เป็นล้านล้านล้านปี เป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะคาดคิดคะเนได้ ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์บรมครูได้ทรงตรัสกล่าวเอาไว้ มิให้ครุ่นคิดตรึกตรองคาดคะเน เพราะเป็นเรื่อง “อจินไตย” นั้นก็คือ..พุทธวิสัย

การกำเนิดของโลก, ฌาน,กรรม เป็นต้น เพราะเกินกำลังความรู้ความคิดคาดคะเนของมนุษย์ปถุชนคนธรรมดาที่สามารถจะกระทำได้ จะทำให้เกิดเป็นบ้าใบ้เสียสติฟุ้งซ่าน เป็นความรู้ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันเป็นการสร้างโลกขึ้นมา โลกแห่งความวุ่นวายในการเวียนว่ายในวัฏสงสาร และไม่สามารถหาเหตุผลของทางโลกได้เลย

สิ่งที่สำคัญในปัจจุบัน จงระมัดระวังการเกิดเหตุของ “วิบัติ” ซึ่งจะแบ่งออกได้หลายข้อ แต่จะกล่าวถึงความ “วิบัติแห่งทิฐิ” นี้ได้แก่ความวิบัติเพราะทิฐิแห่งตน ที่เกิดมีความคิดผิดเห็นผิดของตนอันไม่ถูกต้อง เพราะไปคบค้าสมาคมกับชนมิจฉาทิฐิเข้า หรือจะเป็นเหตุแห่งการไปพบสัมผัสกับอีกภพภูมิหนึ่งๆ หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่นก็ตาม แล้วทำให้เกิดความคิดความเห็นที่วิปริตนอกลู่นอกทางจน “สติปัญญา” ของตนเอง ตามไม่ทันและไม่สามารถรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะของธรรมชาติของ “เหตุและผล, เกิดและดับ”

ทำให้เกิดมีความคิดความเห็นว่า องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มี!เป็นเรี่องที่แต่งขึ้นมา หลัง 2,500 ปี หมดยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน , ยุคนี้เป็นยุคพระศรีอาริยเมตไตรย , พระพุทธเจ้าแบ่งภาคจากพระนารายณ์ , พระอรหันต์ไม่มีในโลกนี้ , มรรคผล นิพาน นรก สวรรค์ บุญบาปไม่มี , สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพพรหมเทวดาไม่มีจริง , คำสอนในศาสนาไม่มีคุณค่าไม่สามารถที่จะทำให้โลกมีสันติได้ , ตายแล้วสูญ ! ไปกันใหญ่แล้ว

เพียงแค่ตนเองเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร ทำไมจะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย หาคำตอบให้ตนเองได้ไหม! จนทำให้เกิดมีความคิดเห็นที่ไม่เข้าท่าเข้าทาง เลยทำให้ไม่มีความศรัทธาจิตที่จะเลื่อมใส ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติตามกระแสพระพุทธฏีกาธรรมะ อันหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงที่หาได้ยากในโลกนี้ หรือไม่ก็นำไปปฏิบัติได้ให้เกิดผลเพียงนิดหน่อย ก็คิดเข้าข้างตนเองหลงตนเองไปเปลี่ยนแปลงธรรมะคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าไปเสียนี้ นี้แหละที่เรียกว่า “วิบัติทิฐิ” ที่ต้องประสบความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแห่งชีวิตของตนทั้งที่ได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนา

ถึงแม้สมเด็จบรมศาสดาจารย์จะเสด็จปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่ศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ยังปรากฏอยู่ และถ้าประพฤติปฏิบัติตาม “มรรคแปดประการ” โลกย่อมไม่ว่างเว้น “พระอรหันต์” หรือเป็นแนวทางที่พาให้ตนเองก้าวพ้นสู่อบายภูมิโดยมี “นรก, ภูมิสัตว์เดรัจฉาน” เป็นที่ตั้ง ย่อมถือได้ว่าพ้นแล้วแห่งความวิบัติความฉิบหายอย่างใหญ่หลวงแล้วในชาตินี้ ย่อมไม่เสียชาติที่เกิดมาทนทุกข์ทรมาน

ตำนานการก่อกำเนิดเพชรนาคา


นับย้อนหลังนานแสนนานไปในสมัยพุทธกาลแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า "กัสสโป" ซึ่งได้ลงมาตรัสรู้พระโพธิญาณเพื่อรื้อขนสัตว์ข้ามห้วงวัฏฏะสงสารในมหาภัทรกัปนี้ (ที่มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ 4) ทำให้เกิดความสั่นสะเทือนกึกก้องไปทั่วหมื่นโลกธาตุอนันตจักรวาลด้วยพระบารมีแห่งพระโพธิญาณองค์มหาพระโพธิสัตว์

เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์บังเกิด “ฝนโบกพรรษ” ตกลงมา ใครใคร่ให้เปียกก็เปียกใครใคร่ไม่เปียกก็ไม่เปียก ด้วยพระบุญญาธิการแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสโป เมื่อได้ตกลงมาสู่พื้นพสุธาบางส่วนได้ประมวลตัวรวมธาตุดึงดูดธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ จนบังเกิดก่อกำเนิดเป็น “เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง” ธาตุกายสิทธิ์ขึ้นมา มีรัศมีสว่างไสวเปล่งประกายรัศมีถึง 7 สี ส่องแสงสว่างไปทั้งกลางวันและกลางคืนนับเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน

รัศมีแห่งเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนี้ ส่องสว่างครอบคลุมจนไปถึงนครใต้บาดาล ดลบันดาลทำให้เกิดแสงสว่างเป็นรัศมี 7 ประกา รกลบรัศมีแสงสว่างอัญมณีพลอยอันมีค่าต่างๆ ที่อยู่ในนครบาดาลทั้งหมด จนเกิดความแตกตื่นโกลาหลไปทั่วทั้งนครบาดาล จนเหล่านาคีนาคาผู้ที่มีฤทธิ์ ต่างหาสาเหตุต่างๆ นาๆ ถึงเหตุการณ์อันอัศจรรย์ใจนี้

จนทำให้กษัตริย์ผู้ครองเมืองนครบาดาลทั้ง 7 เมืองนามว่า “พญานาคราชสุนันโท” กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ผู้ครองเมืองนครบาดาล ที่มีเหล่าบริวารนาคีนาคาผู้มีฤทธิ์อำนาจกำลังแห่งตนมากมายนับไม่ถ้วน ได้ใช้กำลังบุญฤทธิ์ของตนอธิษฐาน ขอให้รู้ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์อัศจรรย์ใจในครั้งนี้

ด้วยเหตุของกำลังบุญฤทธิ์ที่ได้สร้างสะสมมานานในสมัยอดีตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาและได้บวชเรียนเป็นพระภิกษุสาวกแห่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพ ุทธเจ้าในอดีตกาล ซึ่งได้ตั้งจิตอธิษฐาน จะขอทะนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนา ก่อนที่จะละสังขารตายลง (ขอเว้นในเหตุของกฏแห่งกรรมที่ทำให้กำเนิดเป็นพญานาคผู้มีฤทธิ์)

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ล่วงรู้ถึงการก่อกำเนิดแห่ง “เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง” ด้วยอำนาจผลบุญบารมีแห่ง พระโพธิญาณขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ถึงหน้าที่ของตนเองที่ได้อธิษฐานเอาไว้ พญานาคราชสุนันทโทผู้เป็นใหญ่ได้แสดงฤทธิ์อำนาจ แทรกแผ่นดินขึ้นมาพร้อมกับเหล่าบริวารทั้งหลาย ขึ้นมาสู่พื้นปัฐพีมาดูต้นเหตุอัศจรรย์อันที่ทำให้เกิดความอัศจรรย์ไปทั่วพื้นพิภพใต้บาดาล

ท่านพญานาคราชสุนันโทได้มีคำสั่งให้เหล่าบริวารทั้งหลาย ต่างแสดงฤทธิ์อานุภาพอัญเชิญไปเก็บรักษาเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสืบต่อไป เหล่านาคีนาคาบริวารทั้งหลายต่างก็อัญเชิญไปเก็บตามถ้ำตามภูเขา หมวดหมู่ที่พวกตนได้สิ่งสถิตย์พักอาศัยอยู่

ส่วนหนึ่งก็ได้นำดินสีต่างๆ มาพอกหุ้มเพชรนาคาหรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงเอาไว้ เพื่อให้รอดพ้นจากสายตาหรือน้ำมือจากพวกมนุษย์ ใจคิดคดไม่อยู่ในศีลในธรรม หรือจากเหล่าเทพพรหมที่เป็นมิจฉาทิฐิ ให้เห็นเป็นเพียงก้อนดินก้อนหินธรรมดา อีกกลุ่มหนึ่งได้นำไปไว้ในถ้ำที่ลึกลับ ที่ยากจะเข้าไปได้นำไปประดิษฐสถานเอาไปไว้ในแอ่งน้ำต่างๆ ภายในแต่ละถ้ำที่เห็นสมควร พร้อมกับทั้งอธิษฐานบดบังรัศมีแห่งแก้วนี้เสีย จนรอเมื่อถึงเวลาที่จะต้องทำประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสืบต่อไป

หลวงปู่เทพโลกอุดร เกี่ยวข้องกับเพชรนาคา


ตามความเป็นจริงแล้ว ผมไม่ต้องการที่จะกล่าวถึง หลวงปู่เทพโลกอุดร หรอกนะครับ แต่มีเหตุที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง “เพชรนาคา” ที่ผมได้รับและสัมผัสเป็นครั้งแรก ถ้าไม่กล่าวถึงเลยมันก็จะข้ามขั้นตอนไปเสียในความเป็นจริงที่เกิดกับตัวผมเอง และที่สำคัญผมเคารพสักการะบูชาหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์

ในวันหนึ่งผมเดินทางไปพบพี่จิม (นามสมมุติ) ที่บ้าน เพราะว่าพี่จิมได้บูชาเพชรนาคามาจากบุคลท่านหนึ่งก่อนหน้านี้หลายปี ผมได้อ่านข่าวที่ลงทางหน้าสื่อพิมพ์เกี่ยวกับเพชรพญานาคว่า เป็นการหลอกลวงเรียกเงินกันเป็นแสนๆ ว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นของอาถรรพ์ จึงทำให้ผมไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าใดนัก นี้นับเป็นครั้งที่จะได้เห็นของจริง

เมื่อได้สัมผัสเห็นของจริงแวบ..แรกที่สัมผัสเห็น ภายในจิตบอกว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่ในความที่ผมได้อ่านข่าวคราวมา มันเลยทำให้จิตผมขุ่นมัวต่อต้านอยู่บ้าง ผมจึงขออนุญาตินั่งเข้าสมาธิสัมผัสดู ช่วงจังหวะนั้นเองปรากฏเห็นภาพหนึ่งขึ้นมา เห็นเป็นลักษณะมองเห็นทิวยอดไม้เห็นภูเขาสูง เหมือนดึงซูมภาพเข้าไปจนถึงปากถ้ำ เมื่อมองลงไปด้านข้างภูเขามองเห็นสายน้ำไหลคดเคี้ยวยาวมากอยู่พื้นดินด้านล่าง ก่อนที่จะเข้าไปในถ้ำผมถอยออกมาจากสมาธิเสียก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ( มีเนื้อเรื่องต่อ )

รูปร่างสัณฐานสีสันของเพชรนาคา


"เพชรนาคา" หรือ "เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง" นั้น มีรูปร่างหลายสัณฐานหลายขนาดหลายสีสัน เพชรนาคาสามารถที่จะแบ่งออกได้เป็น 3 สัณฐานใหญ่คือ

1. สัณฐานลูกรักบี้ จะมีรูปร่างกลมยาวเรียวหัว-ท้ายเรียวมนคล้ายหัวจรวด จะมีความยาวประมาณตั้งแต่ 2-3 ซ.ม.จนถึง 9-10 ซ.ม. สามารถแบ่งเป็นประเภท
1.1 เป็นเพชรนาคา ,
1.2 เป็นเหล็กไหลชนิดดูดติดเหมือนแม่เล็ก หรือแบบดูดไม่ติด

2. สัณฐานเหมือนพลอยหลังเบี้ย จะมีรูปร่างสัณฐานแบ่งออกได้อีก 2 แบบคือ
2.1. รูปกลม (แฮมเบอเกอร์) จะมีรูปลักษณะทรงกลมตรงกลางจะนูนขึ้นมาดังหลังเบี้ยทั้งสองด้าน ด้านข้างจะสามารถมองเห็นคล้ายขอบรอยเชื่อมของเพชรนาคา จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์ตั้งแต่ 7 มิลลิเมตรถึง 1 ซ.ม.กว่าๆ
2.2. รูปวงรี จะมีรูปทรงเป็นวงรีตรงกลางจะนูนขึ้นมาดังหลังเบี้ยทั้งสองด้าน จะมีขนาดตั้งแต่ 5 มิลลิเมตรจนกระทั่งมีความถึงยาว 1-2 นิ้ว

3.สัณฐานกลมแบบลูกแก้ว จะมีลักษณะกลมเป็นลูกแก้ว แต่สังเกตุดูดีๆ แล้วบางเม็ดจะมีรอยขอบ รอบๆ มีตั้งแต่ขนาดเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย ( ประมาณ 1 ซ.ม.) จนถึงขนาดเท่าไข่ไก่

4.สัณฐานพิเศษที่หายาก จะมีคือ..
4.1 ลักษณะลูกสมอจันทน์ จะมีลักษณะออกจะกลมคล้ายดังลูกแก้ว เหมือนกับสัณฐานกลมหลังเบี้ยแบบที่ 2.1 จะมีขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเกือบ 2 ซ.ม. หรือขนาดเท่านิ้วหัวแม่โป้ง
4.2 ลักษณะเป็นเขี้ยวแก้ว จะมีลักษณะรูปทรงสัณฐานเป็นเขี้ยว จะมีความยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้วก้อยนิดๆ จนกระทั่งมีความยาว 6 - 7 นิ้ว
4.3 ลักษณะรูปหยดน้ำ จะมีลักษณะรูปทรงคล้ายหยดน้ำขนาดใหญ่ประมาณปลายนิ้วก้อย
4.4 ลักษณะเป็นฟันกราม จะมีลักษณะรูปทรงคล้ายฟันหน้าหรือฟันกรามของคน จะมีส่วนที่ยื่นออกมาดังรากฟัน จะมีหลายขนาดทั้งฟันกรามเล็กฟันกรามใหญ่
4.5 ลักษณะรูปหัวใจ
4.6 ลักษณะรูปดอกบัว
4.7 ลักษณะรูปหงอนพญานาค
4.8 ลักษณะเป็นไข่

ซึ่งเพชรนาคานั้นจะมีสีสันที่สวยงามส่องแสงเป็นประกายมาก ยิ่งเอาไปส่องด้วยแสงไฟจะส่องเป็นประกายสีถึง 7 สี และจะมีความมันเงาแวววาว บางสัณฐานภายในคล้ายกับมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ หรือคล้ายกับมีดวงตาซ้อนอยู่ภายใน แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจนนั้น จะเป็นสัณฐานเหมือนพลอยหลังเบี้ย จึงนับว่าแปลกอัศจรรย์เป็นอย่างมาก

มีผู้ที่มีความชำนาญในการดูพลอยบอกว่า ถ้าพลอยดีชั้นดีเวลาส่องดูจะเห็นเป็นแถบสายรุ้ง ถ้าเป็นพลอยรองลงมาเวลาส่องดูจะเห็นเป็นประกายของสี ทั้ง 7 สี เมื่อนำเพชรนาคานำมาส่องดู (แบบสัณฐานที่2)บางเม็ดด้านหนึ่งส่องดูเห็นเป็นแถบสี พอพลิกดูอีกด้านหนึ่งส่องดูเห็นเป็นประกายสีเหมือนมีชีวิต เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก

ซึ่ง หลวงปู่พวง สุวีโร วัดป่าปูลูสันติวัฒนา จ.อุดรธานี ได้เล่าให้ฟังว่า ลูกศิษย์ท่านได้นำไปตรวจสอบตรวจดูที่ต่างประเทศ ซึ่งผลปรากฏว่ามีคุณค่าเกือบจะเท่าอัญมณี แต่ก็ถือว่าเป็นแร่รัตนชาติชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า

การแบ่งสีสันของเพชรนาคานั้น สามารถที่จะแบ่งออกได้ 3 ประเภทก็คือ

1. สีอ่อนแต่ใส
2. สีเข้ม
3. สีเข้มออกโทนเทาดำ

จะมีอานุภาพพลังที่แตกต่างกันไป ตามสีสันและตามขนาดสัณฐานด้วย ยิ่งออกเป็นสีในประเภทที่ 3 ยิ่งมีพลังลึกลับอาถรรพ์เพิ่มมากขึ้น

การแบ่งตามวรรณะตามโทนสีของ "เพชรนาคา" สามารถแบ่งออกได้คือ

1. สีน้ำเงิน วรรณะกษัตริย์
2. สีฟ้าน้ำทะเล วรรณะเชื้อพระวงศ์
3. สีเขียว วรรณะนักบวช, ผู้ทรงศีล
4. สีแดง วรรณะนักรบ,ขุนพล
5. สีม่วง วรรณะขุนนาง
6. สีขาว วรรณะ กลาง
7. สีเหลือง,สีส้ม,สีชมพู วรรณะทั่วไป



ภาพจาก : board.palungjit.com

ความหมายตามสีสันของเพชรนาคา ก็คือ


1. สีขาว หมายถึง พลังบารมีพุทธคุณหรือบารมีขององค์มหาพระโพธิสัตว์ ที่ได้ทรงบำเพ็ญเพียรถือศีลภาวนาปฏิบัติธรรมลดละกิเลสตัณหาอุปทาน ให้วางจิตให้อยู่ในสายกลางไม่มีบุญไม่มีบาป มีสติเป็นผู้รู้ (เกิดปัญญา) เท่าทันในสภาวะปัจจุบัน เกิดความใสสะอาดบริสุทธิ์ มีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหวง่ายๆ เหมาะกับผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวรวนเรไม่มีความมั่นใจ

2. สีแดง หมายถึง สีแห่งกำลังฤทธิ์อำนาจ กล้าหาญเด็ดเดียวความคิดฉับไหวเฉียบคมดุดัน ตัดสินใจรวดเร็วตรงเป้าหมายทันอกทันใจ เป็นที่เคารพน่าเกรงขาม ผู้ที่ได้ครอบครอบเพชรนาคาสีแดงนี้ จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมฝึกฝนให้จิตมี “สติ” รู้เท่าทันอารมณ์ มิเช่นนั้นจะเกิดผลกระทบที่ไม่ดีเกิดขึ้น ทั้งตนเองและผู้อื่น

สีแดงเป็นสีที่บ่งบอกถึง “โทสะจริต” ที่มีความต้องการให้ทันอกทันใจรวดเร็ว บางครั้งไม่เป็นตามที่เราต้องการก็จะเกิดอารมณ์โมโหโกรธขึ้นมานี้ละตัวร้าย ยิ่งเพชรนาคาที่มีสีเข้มขึ้นมากเท่าใด ยิ่งจะมีพลังทางลบมากเท่านั้น มันจะเผาผลาญทั้งกายและจิตใจให้เกิดความหม่นหมองมืดมัวเศร้าสร้อยไปทางทุคติที่ไม่ดี

2.1. สีแดงพิเศษ จะมีเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่จัมโบ้ รูปวงรีความยาวประมาณ 3 ซ.ม.ขึ้นไป จะเป็นสีที่พลังอานุภาพฤทธิ์อำนาจสูงกว่าสีปกติมาก เพราะจะเป็น “เพชรนาคาสีแดงขอบดำ” ครูบาอาจารย์บอกว่า “เป็นพลังอนันตจักรวาล” ผู้ที่สามารถที่จะครอบครองได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาบารมีที่ได้สร้างสมมาจากอดีตชาติไว้มาก หรือและต้องเป็นผู้ที่มี “จิต” เป็นฤทธิ์เดชตบะมหาอำนาจที่ฝึกฝนมาทางนี้ มิเช่นนั้นไม่สามารถที่จะรองรับพลังอานุภาพของเพชรนาคาที่มีพลังอนันตจักรวาลได้

3. สีเขียว หมายถึง อำนาจจิตที่มีความเมตตาเย็นกายเย็นจิต มีเดช ตบะบารมีของผู้ทรงธรรมที่มีจิตสัมผัสทางโลกลี้ลับเหล่าเทพพรหมเทวดา มีพลังอำนาจลี้ลับไหลเวียนเป็นกระแสล้อมรอบตัว ทำให้จิตมีความสงบเยือกเย็นมั่นคง แคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ

ยิ่งสีเข้มยิ่งมีอานุภาพของพลังที่สื่อผ่านมาจากเพชรนาคาจนเย็นยะเยือก เป็นที่เคารพนอบน้อมเป็นที่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดพูดจาอะไร เป็นเหตุที่เกิดมาจากการบำเพ็ญเพียรตบะบารมี “สัจจะอธิษฐาน” ที่ไม่พูดปดมดเท็จหลอกลวงตลบแตลง และเป็นสีของกายทิพย์ผู้เป็นจอมเทพใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้าทรงช้างเอราวัณ 3 เศียรที่มีอำนาจฤทธานุภาพ จ้าวแห่งสรวงสวรรค์แห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

4. สีเหลือง หมายถึง ความนุ่มนวลมีสง่าราศี สีที่แสดงถึงความมั่งคั่งมีโชคมีลาภไหลมาเทมา มีความเจริญสดใสรุ่งเรืองดัง “ทองคำ” ที่มีคุณค่าในตัวเอง กระแสแห่งสียิ่งสีสดใสเท่าใดยิ่งมีกระแสแห่งโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทองเปล่งประกายมากขึ้นเท่านั้น เป็นกระแสที่ทำให้น่าเกรงขาม เคารพศรัทธาในความมีสง่าราศี ดังเจ้าขุนคุณนายเจ้าพระยาผู้มีศักดิ์มีศรี จะได้รับการช่วยเหลืออนุเคราะห์สงเคราะห์ ทำให้หน้าที่กิจการเจริญก้าวหน้าราบรื่น

หมายเหตุ… ผู้ใดได้เพชรนาคาสีเหลืองไว้ครอบครอง จะต้องมีจิตใจที่ชอบทำบุญทำทานเป็นนิจวัตร มีน้อยทำน้อยมีมากเท่ามากตามกำลังของตนเอง และต้องเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม ยิ่งจะส่งผลให้เกิดกระแสแห่งทานบารมีที่บริสุทธิ์ ส่งเสริมพลังเพชรนาคาสีเหลืองและองค์เทพที่รักษาดูแลมีบุญบารมีเพิ่มขึ้น

5. สีส้ม หมายถึงพลังแห่งการป้องกันภัยจากอาวุธภัยอันตรายต่างๆ เป็นพลังที่มีความคิดเด็ดเดียวกล้าหาญกล้าคิดกล้าทำกล้าที่จะเผชิญ และเป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้ายุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เป็นกระแสพลังที่ป้องกัน และลดสลายอุปสรรคพลังที่ไม่ดีที่เข้ามากระทบ กระทำให้บุคคลใดผู้ใดที่คิดจะมาเบียดเบียนต้องพ่ายแพ้ตนเองไปในที่สุด มีเทพที่มีคุณธรรมดูแลปกปักรักษา และเป็นสีแห่งพระบารมีของ “องค์พระสยามเทวาธิราช” องค์มหาเทพที่ดูแลปกปักรักษาคุ้มครองประเทศชาติ, ศาสนา, พระมหากษัตริย์ จากภัยอันตรายจากศัตรูผู้ไม่เป็นมิตรที่คิดมากระทำย่ำยี

6. สีม่วง หมายถึง พลังที่มีอำนาจลึกลับยากที่จะหยั่งถึงได้ ดังคำว่า “รู้หน้าไม่รู้ใจ” เกี่ยวข้องจิตวิญญาณโอปาติกะ ภูติผีปีศาจทำให้เกิดความเกรงกลัวไม่กล้าที่จะคิดไม่ดีกระทำไม่ดี เหมือนมีพลังลึกลับจ้องมองอยู่ ยิ่งสีที่เข้มจนเกือบดำไม่ต้องพูดถึง มีพลังลึกลับอานุภาพมากขึ้นเป็นทวีคูณ ป้องกันภูติผีปีศาจคุณผีคุณคนคุณไสย การกระทำย่ำยีต่างๆ ให้เสื่อมสลายหายไป และเป็นสีที่สามารถดูดซับพลังอำนาจลึกลับทั้งดีและไม่ดีได้ขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของ

หมายเหตุ… บุคคลที่มีวาสนาครอบครองเพชรนาคาสีม่วงนี้ จะเป็นคนที่มีพลังลึกลับหรือมีสัมผัสพิเศษเรื่องลึกลับ บางคนอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ และเป็นคนที่ช่างคิดช่างตรึกตรองเจ้าวางแผน ถ้ามีมากจนกระทั่งออกไปทางหน้ากลัว อาจจะเกิดผลเสียหรือเกิดพลังที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ควรที่จะฝึกปฏิบัติจิตให้มีความเมตตาหนักแน่น ปล่อยวางจากอารมณ์ที่มากระทบ ให้จิตมีแต่ความโปร่งใสบริสุทธิ์ จะทำให้อานุภาพของเพชรนาคาสีม่วงนี้จะเปล่งประกายออกมาครอบคลุมทั่วร่างตลอดเวลา เสมือนเกราะแก้วคุ้มครอง

6.1.สีม่วงพิเศษ จะมีเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่จัมโบ้ รูปวงรีความยาว 3 ซ.ม.ขึ้นไป จะเป็นสีที่มีพลังฤทธิ์อำนาจแห่งความลึกลับแห่งจิตวิญญาณโอปาติกะ ป้องกันอาถรรพ์การกระทำคุณไสยคุณผีคุณคน การกระทำย้ำยีต่างๆ ผูกพยนต์ ฝังรูปฝังรอย ทำให้เกิดการสลายเสื่อมอานุภาพ ศัตรูหมู่มารต่างสยบไม่กล้าที่จะคิดร้ายกระทำไม่ดี มีอานุภาพแผ่พลังครอบคลุมเป็นปริมณฑลได้ทั้งบ้าน แต่ก็ขึ้นอยู่ผู้ที่เป็นเจ้าของครอบครองมีจิตสะอาดอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่เป็นหลัก ยิ่งที่เป็นผู้ที่ปฏิบัติทางจิตจะยิ่งเปล่งประกายของอานุภาพรัศมีกว้างขึ้น

7. สีฟ้า หมายถึง ถึงผู้ที่มีบุญวาสนาที่ได้สร้างสมมาในอดีต มีน้ำใจกว้างขวางใสสะอาด น่าเคารพนอบน้อมดังเพื่อนสนิทมิตรสหายสนิทชิดเชื้อกันมานาน พูดจาเจรจาพาทีเข้าทีเข้าท่าติดต่อค้าขายคล่องตัวลื่นไหลสะดวก เป็นผู้ที่มีบุญฤทธิ์ที่เหล่าเทพยดาดูแลค้ำชู เดินทางไปไหนมาจะมีความสะดวกสบาย

8. สีน้ำเงิน หมายถึง ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมีสูงมีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์บารมี เป็นผู้นำผู้ปกครองมีทั้งเดชตบะบารมีเป็นที่เคารพน่าเกรงขามมีขุมทรัพย์มหาศาลที่ซ้อนเร้นอยู่ ดังร่มโพธิ์ร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านร่มเย็นที่พักพิงแก่สรรพสัตว์ มีพลังที่ป้องกันศัตรูภัยอันตรายต่างๆทั้งแปดทิศ จะต้องมีเทพพรหมเทวดาดูแลปกปักรักษาตลอดเวลาเสริมสร้างบารมียิ่งขึ้น

หมายเหตุ… ผู้ที่บุญวาสนาได้ครอบครอง จะต้องเป็นผู้ที่บุญวาสนาบารมีมาในอดีตชาติที่สร้างสมมานาน และต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประจำใจ มิฉะนั้นจะเกิดอาถรรพ์ที่ไม่ดีแก่ผู้ที่ครอบครองเกิดความวิบัติ อย่าหลงอดีตอย่าบ้าอำนาจอย่าอวดเก่งหลงตัวเอง จงทำจิตให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด คือการปล่อยวางจากกิเลสตัณหาอุปทาน

9. สีชมพู หมายถึง สีแห่งพลังอานุภาพเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์มหานิยมนิ่มนวลอ่อนโยน มีความโดดเด่นสะดุดตาดึงดูดสำหรับเพศตรงข้ามและผู้คนรอบข้างผู้ที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ผู้คนรอบข้างเกิดความเมตตาช่วยเหลืออย่างน่าอัศจรรย์ใจ ยิ่งสีชมพูเข้มออกสดใสยิ่งมีพลังมหาเสน่ห์ดึงดูดเป็นที่รักใคร่เป็นที่พึงปรารถนาดังนางพญาที่สูงศักดิ์สง่างดงามอย่างน่าประหลาด

หมายเหตุ… ผู้ที่ได้ครอบครองจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ดีงาม ไม่นำพลังไปใช้ในทางไม่ดีดัง”ปากหวานก้นเปรี้ยวเลี้ยวตลบแตลง”ยิ่งกระทำกับเพศตรงข้ามจนกระทั่งผิดศีลในข้อที่ 3 จนเกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ บั้นปลายท้ายสุดแล้วจะอเน็จอนาถน่าสังเวชเป็นอย่างมาก เมื่อผลกรรมนั้นมาตอบสนอง

10.สีชา (สีพิเศษ) หมายถึง สีที่มีพลังอานุภาพสามารถที่จะยับยั่งอารมณ์ความคิดที่ใช้แต่อารมณ์ ทำให้สติปัญญาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ถูกที่ควรที่ตามไม่ทัน จนกระทำพลาดพลั้งผิดพลาดไปจนเกิดความเสียหาย เหมาะกับผู้ที่ขาดแหล่งพึงพิงทางจิตใจหรือผู้ที่มีจิตใจเลื่อนลอยเสร้าเสียใจผิดหวังท้อแท้ และมีความพิเศษก็คือจะมีอานุภาพทางมีโชคมีลาภอย่างที่คาดไม่ถึง ( เป็นสีที่หาพบได้ยาก )

แต่ตามความเป็นจริงแล้วในการบูชาเพชรนาคา หรือเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงนั้น มิใช่บูชาตามความหมายของสีว่าสีนี้ดีอย่างนี้แบบนั้น หรือสีที่เหมาะกับวันเกิดเดือนเกิดแล้วจะได้ตามนั้น จะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมีที่ได้สร้างสมกันตั้งแต่ในอดีตชาติ และเคยได้เป็นเจ้าของกันมาก่อน

ผนวกในปัจจุบันเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในศีลในธรรมเป็นที่ตั้ง มิฉะนั้นแล้วจะเกิดอาถรรพ์เพทภัยไม่ดีกับตนเอง จึงจำจะต้องมีการอธิษฐานจิต ”เสี่ยงบารมี” ตามกำลังบุญวาสนาบารมีของตนเองว่า ”สีใดแบบใด” จะคู่ควรกับบุญวาสนาบารมีของตัวเรา หรือได้คำแนะนำจากครูบาอาจารย์ผู้รู้เท่านั้น.

การอธิษฐานจิตบูชา


การอธิษฐานจิตบูชา ”เพชรนาคา” นั้นมีเครื่องสักการะบูชา
1. ธูป 5 ดอก ,
2. เทียน 2 เล่ม ,
3. พวงมะลิหรือพวงมาลัย

จุดธูปเทียนตั้ง ”นะโม 3 จบ ,ท่องไตรสรณคม , อาราธนาศีล 5 , บทพุทธคุณ , ธรรมคุณ , สังฆคุณ และคาถาบูชา โอม อุ อะ มะ นะ โม พุท ธา ยะ ยะ สะ สุ มัง” ต่อด้วยการตั้งจิตอธิษฐานตามที่ต้องการ (ไม่เกินกำลังของกฏแห่งกรรม)

หมายเหตุ : แต่ในเว็บ suvannaka.com แนะนำว่า..เมื่อได้รับ "เพชรพญานาค" หรือ "วัชรธาตุเพชรนาคา" มาแล้ว ให้นำไปแช่ในน้ำมนต์ก่อน แล้วเช็ดด้วยผ้าขาวสะอาด ก่อนนำใส่พานหรือผอบ บูชาด้วยธูป 10 ดอก เทียนขาว 10 เล่ม ดอกดาวเรืองหรือดอกไม้อะไรก็ได้ที่พอจะหาได้จำนวน 10 ดอก ผลไม้ 5 อย่าง

"เพชรพญานาค" หรือ "วัชรธาตุเพชรนาคา" ให้วางใส่พานเล็กๆ หล่อด้วยน้ำไว้ในที่อันควร แล้วตั้งจิตอธิฐานบูชา จะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรือง และมีโชคลาภกับทุกท่านที่ครอบครอง คาถาบูชา ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วกล่าว คัด-สะ-มะ-อุ-มะ ทุกวันพระบูชาด้วยน้ำผลไม้ ถวายพวงมาลัย และถวายน้ำมะพร้าวอ่อน
ต้องการทำนำมนต์ โดยการหาขันใส่น้ำสะอาด อัญเชิญ ”เพชรนาคา” ลงแช่ในน้ำ พร้อมกับการจุดธูปเทียนบูชาท่องคาถา พร้อมกับสำรวมกายวาจาใจให้สงบนิ่งสักอึดใจหนึ่ง แล้วตั้งจิตอธิษฐานด้วยความแน่วแน่ตั้งมั่นจบด้วยบทแผ่เมตตา เมื่อสำเร็จสมหวังดังที่ได้อธิษฐานทุกครั้ง จะต้องทำบุญใส่บาตร, ถวายสังฆทาน, ถวายพระพุทธรูป เป็นต้น อุทิศถวายให้ ”พระแม่ธรณี,หลวงปู่เทพโลกอุดร, ปู่ทวดนาคราชสุนันโท, นาคานาคีเงือกบริวารทั้งหลาย ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรเป็นที่ตั้ง” ซึ่งจะเป็นการสร้างกุศลผลบุญบารมีไปในตัว

การอธิษฐานเพชรนาคา 9 สี นำมาบรรจุรวมกันในภาชนะเดียวกัน แล้วอธิษฐานและหมุนตามเข็มนาฬิกา คือหมุน 1 ครั้งป้องกันภัย , หมุน 2 ครั้งป้องกันภูติผีปีศาจ , หมุน 3 ครั้งขอโชคลาภ , หมุน 4 ครั้งสะท้อนป้องกันสิ่งไม่ดี ( ป้องกันการทำร้ายจากศัตรู ) , หมุน 5 ครั้งป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน , หมุน 6 ครั้งรักษาโรค , หมุน 7ครั้ง ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ( สามี,ภรรยารัก ) , หมุน 8 ครั้งถ้าไม่สบายรักษาตนเอง , หมุน 9 ครั้งชนะศัตรูหมู่มาร

หลังจากเสร็จสิ้นจากการที่นำเพชรนาคาติดตามตัวเช่น เป็นเครื่องประดับเป็นหัวแหวน, เป็นจี้ห้อยคอ, เป็นสร้อยข้อมือก็ตาม หรือนำมาบูชาเอาไว้ที่บ้าน ควรที่จะจัดหาพานรองรับตามความเหมาะสม วางผ้าแดงผ้าขาวรองพื้นก่อนที่นำเพชรนาคา หรือเครื่องประดับที่มีเพชรนาคาวางลงบนพาน และจัดหาขันหรือถ้วยใส่น้ำสะอาดโรยมะลิร่วงวางบูชาไว้ตรงด้านหน้าพานที่วางบรรจุเพชรนาคาอยู่ ควรจะเปลี่ยนน้ำสะอาดทุกวันหรือวันเว้นวันตามความเหมาะสม

น้ำที่วางบูชาเพชรนาคานี้เป็นน้ำมนต์ที่มีพลังอานุภาพ ใช้ดื่มกินอาบราดทั่วตัวไล่สิ่งไม่ดีสิ่งไม่ดีเสนียดจัญไรที่มาเกาะติดตามตัวเรา เพื่อเป็นสิริมงคลเป็นเกราะคุ้มกันปกป้อง พร้อมระลึกขอบารมี "ปู่ทวดนาคราชสุนันโท" กำหนดเห็นเป็นรูปองค์พญานาคมาขดล้อมรอบตัวของเรา ส่องแสงสว่างเป็นรัศมีกระจายรอบตัวประมาณ 1 วา หรืออาจจะหาขันหรือภาชนะที่ใส่น้ำสะอาด พร้อมขันหรือภาชนะเล็กที่ลอยน้ำได้เพื่อนำเพชรนาคาหรือเครื่องประดับมีเพชรนาคาวางอยู่ในขันหรือภาชนะที่ลอยน้ำได้อีกทีหนึ่ง

บ่งบอกลักษณะผู้เป็นเจ้าของ


“เพชรนาคา” นั้นสามารถบ่งบอกลักษณะนิสัยหรือข้อติดขัด (วาระกรรม) ของผู้ที่ครอบเป็นเจ้าของ เพราะธาตุกายสิทธิ์นี้ เมื่อได้เลือกผู้ใดบุคคลใด จะเชื่อมกำลังบารมีซึ่งกันและกัน คล้ายดังเป็นดวงจิตเดียวกัน มีพลังอำนาจที่จะบ่งบอกจุดบกพร่องจุดที่จะต้องพัฒนา เพื่อยกระดับภูมิจิตภูมิธรรมและเพื่อแก้ไขสภาวะกรรมที่เป็นอกุศลที่ได้ตามติดมาจากอดีตที่จะส่งผลในชาติปัจจุบันนี้ (ไม่เกินกฎแห่งกรรมที่หนัก)

ที่สำคัญเพชรนาคานี้สามารถ “ขยายโตใหญ่และเล็กลงได้ เกิดความขุ่นใสเปลี่ยนสีได้” ตามระดับภูมิจิตภูมิธรรมของผู้ที่ครอบครองประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมแค่ไหน เพชรนาคามีพลังงานของธรรมชาติที่สะสมประมวลธาตุมานานหลายล้านล้านปีประมาณมิได้ ย่อมสามารถที่จะ “เปิดสภาวะกรรม” ให้รู้ให้เห็นได้ และมีพลังที่สามารถลดกระกรรมหนักให้สลายเป็นเบาได้

แต่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวะกฏแห่งกรรมได้ นอกจาก “จิต” ผู้เป็นเจ้าของต้องเป็นผู้พฤติปฏิบัติในแนวทาง “ศีลอริยะมรรค” ก่อกำเนิดพลัง “โลกุตระ” ยกภูมิจิตยกภูมิธรรมให้จากอบายภูมิมีสัตว์และสัตว์เดรัจฉาน เป็นการ “อโหสิกรรม” กันไป

ที่มา - www.amulet.in.th

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 18/7/09 at 08:22


(Update 18/07/52)

พิสูจน์


ปลาพญานาค : ภาพจาก : www.pixnice.com

วันที่ 26 มกราคม 2544 เวลาประมาณเกือบบ่ายสองโมง มีคนผู้หนึ่งโทรมาคุยเรื่องเพชรนาคาและเรื่องพญานาค (ต้องขออภัยจำชื่อมิได้ แต่มีเบอร์หมายเลขโทรศัพท์ 01 315-5571) คุยกันถึงรูปภาพพญานาคของนายทหารอเมริกัน ที่จับปลาประหลาดได้ที่แม่น้ำโขงฝั่งประเทศลาว ซึ่งจะมีลักษณะลำตัวแบนและยาวมาก ก็ยังมีข้อถกเถียงเป็นอย่างมาก ฝ่ายหนึ่งบอกว่าเป็นปลาโบราณ อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าเป็นเผ่าพันธุ์พญานาคที่จะแสดงให้ชาวโลกรู้ว่ายังมีเผ่าพันธุ์พญานาคมิใช่เรื่องงมงาย

เรื่องจะจริงเท็จเพียงใดก็ไม่ทราบ แต่ทุกวันเข้าพรรษาและวันออกพรรษา ชาวริมแม่น้ำโขงจะเห็นปลาประหลาดพวกนี้ว่ายกันมาเป็นฝูง แล้วก็ว่ายหายตัวไประหว่างที่เห็นตัวนั้น ก็ไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรคงจะกลัวอาถรรพ์ ดังเรื่อง "บั้งไฟพญานาค" ที่ทุกปีของวันออกพรรษาของลาว จะเกิดมีลูกไฟหรือดวงไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากลำน้ำโขงสู่อากาศแล้วหายไปเลย ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้จนกระทั่งบัดนี้ เพราะหาข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้

มาถึงเรื่อง "เพชรนาคา" บุคคลผู้นี้บอกว่าเพชรนาคามิใช่เป็นแก้ว แต่จะเป็นหินที่ใสเป็นแก้ว เพราะเขาได้ทดลองใช้ไฟเผาดู ถ้าเป็นแก้วจะหลอมละลายมีการหดตัวของเนื้อแก้ว ส่วนเพชรนาคานี้เมื่อโดนไฟเผารน จะไม่มีการหดตัวหรือละลายเหมือนแก้ว แต่จะกลายเป็นสีแดงจากการทนความร้อนสูงที่เผาไหม้จนกระทั่งในสุดท้ายแตกออกมาเป็นเสี่ยงเสี่ยง

ผมจึงถามว่าคุณทดลองเผาเพชรนาคาเองใช่ไหม เขาตอบว่าใช่ ผมจึงต้องบอกเขาให้จุดธูปเทียนบูชาเพื่อขอขมาในสิ่งที่กระทำไปแล้ว โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มิเช่นนั้นจะมีโทษในภายหลัง หลังจากที่กำลังบุญดวงชะตาบารมีของตนเองตกต่ำลงมา อาจจะเกิดในลักษณะผีซ้ำด้ามพลอย หรืออาจจะมีเหตุการณ์ที่จะทำให้ดวงชะตาชีวิตหน้าการงานกำลังรุ่งเรืองกับติดขัดไม่สมบูรณ์เกิดสะดุดอยู่ตลอดเวลา เพราะไปลบลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามก็ยังมีผลที่ติดตามมา ( มีเนื้อเรื่องต่อ )

ผลมณีนาคราช


และอีกอย่างที่แปลกประหลาด เมื่อดูก้อนดินที่แข็งคล้ายหินดูจากภายนอกดูแล้วจะมีความรู้สึกว่า เก่าคงมีอายุนานมาก พอนำมากระเทาะดูเนื้อภายในแล้วไม่น่าที่จะมีอายุตามที่คิด แต่ก็คงมีอายุนานมากพอสมควร ซึ่งกลายสภาพแข็งคล้ายหินได้

และที่สำคัญถ้าคิดว่าเป็นการทำขึ้นมา จะทำได้อย่างไรที่จะทำให้ภายในกลวงและมีผงติดรวมกับเพชรนาคาได้ ! คล้ายดังผลมณีโคตรที่มีขนาดตั้งแต่ลูกมะพร้าวกระทั่งเท่าไข่ไก่ ภายในจะมีผงสีเหลืองบางสีขาวบาง และสามารถที่จะละลายน้ำได้ อธิษฐานกินเป็น "ยารักษาโรค" ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ บางก้อนเมื่อกระเทาะออกมานำผงไปละลายน้ำ จะมีบางส่วนที่ไม่ละลาย จะมีลักษณะคล้ายเม็ดกรวดเป็นแก้วขาวใสสัมผัสได้ว่าเป็น ”พระธาตุ” มิใช่จะมีอยู่ในทุกก้อน ( มีเนื้อเรื่องต่อ )

ลูกแก้วเสด็จหรือเพชรนาคา


เป็นวัตถุธรรมชาติที่มีพลังอานุภาพอยู่ในตนเอง ต้องอาศัยระยะเวลานานหลายพันหลายหมื่นปี ในการรวมธาตุทั้งสี่ จนแปรสภาพให้มีความแข็งแกร่งสดใสงดงามเช่นนี้ ได้ดูดซับแร่ธาตุต่างๆ และพลังสุริยันจันทราสะสม จนเกิดมีพลังอานุภาพในตนเอง และมีเทพเทวดารักษามาสถิตย์ดูแลรักษา เพราะเป็นทรัพย์สมบัติของพระศาสนา ที่รอเวลาปรากฏขึ้นมาทำประโยชน์ให้กับพระศาสนา

ซึ่งเทพเทวดาในแต่ละองค์ย่อมมีอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์ และคุณธรรมที่แตกต่างกันไป ก็ยังมีนิสัยในกมลสันดานของจิตอยู่บ้าง คล้ายกับมนุษย์เดินดินธรรมดาอย่างคนเรา ผู้ที่ได้มีวาสนาครอบครอง ควรพึงสังวรระมัดระวังให้ดีอยู่ในศีลในธรรม อย่าให้ออกนอกลู่นอกทาง จะไม่เป็นมงคลแก่ตนเองและครอบครัว เพราะอานุภาพของเพชรนาคาที่จะเปล่งอานุภาพได้เต็มที่นั้น จะต้องประกอบไปด้วยคุณธรรม และบารมีของผู้ที่ครอบครอง
เพชรนาคานั้น

เมื่อนำมาโดนแสงสว่างยิ่งส่องแสงเป็นประกายสวยงามแวววาวจับตามากขึ้น นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก และมีความแข็งแรงทนทานต่อการตกหล่นกระทบกัน เมื่อนำเพชรนาคามาลองกรีดบนแก้วน้ำ จะทำให้แก้วน้ำเป็นรอยกรีด ส่วนเพชรนาคาจะไม่เป็นรอยขูดขีด และที่สำคัญตรงรอยขอบของเพชรนาคาแบบสัณฐานที่ 2 จะมีความมันลื่นไม่สากมือเหมือนรอยเจียระไน หรือขอบรอยอัดของพลอยอัด (มีการทำเลียนแบบแล้วนำเข้าพิธีปลุกเสก)

เพชรนาคานั้นจะมีความพิเศษ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับบุญวาสนาบารมี และการประพฤติปฏิบัติของผู้ที่ครอบครองเพชรนาคา เพราะสามารถที่จะเปลี่ยน “สี” จากสีอ่อนเป็นสีเข้ม หรือเปลี่ยนเป็นสีต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ และเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือใส ตามสภาวะจิตของผู้ครอบครอง

ที่สำคัญไปกว่านั้นสามารถที่จะ “เสด็จ”ไปมาเพิ่มขึ้นได้คล้ายดัง “พระธาตุเสด็จ” คงเคยจะได้ยินคำกล่าวจากผู้เฒ่าผู้แก่หรือครูบาอาจารย์ที่ได้พบเห็น “ลูกแก้วเสด็จ” ผุดมาจากพื้นดิน แล้วพุ่งลอยขึ้นไปเป็นดวงแสงสว่างไสว ลอยวนเวียนไปมาแล้วก็หายไป

แต่ก็มีครูบาอาจารย์บางองค์ที่มีลูกแก้วเสด็จไว้ครอบครอง เช่น พระอาจารย์บรรลังก์ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทยโสธร จ.ยโสธร เป็นศิษย์ "เจ้าคุณโฮม" อดีตเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ สายพระกรรมฐานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้มีลูกแก้วเสด็จมาปรากฏไว้ให้ท่านพระอาจารย์ครอบครองไว้จำนวนหนึ่ง นับว่าเป็นบุญวาสนาบารมีธรรมของพระอาจารย์บรรลังก์

“ลูกแก้วเสด็จ” อาจจะเป็นหนึ่งใน “เพชรนาคา” แบบสัณฐานที่ 3 (กลมเป็นลูกแก้ว) ก็เป็นไปได้ เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพ มีเหล่าเทพเทวดาดูแลรักษา ที่จะนำมามอบให้กับผู้ที่มีบุญวาสนาบารมีธรรม หรือเคยเป็นเจ้าของดังเดิมมาจากในอดีตชาติปางเก่า ( มีเนื้อเรื่องต่อ )

From : jarawoot [3 Dec 2004 10:58]




ภาพจาก : www.oknation.net

ผมไปทำบุญที่ วัดพระธาตุวาโย ฉะเชิงเทรา เขาให้เป็น "หินนาคา" ลูกกลมๆ ปิดทองมา 1 ลูก บอกว่าเป็นหินจากปากถ้ำของพญานาคเมืองวาโยนครเก่านี้ เป็นเมืองบาดาล มีคุณสมบัติป้องกันสัตว์มีเขี้ยวพิษต่างๆ ได้ ป้องกันคุณไสย มนต์ดำได้ ก็นำมาใส่สร้อยคอ บูชาพระบ้างบางครั้งบางเวลา ส่วนใหญ่ก็ใช้บูชาพระ......

ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ "รามสแควร์" ก็มีบางบูธนำเพชรพญานาค ลูกแก้วพญานาค หินนาคา ชื่อทำนองนี้ให้บูชา ผมก็ร่วมทำบุญไปได้มา 4-5 ลูก ชอบสีสวยๆ สีเหลือง สีเขียว สีแดง สีส้ม สีชมภูทำนองนั้น ก็เอามาใส่พานถวายบูชาพระ สวดมนต์ภาวนาก็แผ่เมตตาส่วนบุญกุศลไปให้เจ้าของเขาด้วยทุกครั้งไป ผมก็ไม่มีความรู้อะไร ไม่ได้เชื่อ ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ ต้องการทำบุญแล้วนำของสวยๆ งามๆ แบบอัญมณีมาบูชาพระ เท่านี้เราก็มีความสุขกาย สบายใจแล้ว ไม่คิดอะไรมากไปกว่านั้นครับ.....

From : ธรรมจักร 25 Feb 2005 17:22



เพชรพญานาคมีจริงหรือเปล่า ผมเองก็ไม่รู้ แต่เมื่อวันออกพรรษาที่ผ่านมา ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่จังหวัดหนองคาย อยากไปดู "บ้องไฟพญานาค" ว่าเป็นอย่างไร จะเป็นเหมือนทีวีถ่ายทำหรือเปล่า ในขณะที่เฝ้าดูก็ลองอธิฐานว่า ถ้าโลกนี้มีพญานาคจริงและแสดงความเคราพต่อพุทธศาสนาโดยจุดพลุไฟจริง ก็ขอให้มีพลุไฟปรากฎณเบื้องหน้า

ผลปรากฎว่า รอประมาณ 15 นาที มีบ้องไปพญานาคปรากฎตรงหน้า ประมาณ 10 ลูก โดยขึ้นมาจากผิวน้ำในลักษณะคล้ายปลาเล่นน้ำ (ดูที่วัดไทย โพนพิสัยเวลาประมาณหกโมงเย็นยังไม่มืด) ห่างจากฝั่งประมาณ 15 เมตร

ตกกลางคืนฝันว่าพญานาคคายเลือดมาให้ รุ่งเช้าเดินทางไปเที่ยวฝั่งเวียงจันทร์ เจอก้อนหินสีแดงที่ร้านขายสมุนไพรที่ตลาดเช้า คิดว่าน่าจะเป็นเลือดที่พญานาคคายให้หรือเปล่า เลยซื้อมา คนขายบอกว่าเป็นก้อนหินที่อยู่ภายในหินอีกที่หนึ่ง (แต่เขาทุบออกแล้ว)

เมื่อกลับมาภาคกลางนำไปเจียระไนที่บ่อพลอยเมืองกาญจน์ เป็นรูปหลังเบี้ย หนัก 138.71 กระหรัต เลยนำไปหุ้มทอง ร้านเพชรที่ทำทองหุ้มบอกเป็นโครตโกเมนมีสตาร์ 4 แฉกสีแดงเข้าจนดำ แสงไม่ทะลุ (เหตุการณ์ประหลาดคือก่อนหุ้มทองได้ฝันถึงก้อนหินดังกล่าวมาบอกว่าจะหุ้มแบบใด และบอกค่าหุ้ม 12,000 บาท เลยลองซื้อล็อตเตอรรีแม่ค้าหยิบให้ 6 คู่ ผลปรากฎว่าถูก ได้เงิน 12,000 บาทพอดี )

From : คนภาคกลาง 19-01-2006 13:53:33



ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ก็มีในความครอบครอง 4 ลูกโดยที่ไม่ต้องเสียเงินค่าบูชาเลยแม้แต่บาทเดียว มีลูกสีขาว 2 ลูก สีเหลือง 1 ลูก สีเขียว 1 ลูก ซึ่งลูกสีขาวได้นำไปหุ้มแล้วขึ้นคอ 1 ลูก และถ้าเรายิ่งปฎิบัติด้วยการสวดมนต์หรือนั่งสมาธิบ่อยๆ ลูกแก้วจะมีลักษณะใสแวววาวมากขึ้นเท่านั้น

From : น้องใหม่ 09-09-2006 20:43:51



สวัสดี..ท่านผู้รู้ ดิฉันจะเล่าเรื่องเพชรนาค ให้ฟัง ขณะที่ดิฉันอยู่บ้านกับมารดา 2 คน และคอยดูแลมารดาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ดิฉันก็อยากได้เพชรพญานาค เลยโทรไปหาเพื่อน ก็คิดว่าถ้าได้มาก็ดีนะ พอโทรหาเพื่อนก็ได้เอามาให้จำนวน 2 สี คือ สีน้ำเงิน และสีขาว ท่านผู้ท่านใดเรื่องนี้แล้วช่วยตอบด้วยนะว่ายังไงนะ อธิฐานอยากได้ก็ได้เลยน่ะ

From : ผู้กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ 19-02-2007 12:32:05



มีความรู้มากขึ้น ขอขอบคุณมากครับ ผมก็มี 1 องค์สีม่วง ได้มาจากร่างทรงของปู่ศรีสุทโธ คำชโนด

From : คิม 09-04-2007 18:33:14



หลังจากที่ผมได้เลือดพญานาค (คิดเอาเอง) และเลี่ยมทองแล้วก็แขวนติดตัวเป็นประจำ แต่มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นคือ เมื่อประมาณเดือนเมษายน ปี 49 มีงูเห่าเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน 2 ตัวตัวหนึ่งสีดำสนิท อีกตัวหนึ่งสีเทา ด้วยความตกใจเลยเอาปืนไปยิงตัวสีเทาตาย ตัวสีดำหนีไปได้ หลังจากนั้นมันกลับมากัดสุนัขตายไปตัวหนึ่ง ภายหลังนึกขึ้นได้ว่าเขาคงจะมาอาศัยอยู่ด้วย เลยต้องขอขมาบอกเขาว่าเราตกใจกลัว ถ้าจะมาอยู่อาศัยก็อย่าทำร้ายกันและกันอย่ามาให้เห็นอีก จนปัจจุบันก็ไม่เห็นอีกเลย

เรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่งคือ ต้นมะพร้าวที่ปลูกไว้ อยู่ดีๆ ยอดต้นก็ม้วนเป็นลักษณะคล้ายหัวพญานาค แต่ไม่กล้าไปเล่าให้ใครฟังกลัวคนมาขอหวย ที่เล่ามาเรื่องจริงครับแต่ไม่ทราบว่าเป็นเพชรพญานาคหรือเปล่า เคยนำไปให้ร้านขอยเพชรพลอยที่กาญจน์ดู เขาบอกเป็นทับทิมอินเดียมีสตาร์ 4 ขา จะขอซื้อต่อ แต่ผมไม่ขายเลยงงจนถึงปัจจบันว่าเป็นอะไรแน่ บางคนบอกเป็นโกเมนบางคนบอกเป็นทับทิม สงสัยต้องนำไปให้สถาบันอัญมณีศาสตร์ตรวจพิสูจน์

From : คนภาคกลาง 17-10-2007 14:22:46



เพชรนาคหาง่ายแบบนั้นหรืออันไหนที่มีเยอะ มันก็มักจะไม่ใช่ของแท้นะ

From : *-* 13-11-2007 14:53:25



เป็นความเชื่อเฉพาะส่วนตัวไม่ขอแนะนำเดี๋ยวจะหาว่างมงายนะครับ

From : ฤาษียุคโลกมนุษย์ 18-11-2007 10:41:02



ในโลกเรานี้ ยังมีสิ่งลึกลับพิศดารที่เรายังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่แจ้งอีกมากมายนัก พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหล็กไหล เพชรพญานาค ฯลฯ มีของจริงก็มีของปลอม มีหลวงพ่อทวดก็มีหลวงพ่อเทียบ

ของจริงของดีแท้ คือ จิตของตัวเราเอง ค้นหาให้พบ พบแล้วให้รักษาไว้ให้ดี ทำให้บริสุทธิ์สะอาดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าจิตเราดี ทุกอย่างก็จะดีตามไปทั้งหมด ไม่ว่ากาย-วาจา-ใจ คือ ความคิด-คำพูด-และการกระทำ ทำปัจจุบันให้ดีเข้าไว้(มีสติปัญญา) อดีต อนาคตไม่ต้องสนใจ เพราะมันเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจุบันนั่นเอง....

From : ชัย แสงทิพย์ 19-11-2007 20:33:20



อยากทราบว่า "คนภาคกลาง" ได้นำอัญมณีไปให้กับทางสถาบันอัญมณีศาสตร์ตรวจพิสูจน์แล้วหรือยังว่า ผลเป็นประการใดช่วยเล่าต่อได้ไหมอยากจะทราบถึงข้อเท็จจริง ขอบคุณมาล่วงหน้านะครับ

From : คนชอบศึกษาสิ่งลี้ลับ 23-11-2007 17:40:37



สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง อยากได้มากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร รอท่านมาโปรด

From : ตุ๊ยตุ่ย 25-11-2007 11:32:56



พญานาคมีจริง เพชรพญานาค ก็ต้องมีจริง ในเมืองบาดาลของพญานาคที่หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อุบลราชธานี ท่านลงไปท่องเที่ยวอยู่หลายวัน (ท่านเกี่ยวข้องเป็นญาติๆ กับพวกนี้อยู่) ยังไม่ทั่วเลย เป็นเมืองใหญ่ ลำแม่น้ำโขงทั้งสายจากเมืองจีนเลยไปถึงไหนๆ ยาวเหยียด พระบางองค์อย่างหลวงปู่คำพัน นครพนม ว่ากันว่าท่านเป็นอดีตนาคราชา

ผมได้เพชรพญานาคมาหลายองค์มีหลายสี แต่องค์ใหญ่ที่สุดสีม่วงเข้มตามวันเกิด พุธกลางคืน ไม่สามารถบอกผู้มอบและแหล่งที่ได้มาได้จริงๆ ผู้ที่ได้หรือมีเพชรพญานาค ลูกแก้ว หินพยานาค ฯลฯ ก็ต้องมีความเกี่ยวข้อง กรรมพัวพันกับพวกเขาด้วย มิฉะนั้นก็คงไม่มาอยู่ด้วยหรอกนะ.......

From : ดร.ธรรมยาตรา


ที่มา - www.oknation.net/blog/print.php

◄ll กลับสู่ด้านบน


webmaster - 25/7/09 at 08:11


(Update 25/07/52)

ตามรอยเพชรพญานาค

"เพชรพญานาค..ปาฏิหาริย์ที่พิสูจน์ได้"

โดย...กฤษณะ ไตรลักษณ์


ภาพจาก : www.watcharathath.com

"...หลังจากที่ผมได้รับ "เพชรพญานาค" จากท่านพระชัยภัทรที่ได้เมตตากรุณามอบให้กับผม เป็นวรรณะสีแดงเหลือบดำ สัณฐานหยดน้ำ ทำให้ผมเริ่มมีความสนใจที่มาและที่ไปของเพชรพญานาค ว่ามาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร และหากนำเพชรพญานาคมาขึ้นคอ และนั่งกรรมฐานจิตจะเข้าสู่สมาธิได้เร็วมาก หากนั่งไปได้ระยะหนึ่ง จะมีความรู้สึกเหมือนมีงูขนาดใหญ่เลื้อยอยู่รอบๆ ตนเอง ผมได้เก็บความสงสัยที่มาที่ไปของเพชรพญานาคไว้

เนื่องจากไม่ทราบว่าจะไปหาข้อมูลที่ไหน แต่ในความรู้สึกของตนนั้นมีความรู้สึกว่า อีกไม่นานผมต้องทราบข้อมูลเหล่านี้ และจะมีเพชรพญานาคจำนวนมากจะมาอยู่ที่กลุ่มวัชรธาตุ เวลาผ่านมาได้ระยะหนึ่ง วันที่ 5 มีนาคม 2551 คุณอนันต์สหายธรรมท่านหนึ่งที่หาดใหญ่ได้โทรมาสอบถามในเรื่องของเพชรพญานาค พร้อมกับได้จัดส่งตัวอย่างของเพชรพญานาคที่ยังอยู่ในก้อนหินมาให้ผมตรวจสอบว่าเป็นของแท้หรือไม่

ซึ่งตัวผมเองนั้นขอยอมรับตามตรงเลยว่า แทบจะไม่มีความรู้เรื่องเพชรพญานาคเลย และเท่าที่ทราบมาว่า ณ ปัจจุบันได้มีการทำเพชรพญานาคปลอมออกมาจำหน่ายเป็นจำนวนมาก (เพชรพญานาคปลอมจะมีน้ำหนักเบากว่าเพชรพญานาคแท้ประมาณเท่าครึ่ง และนำมาขีดบนกระจกตัวเพชรพญานาคปลอมจะเป็นรอย แต่เพชรพญานาคแท้จะไม่เป็นรอย) เคยมีสถานีโทรทัศน์ไอทีวีได้ไปถ่ายทำยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ได้ทำเพชรพญานาคปลอมขึ้น จนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ทำให้ความเชื่อถือเรื่องเพชรพญานาคลดน้อยลงไปตามลำดับ

หลังจากนั้นในบ่ายของวันที่ 8 มีนาคม 2551 เพชรพญานาคที่คุณอนันต์จัดส่งไปรษณีย์ได้มาถึงผม ผมรีบเปิดออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น สิ่งที่ผมพบอยู่ภายในกล่องนั้น เป็นก้อนหินขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือ เมื่อลองหยิบแล้วยกขึ้นดู จะมีน้ำหนักเบากว่าหิน หากลองเขย่าดูจะได้ยินเสียงเหมือนมีวัตถุอยู่ภายในก้อนหินนั้น

หากพิจารณาดูให้ดีก้อนหินตัวอย่าง ที่คุณอนันต์ส่งมาให้ตรวจสอบนี้ มีก้อนใหญ่เท่าฝ่ามือสามก้อน ก้อนเล็กประมาณผลส้มเขียวหวานสามก้อน ไม่มีก้อนไหนเหมือนกันเลย รูปทรงก็คล้ายกับหินขนาดต่างๆ ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป และหากพิจารณาให้ลึกลงไปกว่านั้น ไม่น่าจะใช่ฝีมือของมนุษย์ทำขึ้นมา เนื่องจากหินบางก้อนเป็นรูปทรงที่ยากต่อการทำขึ้น

ผมคิดว่าหากคิดจะทำขึ้นคงต้องอาศัยเวลานานมากแน่ ผมจึงลองหยิบหินก้อนใหญ่ที่มีเพชรพญานาคอยู่ภายใน มาทำการเคาะไปรอบๆ โดยใช้ฆ้อนเคาะรอบๆ บริเวณที่เกิดเสียงนั้นเบาๆ เมื่อก้อนหินที่ห่อหุ้มเพชรพญานาคแตกออก ก็จะสังเกตุเห็นผงทรายละเอียดห่อหุ้มตัวเพชรพญานาคเอาไว้

แต่สิ่งที่ทำให้ผมสงสัยมากขึ้น หากสังเกตุดูหินที่ห่อหุ้มเพชรพญานาคไว้ จะมีลักษณะสีแดงเหมือนดินหม้อปนทรายละเอียด คล้ายกับกระถางดินเผา แต่มวลของกระถางจะละเอียดกว่ามาก เลยทำให้ผมเกิดความคลางแคลงใจว่า มันคืออะไรกันแน่

จากตำนานที่ผมเคยทราบมา "เพชรพญานาค" ก็คือ "เกล็ดของพญานาค" นั่นเองที่หลุดออกมาจากร่างแล้ว ท่านได้ใช้ดินและทรายห่อหุ้มไว้ กันไม่ให้ตกสู่พื้นนานเป็นเวลาหมื่นๆ ปี สิ่งที่หุ้มจริงกลับกลายเป็นหิน และภายในหินกลับกลายเป็นพลอยสวย ๆ หลากสี รูปทรงแตกต่างกันออกไป

ผมจึงได้โทรสอบถามคนที่นำเพชรพญานาคมา พร้อมทั้งสอบถามแหล่งที่มาที่ไปของเพชรพญานาค ท่านก็ได้มีเมตตาบอกสถานที่และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อให้กับผม หลังจากนั้นผมก็ได้โทรศัพท์ติดต่อไปทันที ผมขออนุญาตสงวนสิทธิ์ในการออกนาม หลังจากได้พูดคุยกับท่าน ซึ่งท่านได้ยินดีชี้แจงรายละเอียดอย่างไม่ปิดบัง

.......หลังจากได้เคาะรังหินของเพชรพญานาคแตกออกมา แต่ก็มีความสงสัยในเรื่องของเนื้อมวลสารรังหินของเพชรพญานาค เนื้อรังหินมีลักษณะคล้ายกระเบื้องเคลือบดินเผาในแถบราชบุรีมาก จึงทำให้ไม่สามารถสรุปที่มาที่ไปของเพชรพญานาคได้ นอกจากการรอพิสูจน์จากสถานที่จริง
.......หลังจากนั้นผมได้เดินทางไปยังแหล่งที่พบเพชรพญานาค คือ จังหวัดสกลนคร จุดแรกคือบริเวณเนินเขาของสถานที่ สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ ลักษณะของหินจะคล้ายรังหินของเพชรพญานาค พบได้ทั่วไปในบริเวณแถบเขาลูกนั้น พร้อมกับพบร่องรอยการถูกเคาะ เพื่อค้นหาเพชรพญานาคอยู่ทั่วไปในบริเวณนั้น มีทั้งรังหินที่ไม่พบเพชรพญานาค

จะสังเกตได้จากไม่มีโพรงภายในบางก้อนโพรงอยู่ภายใน แสดงว่าพบเพชรพญานาค โพรงภายในแต่ละก้อน จะมีรูปร่างลักษณะต่าง ๆ กันไป บางก้อนมีเป็นรูปดอกบัว บางก้อนเป็นรูปคล้ายดอกไม้ บางก้อนลักษณะคล้ายหยดน้ำ และรูปอื่นๆ

เมื่อเดินไปถึงบริเวณหน้าปากถ้ำ ครั้งแรกผมได้ทำการทำการพิสูจน์ตามทฤษฎีแรก คือไม่ทำพิธีบวงสรวงใด ๆ นอกจากการตั้งจิตอธิษฐานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการจุดธูป พร้อมกับระดมพลกลุ่มวัชรธาตุช่วยกันค้นหาเพชรพญานาค รอบ ๆ บริเวณถ้ำ ใครใคร่เคาะ ใครใคร่เกลี่ยพื้นทรายก็เกลี่ย เพื่อค้นหาเพชรพญานาค

การค้นหาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากสถานที่ภายในถ้ำค่อนข้างคับแคบและมืดมาก บางครั้งต้องแปลงกายเป็นนาคราชจำเป็นเลื้อยเข้าไปตามซอก หรือรูโพรงต่าง ๆ ทำให้ร่างกายได้รับบาดแผลตามร่างกายต่าง ๆ เช่นตามข้อศอก หัวเข่า ศีรษะ พวกเราต้องใช้เวลาค้นหาไม่ต่ำกว่า 3-4 ชม. สรุปว่าต่างก็คว้าน้ำเหลว จึงได้ถอยกำลังออกมานั่งพักเหนื่อยพร้อมตั้งความหวังว่า จะได้พบเพชรพญานาคที่ถ้ำที่สอง

เมื่อเดินไปถึงถ้ำที่สอง เมื่อบรรดาขุนพลแห่งวัชรธาตุ เห็นสภาพถ้ำที่สองแล้ว ต่างก็ตกตลึง ถ้ำแรกที่ว่าโหดสุดๆ แล้ว เมือมาเจอถ้ำที่สอง ช่างแตกต่างกันลิบลับ ถ้ำแรกยังมีโอกาสได้ยืน นั่ง นอนได้บ้าง แต่ถ้ำที่สองนั้น ไม่มีโอกาสได้นั่ง หรือนอนเลย ทำได้อย่างเดียวคือแปลงกายเป็นนาคราช เลื้อยไปมาเท่านั้น

นอกจากนั้นแมลงที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เป็นจำนวนเป็นหมื่น ๆ ตัวเกาะอยู่ตามเพดานถ้ำ ตามพื้นถ้ำมีบรรดาสัตว์โลกผู้น่ารัก ที่บรรดาสาว ๆ ไม่ค่อยจะชอบ เช่น อึ่งป่า กบ คางคก รวมทั้งแมลงป่อง และแมลงมีพิษต่าง ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนัก จะสังเกตเห็นได้ว่าบริเวณนั้นพบการลอกคราบของงูเป็นระยะ ๆ

ในการเข้าถ้ำของหนุ่มสาววัชรธาตุคราวนี้เต็มไปด้วยสีสัน พร้อมซาวเอ็ฟเฟํคเป็นร้องของสาว ๆ เมื่อสัตว์โลกผู้น่ารักมาทักทายเป็นระยะ ๆ ต่างก็สวดแผ่เมตตากันจ้าละหวั่น ใครที่นอนเคาะก็เคาะกันไปใครนอนเกลี่ยก็เกลี่ยกันไป เราใช้เวลาในถ้ำนี้ประมาณ 1-2 ชม.พวกเราก็ต้องถอยทัพกลับมา พร้อมกับความผิดหวังอย่างเต็ม ๆ เมื่อไม่พบอะไรเลย และได้เดินทางกลับที่พักด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง จากการเดินทางและการค้นหาเพชรพญานาค

เช้าวันที่สองพวกเราได้เดินทางไปยังถ้ำแรก แต่ก่อนจะไปผมได้แวะซื้อผลไม้พร้อมธูปเทียน เมื่อไปถึงบริเวณหน้าถ้ำเหล่าบรรดาสมาชิกได้จัดเตรียมเครื่องเซ่นต่าง ๆ เมื่อจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ทางกลุ่มได้ตั้งจิตอธิษฐาน พร้อมสวดมนต์เรียกธาตุต่าง ๆ พร้อมกับแผ่เมตตาให้แก่เหล่าบรรดานาคราชและเทพเทวาทั้งหลายที่ปกปักษ์รักษาบริเวณถ้ำ พร้อมนั่งสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้แก่เทพเทวาอารักข์ และเหล่านาคราชทั้งหลาย

หลังจากเสร็จพิธีแล้วได้ทำการเข้าถ้ำ เพื่อค้นหาเพชรพญานาคอีกครั้ง เมื่อเดินไปไม่ถึงสิบเก้าจากปากถ้ำ คุณสุธารสหนึ่งในสมาชิกวัชรธาตุได้เอามือเกลี่ยพื้นทรายในถ้ำ และได้ส่งเสียงร้องด้วยความยินดี

.......หลังจากถึงที่พักต่างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเ ห็น ที่ตนได้พบเพชรพญานาคอย่างเมามันและเปี่ยมไปด้วยความสุข จากการที่ผมได้สอบถามจากชาวบ้านในแถบนั้น ได้ทราบความจริงเรื่องของสัณฐานของเพชรพญานาคยังสัณฐานแปลก ๆ อีกมากที่เราคาดไม่ถึง เช่น พระขรรค์ และรูปกริซ ขนาดสั้น 2 ซม.จนถึง 24 ซม.

.......รูปคฑา หัวเป็นบัวท้ายเป็นบัว รูปพระปางนาคปรก หรือปางสมาธิ พระพิฆเนศ หรือรูปหลวงปู่ทวด รูปฤษี หรือรูปสัตว์ เช่น คชหงษ์ (ตัวเป็นหงษ์ ปากเป็นงวงช้าง) รูปหงษ์รวมทั้งรูปพญานาคก็มี นับว่าเป็นมหัศจรรย์เกินความคาดฝันของเรา ซึ่งเพชรพญานาคสัณฐานแปลก ๆ เหล่านี้ ถ้ามีโอกาสได้พบทางวัชรธาตุจะได้นำเสนอในเว็บวัชรธาตุในคราวต่อไป


ภาพจาก : www.watcharathath.com

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับ "ลูกแก้วพญานาค" หรือที่เรียกว่า "แก้วจันทกานต์" นับว่ามีความแปลกประหลาดและพิสดารว่า จะปรากฏขึ้นมาในช่วงเข้าพรรษา หรือช่วงออกพรรษา โดยผุดขึ้นมาในบ่อน้ำทิพย์ภายในบริเวณถ้ำ มีขนาดที่แตกต่างกันกันตั้งแต่ขนาดลูกมะยม ผลส้ม จนถึงขนาด 200 กก.

ซึ่งแต่ละองค์ มีสีสันที่แตกต่างกันไป และมักจะปรากฏออกมาเป็นคู่ โดยคู่นั้นจะมีขนาดใกล้เคียงและไม่แตกต่างกันมากนัก หากนำไปให้พระผู้ทรงอภิญญาตรวจสอบ จะพบได้ว่าลูกแก้วนั้นจะพบดวงจิตของนาคาและนาคี คือ พญานาคชายและหญิง ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่าคิดพอสมควร

จากเรื่องรางข้างต้นนี้ผมคิดว่า เรื่องของเพชรพญานาคมิใช่เรื่องที่รอการพิสูจน์ หรือพิสูจน์ไม่ได้ แต่การที่จะไปพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่นั้น การเดินทางไปยังสถานที่นั้น ต้องเต็มไปด้วยจิตใจที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ใช่ไปแบบการลองดีหรือท้าทาย จะทำให้ผู้ที่คิดเช่นนั้น ประสบกับความวิบัติไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

และหากผู้ที่ได้เพชรพญานาค และไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ผิดวัตถุที่เหล่าบรรดานาคราชทั้งหลายได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ เพื่อเป็นกำลังเผยแผ่พระพุทธศาสนา เช่น นำเอาเพชรพญานาคมาให้บูชา และผลกำไรที่ได้จากบูชานั้นมาใช้ประโยชน์ส่วนตน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม บุคคลเหล่านั้นจะพบกับความเดือดร้อนต่าง ๆ นานาไม่จบสิ้น

แต่หากเราท่านได้อัญเชิญเพชรพญานาคมายังประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา โดยไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตน เหล่าบรรดานาคราชทั้งหลายที่ปกปักษ์รักษาเพชรพญานาค จะร่วมแซ่ซ้องโมทนาสาธุการ พร้อมทั้งการเมตตาช่วยเหลือให้เราประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ โดยที่ไม่ฝืนกฏแห่งกรรมของเรา

ผมขอส่งท้ายสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่อง "เพชรพญานาค" ที่ได้กล่าวมาแล้ว ผมว่าควรจะไปพิสูจน์ด้วยตนเอง แล้วจึงค่อยออกมาพูดว่า..ใช่หรือไม่ใช่ ในอนาคตทางกลุ่มพร้อมเมื่อไรจะจัดTrip เพื่อให้ท่านไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง..."

ที่มา - www.watcharathath.com/

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 30/7/09 at 09:25


(Update 30/07/52)

ประสบการณ์ลี้ลับ
“เพชรพญานาค” สมบัตินครบาดาล (ตอนที่ 1)

โดย...สายทิพย์

"......ราวๆ เดือนตุลาคมของทุกปี ช่วงใกล้วันออกพรรษา 15 ค่ำเดือน 11 เรามักจะได้ยินข่าวคราวของ “ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค” ที่เกิดขึ้น ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตจังหวัดหนองคาย ที่ผู้คนรวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนงต่างตั้งตารอเพื่อที่จะสัมผัสกับเหตุการณ์ประหลาดดังกล่าว

.......“พญานาค” มีจริงหรือไม่ น้อยคนที่จะพิสูจน์ได้ เรื่องราวของ “พญานาค” ที่มักถกเถียงกันว่ามีจริงหรือไม่นั้นโดยมากมักเป็นการเล่าจากปากต่อปากโดยไม่มีหลักฐานมาสนับสนุน และส่วนมากผู้ที่พบเห็นมากจะเป็นพระสงฆ์ที่มีฌาณตบะแก่กล้าอยู่ตามถ้ำในป่าลึก

.......เรื่องราวการสัมผัสพบเห็น “พญานาค” ก็ล้วนมาจากประสบการณ์ระหว่างธุดงค์ของ “พระสงฆ์” เหล่านี้ อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (พระอาจารย์ใหญ่แห่งพระธุดงค์กรรมฐาน เรื่องราวการพบพญานาคของหลวงปู่มั่น ปรากฏในหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่นที่เรียบเรียงโดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี หลวงเตี่ยศุภรัตน์ ฐิติธัมมปาโล ฯลฯ

ผู้เขียนเคยไปกราบหลวงเตี่ยศุภรัตน์ พบว่าพระสงฆ์รูปนี้มีดีอยู่ไม่น้อย ท่านเป็นพระใจบุญนิยมทำยาสมุนไพรรักษาโรคแจกญาติโยมประเภทยาหัวใจ เบาหวานและท่านยังนิยมสร้างพระปางต่างๆ ที่แต่ละปางนั้นสวยงามมาก นอกจากนี้ท่านยังชอบศึกษาสิ่งแปลกๆ ชอบสะสมของแปลกที่หาดูยาก

หลวงเตี่ยศุภรัตน์เป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่ยืนยันว่า “พญานาค” นั้นมีจริง ซึ่งที่สำนักปฏิบัติธรรมของหลวงเตี่ย ถ้าใครเคยไปก็จะเห็นซากส่วนต่างๆ ของพญานาคอยู่เป็นจำนวนมากที่ท่านได้มาจากถ้ำที่ “ภูเขาควาย” ทางฝั่งลาว

ท่านบอกว่า “พญานาคเขาอยู่ในสถานที่เร้นลับที่ผู้คนธรรมดายากที่จะเข้าถึง คือมักจะอยู่ในป่าลึกภายในโพรงถ้ำ ยากที่จะหาพบได้ง่าย และภายในสถานที่แห่งนั้นจะมีซากของพญานาคในขนาดต่างๆ นอนตายเรียงกระจายอยู่ ผู้ที่จะเข้าถึงได้ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาและสมาธิกล้าเป็นพิเศษ”

อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ “ซากพญานาค” ที่มีคนเคยพบเล่ากันว่า เคยมีนายพรานจากฝั่งไทยข้ามไปล่าสัตว์ในป่าลึกทางฝั่งพม่าแถบสามเหลี่ยมทองคำได้เดินไปจนพบซากพญานาคขนาดใหญ่เกือบเท่าตู้รถไฟนอนตายอยู่ในซอกผาลึก ซากโครงกระดูกนั้นมีขนาดใหญ่มาก

คณะพรานนั้นยังหักเอาเขี้ยวของพญานาคมาข้างหนึ่ง ยาวประมาณศอกเศษกลับมาเป็นหลักฐานด้วย และได้แบ่งเศษเขี้ยวไว้ให้กับพระที่เคารพ คือพระอาจารย์สีหนาท วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ

ถ้าจะถามว่า “พญานาค” มีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร เท่าที่ผู้เขียนค้นคว้ามานั้น “พญานาค” ก็คือสัตว์กึ่งเทพที่มีจิตบริสุทธิ์ สามารถอยู่ได้ทั้งในภพภูมิของมนุษย์และเทวดา มีอำนาจอิทธิฤทธิ์ที่ดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้ ทั้งยังแปลงกายได้หลายรูปแบบ รูปลักษณ์ของ “พญานาค”

เคยมีผู้เห็นเหตุการณ์ได้ถ่ายทอดให้ฟังว่า “เป็นงูที่มีลำตัวยาว มีขนาดใหญ่มหึมามาก มีเกล็ดมันวาวระยิบระยับ ที่ส่วนหัวมีสิ่งที่คล้ายกับหงอนไก่สีแดง มีลวดลายสีเขียว สีส้มขึ้นอยู่เป็นเส้น ทั้งหัวและลำตัวมีสีดำสนิท ตาโตมีนัยน์ตาสีแดงฉานและมีอำนาจลึกลับแฝงอยู่

ผู้ที่จะสามารถสัมผัสพบเห็นพญานาคได้นั้น จะต้องมีการฝึกฝนทางจิตจนมีสมาธิแก่กล้าหรือมิเช่นนั้นก็จะต้องมีความผูกพันกันมาก่อน ซึ่งก็ได้มีผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า การที่เทพยดาหรือวิญญาณจะมาปรากฏให้มนุษย์เห็นได้นั้น จะต้องทำด้วยเจตนาที่ต้องการผลอย่างใดอย่างหนึ่ง

ไม่ใช่เพราะความบังเอิญอย่างที่ชอบพูดกันว่า เป็นเพราะจูนคลื่นมาตรงกันพอดี จริงๆ แล้วต้องมีเจตนาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นที่ตัง ดังที่ใครคนหนึ่งเคยสัมผัสมาแล้ว และเธอคนนี้ก็มักมีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นในชีวิตไม่รู้จบเสียด้วย


เรื่องราวที่จะชวนผู้อ่านไปสัมผัสครั้งนี้เป็นเรื่องของ "พญานาค" และสมบัติใต้บาดาลที่เรียกกันว่า “นาคะอัญมณี” เพชรพญานาค” ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้เราฟังก็คือ คุณภาณุมาษ วิไลรัตน์ นักวิชาการ พาณิชย์แห่งสำนักเจรจาการค้าทวิภาคี กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ ที่ผู้เขียนเคยนำเรื่องอันเป็นสัมผัสเหนือธรรมชาติ ที่น้อยคนจะได้พบเจออย่างเธอมาลงให้อ่านกันแล้วเมื่อปลายปีก่อน

แต่ก็ยังมีผู้อ่านหลายท่านบอกว่า อยากอ่านเรื่องของเธออีก ซึ่งก็เหมือนเป็นเรื่องแปลกที่ก่อนหน้าที่จะติดต่อกับคุณภานุมาษ ผู้เขียนก็บังเอิญฝันประหลาด ฝันเห็นตัวเองเดินไปในสถานที่แปลกๆ เหมือนเป็นถ้ำที่ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งลึก แล้วในถ้ำนั้นผู้เขียนได้พบซากโครงกระดูกของสัตว์ชนิดหนึ่งในฝัน “จิต” บอกว่าเป็น “ซากพญานาค” นอนตายยาวเหยียด โดยเฉพาะส่วนหัวนาคนี่เห็นชัดและจำได้แม่นยำที่สุด จากนั้นก็ตกใจตื่น เป็นฝันที่ติดตาทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดหรือสนใจเรื่องของ “พญานาค” มาก่อนเลย

หลังจากนั้นราว 1 เดือนจู่ๆ คุณภานุมาษก็ติดต่อมาบอกว่า “มีของดีจะให้ดู”เคยเห็นเพชรพญานาคมั้ย เธอมีทั้งที่อยู่ในหินที่ยังไม่กระเทาะและที่กระเทาะแล้วหลายเม็ด ทั้งเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ เธอบอกว่าได้มาโดยไม่คาดคิดจากพระรูปหนึ่งที่ จ.เพชรบูรณ์ (โดยที่ไม่ยอมบอกชื่อวัดเพราะเกรงว่าหลวงพ่อจะอยู่ไม่สงบ) ซึ่งท่านเข้าไปเอาจากในถ้ำ และยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่จะได้มาเธอก็ได้สัมผัสกับเทพผู้เป็นเจ้าของ “เพชรพญานาค” เหล่านี้โดยตรง ซึ่งก็คือ “องค์พระยานาค” ที่มาปรากฏกายให้เธอเห็นในนิมิต “

คือก่อนที่จะได้ "เพชรพญานาค" มาเนี่ย วันนั้นก็ไปช่วยลูกศิษย์กลับมาก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว เป็นอะไรไม่รู้ก็มานอนที่โซฟาที่บ้านแบบไม่รู้สึกตัว ก็เห็นผู้ชายใส่กางเกงแดง จะเป็นกางเกงหรือโจงกระเบนก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าเป็นสีแดงเดินเข้ามาหา เห็นสายสะพายสองข้างไขว้กันประดับอัญมณีสวยมากเป็นรัศมี ว็อบๆ แว็บๆ แล้วก็มองเห็นที่เศียรท่านนี่แปลก เพราะว่ามีหงอนสีแดงขดขึ้นไป เป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีมาก สวยมากเลย

ในกระแสจิตแรกเห็นก็นึกเลยว่า นี่ต้องไม่ใช่คนธรรมดา พอหลังจากนั้น 2 วันเพื่อนที่เป็นพันเอกอยู่กระทรวงกลาโหมเขาก็โทร.มาบอก “คุณปุ๊..มาดูเพชรพญานาคสิ ผมได้มาองค์นึงสีม่วง ก็ถามว่าได้มายังไง เขาบอกว่าเพื่อนเขาที่ทำรีสอร์ทอยู่ที่เขาใหญ่ได้มา 3 องค์ ก็เลยเอามาให้เขาองค์นึง พี่ก็บอกทำไมไม่เอามาเผื่อองค์นึงล่ะ เขาบอกไม่มีแล้ว”

แต่แล้วจู่ๆ คุณปุ๊เธอก็ได้ “เพชรพญานาค” มาโดยบังเอิญ ซึ่งเธอเล่าว่า

“หลังจากนั้น 2-3 วันที่ก็ขับรถไปเพชรบูรณ์ ระหว่างที่ไปคนเขาบอกว่ามีพระที่มี "เพชรพญานาค" อยู่ที่นี่ลองไปดูสิ เราก็ไปกันโดยที่ไม่รู้จักอะไรเลย ระหว่างที่ไปแปลกมากคืออยู่ๆ ความร้อนของรถก็ขึ้นสูงมาก ก็เลยบอกเพื่อนว่า ”อุ้ย..ทำไมความร้อนขึ้นสูงอย่างนี้ไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องหยุด ทีนี้จะหยุดที่ไหนล่ะ

ตอนนั้นมันมืดตื๊ดตื๋อ ก็เห็นวัดอยู่วัดนึงก็เลี้ยวเข้าไป เห็นชื่อวัดนั้นแล้วยังไม่ใช่วัดที่เราจะไป แต่ยังไงก็ต้องจอดวัดนี้ก่อนแล้วล่ะเพื่อจะเช็ครถ ก็ไปจอดตรงหน้ากุฏิพระรอให้รถมันเย็นแล้วก็ขับออกมาอีก พอขับออกมารถก็มีความร้อนขึ้นมาอีกแล้วพอถามชาวบ้านถึงหลวงพ่อที่ว่า ชาวบ้านก็บอกว่าวัดนั้นแหล่ะที่เราเอารถเข้าไปพักน่ะ

พระองค์นั้นอยู่ที่นั่น ก็เลยต้องกลับมาวัดเดิม พอกลับมาความร้อนก็ลดลงอีก แปลกมั้ย ก็จอดรถลงไปพบท่าน ในใจก็คิดว่า เอ๊..เราจะได้ “เพชรพญานาค” มั้ยเพราะทุกคนบอกว่าไม่มีหรอก ไม่ต้องหา ปรากฏว่าพอเข้าไปในกุฏิท่านก็เห็น “เพชรพญานาค” เป็นลูกแก้ว 2 ลูกสีเขียวและสีชมพู

หลวงพ่อบอกว่า 2 ลูกนี้ ท่านจะเอาไว้บนหลังคาโบสถ์ คือท่านกำลังจะสร้างโบสถ์ พี่ก็เลยบอกว่าถ้าท่านมีอีกนะให้มาบอก ก็ให้เบอร์โทร.ท่านไว้ แต่ตอนจะกลับท่านก็บอกว่า โยมจะเอาลูกแก้วสีเขียวก็เอาไปสิ ท่านว่าอย่างนี้เราก็งง เพราะตอนแรกท่านห๊วง..หวง ก็เลยเอามาพร้อมกับหินที่ยังไม่ทุบอีก 2 ก้อนที่ภายในมีเพชรพญานาคอยู่”

เมื่อกลับก็ยังมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในที่ทำงานของคุณปุ๊ ซึ่งเธอเล่าให้ฟังว่า
“พอกลับมาทำงาน ขณะทำงานวันนั้นรู้สึกง่วงทำให้เคลิ้มหลับ ฝันว่าตัวเองเดินอยู่ใต้พื้นน้ำน้ำใสมาก มีหินสวยแล้วมีพญานาค 2 ตัวเลื้อยตาม ที่นั่นพี่รู้สึกลึกๆ ว่าเหมือนกับเราเคยไป มันเป็นเมืองสวยงามมากอยู่ใต้บาดาล ที่นั่นเย็นมาก

แล้ววันนั้นก็แปลก..ที่โต๊ะทำงานพี่ ขนาดผู้อำนวยการเดินผ่านมายังบอก โต๊ะคุณปุ๊ทำไมหอม หอมดอกอะไร กลิ่นนี้หอมแปลกๆ ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนเลย “พี่ก็ว่า เนี่ย..คือกลิ่นหอมของเพชรพญานาค ก็เลยเอาให้ท่านดู เป็นหินที่มีเพชรฯ อยู่ข้างในยังไม่ได้ทุบ ก็เขย่าให้ท่านดู ทุกคนหยิบไปดม เออ..มันหอมจริงๆ

แล้วพอกลับถึงบ้าน 3 ทุ่ม พระที่พี่ไปหาท่านก็โทร.มาบอกให้ไปเอาหืนที่มีเพชรพญานาค ท่านเข้าไปเอามาได้ 30 ก้อน และลูกศิษย์ก้นกุฏิท่านก็กำลังจะมาเอาคืนนี้เหมือนกัน ถ้าพี่จะเอาต้องไปเดี๋ยวนี้เลย ให้ออกรถ ตี 1 พี่ก็ไปกับเพื่อนผู้หญิงคนนึงเป็นพันเอกหญิง ก็ไปด้วยกัน แล้วทางที่ไปก็ทุรกันดารน่ะ วิ่งเร็วไม่ได้ อันตราย ถึงที่นั่น 7 โมงเช้าพี่ก็เอากลับมาบ้าน มาถึงบ้านท่านให้บูชา

โดยทำกรวยใบตอง ให้พับไม่ให้เย็บหรือตัดเพราะบารมีเราจะไม่เกิดทำ 5 กรวย กรวยนึงใส่ดอกดาวเรือง 2 ธูป 2 เทียนขาว 2 ใครที่มีเพชรพญานาคแล้วจะบูชาเนี่ย ครั้งแรกควรทำอย่างนี้ บูชาด้วยผลไม้ 9 อย่าง อย่างละ 3 ลูก ปักธูป 16 ดอก แล้วเขาบอกว่า “เพชรพญานาค” ที่ใครก็ตามได้มา คือเมื่อได้หินมาก่อนผ่าให้อธิษฐานก่อนว่าอยากได้สีอะไร ส่วนมากก็จะได้สีตามจิตที่อธิษฐาน”

คุณภาณุมาษได้บอกถึง “พลังพิเศษ” ที่แฝงอยู่ในหินที่มี “เพชรพญานาค” อีกว่า “หินแต่ละก้อนจะมีเพชรพญานาคเพียงเม็ดเดียว แต่เม็ดเล็กเม็ดใหญ่เราบอกไม่ได้ บางอันเป็นหินก้อนใหญ่พอเคาะออกมาเม็ดนิดเดียว แต่บางอันหินก้อนนิดเดียว เคาะออกมาเม็ดเบ้อเริ่มเลย

แล้วมีพวกที่เขานั่งสมาธิเก่งๆ จับพลังได้ เขาบอกว่าทรายที่อยู่ในก้อนหินที่หุ้ม "เพชรพญานาค" เหล่านี้มีพลังสูงมากเลย มีคนที่เขาส่องพระเขามาส่อง เขาบอกทรายพวกนี้เหมือนกับของวิเศษ มันเป็นแร่ที่เขาไม่เคยเห็น มันเหมือนมีรังสีเป็นประกาย แม้แต่เศษหินที่ห่อหุ้มเนี่ย.. ถ้าเอาไปบูชาก็ช่วยให้ทำมาหากินดีขึ้น แต่เดี่ยวนี้มีคนทำปลอมแล้วนะ แต่ของปลอมนี่จะเบา แล้วไม่มีหยดน้ำอยู่ข้างใน ของจริงแม้เม็ดนิดเดียวก็ยังมีน้ำหนัก มีหยดน้ำอยู่ข้างในกลิ้งได้

เพชรพญานาคในสายของพี่นี่ เขาเอามาจากถ้ำตั้งแต่ พ.ศ. 2529 แต่ที่เขาเอามาแพร่หลายทุกวันนี้ที่มีข่าวนั้น เขาเริ่มขุดได้เมื่อปี 2539 จากเทือกเขาภูพาน จ.สกลนคร ซึ่งตอนนี้หลวงพ่อท่านก็ปิดเขาแล้ว ท่านไม่ให้ไปเอา ก็เลยปิดเขาแถวนั้นทั้งหมด เพราะมีบางคนไปเอาแล้วทำเป็นธุรกิจไปเลย

ทีนี้ที่อาจารย์ทางสายพี่ไปเอา ท่านเอามาจากถ้ำในจังหวัดขอนแก่น เป็นสมบัตินครบาดาลของ “ปู่สุทโธทนะนาคราช” ท่านเป็นกษัตริย์ของบรรดานาคราชทั้งหมดเลย ซึ่งสายที่ได้เพชรฯ มาทั้งหมดก็เป็นเพชรฯ ของบริวาร “ปู่สุทโทธนะ”ซึ่งเป็นพญานาคที่เป็นใหญ่อีก 8 องค์ และที่เอามานี่ทั่วๆ ไปเป็นของ “พญาศรีสุทโธ” คือ 1 ใน 8 ที่เป็นองครักษ์ของ “ปู่พญาสุทโทธนะนาคราช”

((( โปรดติดตาม ตอนที่ 2 )))



ภูเขาควาย ส.ป.ป.ลาว


ภาพจาก : www.oknation.net/blog/chulaluck

ภูเขาควาย เป็นเทือกเขาใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำโขงในประเทศลาว ห่างจากตัวนครเวียงจันทร์ราว 70 กม. หลายๆ ท่านคงเคยได้ยินเรื่องของภูเขาควาย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นแหล่งนับพบ และเรียนวิชาของเหล่าผู้ทรงอภิญญาและวิทยาคมทั้งหลาย เฉกเช่นเดียวกับ "สำนักตักศิลา" ในชมพูทวีปอดีต หรือประเทศอินเดียในปัจจุบัน

แม้แต่ในปัจจุบัน "ภูเขาควาย" มีถ้ำคูหาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนไปมาอย่างลึกลับ เงียบสงบ เป็นสถานที่ปรารถนาของนักปฏิบัติหลายๆ ท่านได้มีโอกาสไปฝึกที่แห่งนี้ นอกจากนี้มีผู้อัญเชิญเพชรพญานาคกล่าวว่า ภูเขาควายเป็นแหล่งที่พบเพชรพญานาคอีกแหล่งใหญ่อีกแห่งหนึ่ง

แก้วพญานาค


แก้วมณีนาคราช หรือ “ลูกแก้วพญานาค” หรือบางตำราที่เรียกว่า “แก้วจันทรกาล” เป็นดวงแก้วประจำกายของพญานาค และเกิดขึ้นด้วยบุญญฤทธิ์ของพญานาคนั้นๆ การปรากฏของดวงแก้วประจำกาย มิได้เกิดขึ้นพร้อมการจุติแบบโอปปาติกะของพญานาค
แต่จะบังเกิดขึ้นในวัยอันควร เมื่อถึงเวลาที่พญานาคนั้นโตเต็มที่ ก็จะต้องไปจำศีลเข้าฌาณสมาบัติ เพื่อชำระกายใจให้บริสุทธิ์ เตรียมรองรับการปรากฏของดวงแก้วมณีประจำกายแห่งตน คล้ายกับการปรากฏขึ้นของดวงแก้วมณีแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ

ที่มา - http ://templeshenjan.blogspot.com

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 5/8/09 at 08:47


(Update 05/08/52)

ประสบการณ์ลี้ลับ
“เพชรพญานาค” สมบัตินครบาดาล (ตอนที่ 2)

โดย...สายทิพย์

สถานที่ค้นพบ "เพชรพญานาค"

ภาพจาก www.watcharathath.com
......ที่มาแห่งการค้นพบ เพชรพญานาค มักพบอยู่ตามถ้ำในป่าลึก เช่น ที่ถ้ำทางภาคอีสานในจังหวัดขอนแก่น หรือถ้ำในเทือกเขาภูพาน จ.สกลนคร ที่เชื่อกันว่าคือสถานที่อันลี้ลับเป็นที่อยู่ของพญานาค และเป็นนครบาดาลที่มีถ้ำอันศักดิ์สิทธิ์

.......คุณลักษณะของ เพชรพญานาค นั้น จะมีลักษณะเป็นก้อนพลอยคล้ายแก้ว มีผิวเรียบ กลมมนมีความแกร่งสูง เจียระไนได้ยาก มีหลายขนาดหลายสี แต่ละสีจะมีคุณสมบัติสำหรับผู้ครอบครองที่แตกต่างกันไป

.......เชื่อกันว่า "เพชรพญานาค เป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุเป็นหมื่นหรือพันๆ ปี และมีเทพรักษาเช่น "พญานาค" หรือ "ฤาษี" และมีชื่อเรียกหลายชื่อ คือ เพชรพญานาค, เพชรนาคา, แก้วมณี, มณีนาคราช, นาคะอัญมณี ฯลฯ"

การค้นหา เพชรพญานาค ซึ่งเป็นสมบัติของพญานาคนั้น คุณภาณุมาษบอกว่า ผู้มีบุญเท่านั้นจึงจะค้นพบและได้มาไว้บูชา เพราะของสิ่งนี้จะอยู่กับคนใจบุญ มีศีลธรรมเท่านั้น และแม้จะรู้ว่ามีเพชรพญานาคอยู่ในที่แห่งใด ถ้าเข้าไปเอาโดยที่เทพรักษาไม่อนุญาต เทพก็จะดลบันดาลให้ผู้บุกรุกมีอันเป็นไปต่างๆ นานา

“..ก็เคยมีชาวบ้านขึ้นไปขนหินพญานาคลงมา ไปกันตั้งหลายคนก็เอาไม่ได้ เพราะมีพญานาคท่านมาปิดปากถ้ำไว้ คือเมื่อไปถึงก็เอาไม่ได้ เพราะเข้าไปแล้วเจองูใหญ่มาก ใหญ่เท่าห้อง ฯ นึงเลยมาขดขวางปิดปากถ้ำ..”

เวลานี้ที่มีข่าว “เพชรพญานาค” ออกมาเผยแพร่นั้น คุณปุ๊บอกว่า
“..เหตุที่เพชรพญานาคซึ่งเป็นสมบัติของวังบาดาลออกมาเผยแพร่ในขณะนี้ เป็นเพราะปู่พญานาคท่านมาบอกว่า ท่านต้องการที่จะทำบุญสร้างวัดด้วย ก็เลยให้เอาของพวกนี้ออกมาได้ และคนที่ได้เพชรพญานาคมาจากการทำบุญเนี่ย พวกนี้จะได้อานิสงค์ตามที่อธิษฐานขอ ซึ่งในหินพญานาคแต่ละก้อนก็จะมีเพชรพญานาคเพียงเม็ดเดียว คนที่จะได้เพชรสีอะไร ขึ้นอยู่กับจิตที่ตัวเองอธิษฐาน แล้วก็แปลกที่มันจะออกมาเป็นสีตามนั้น..”

สำหรับคนที่จะได้ครอบครอบเพชรพญานาคนั้น คุณปุ๊บอกว่าจะต้องมีลางสังหรณ์บอกมา โดยอาจจะเคยเวียนว่ายตายเกิดเกี่ยวเนื่องกับเมืองบาดาลมาก่อน

“เพื่อนคนที่ชักนำให้พี่รู้จักเพชรพญานาคคือพันเอกดิศัยเนี่ย คนนี้เขาก็มีอะไรแปลกๆ ในตัวคนนี้นะ ถ้าเมาใครถามอะไรตอบถูกหมด เขายังบอกพี่เลยว่าพี่จะต้องได้เพชรพญานาคมาเยอะแยะ เพราะมันเคยเป็นของๆ พี่ๆ

แล้วเพชรพญานาคนี่ก็มีทั้งหมด 9 สีนะ แต่สีที่หายากที่สุดมีอยู่ 3 สีคือ "สีเขียว สีน้ำเงิน และสีฟ้า" โดยส่วนมากเมื่อได้มาเขาจะเอามาเลี่ยมให้ท่านคุ้มครอง มีเมตตา โชคลาภ เพราะเพชรพญานาคทุกเม็ดมีเทพรักษา สมบัติพญานาคที่เห็นเป็นรูปร่างกลมมนหรือยาวรีต่างๆ ที่ภาณุมาษได้มานี้จริงๆ แล้ว เธอมีนิมิตถึงที่มาที่แท้จริง จากการบอกเล่าของ “ปู่พญาสุทโทธนะนาคราช” ว่า

แท้จริงเพชรๆ เหล่านี้ก็คือ เกล็ดของท่านที่หลุดร่างแล้ว ท่านได้ใช้ดินและทรายห่อหุ้มไว้กันไม่ให้ตกสู่พื้น นานเป็นเวลาหมื่นๆ ปีสิ่งที่ห่อหุ้มจึงกลับกลายเป็นหิน และภายในหินกลับกลายเป็นพลอยสีสวย สีของ "เพชรพญานาค" มีสีแดง เขียว ชมพู ฟ้า คราม น้ำเงิน เหลือง ขาวและม่วง แต่ละสีจะมีพลังและอานุภาพความหมายที่แตกต่างกัน



ความหมายแต่ละสี

สีขาวใส เกิดจากนาคราชที่บำเพ็ญเพียรถือศีลปฏิบัติธรรมมานานจนจิตสมาธิแก่กล้า มีความสะอาดค่อนข้างบริสุทธิ์หมดจด มีฤทธิ์มีพลังอันเข้มข้น แต่หนักไปทางเมตตา และปล่อยวาง ผู้ใดมีไว้ครอบครองจะส่งเสริมในด้านพลังสมาธิ จะมีสมาธิจิตดี สงบและมั่นคง

อันก่อให้เกิดปัญญาญาณขึ้นตามลำดับ มีความก้าวหน้าในทางธรรม เรียกว่าเป็นพลังธรรมทางบริสุทธิ์และให้ผลในทางเมตตามหาลาภทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ดึงดูดใจผู้คนรอบข้างได้อย่างดี ใครได้อยู่ใกล้แล้วจะรู้สึกสบายใจ ผู้ครอบครองสมควรที่จะเป็นนักปฏิบัติธรรม และต้องสร้างบุญมาพอสมควร มีความใจกว้างพร้อมเสียสละ

สีแดง เป็นสีแห่งฤทธิ์อำนาจ มีตบะเดชะอันทรงพลัง เป็นที่เกรงขามแก่ผู้ที่ได้พบเห็น ใช้ในทางเสริมสร้างบารมีเกิดกำลังใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีความองอาจน่ายำเกรงยิ่งขึ้นทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง และมั่นใจแน่วแน่ในความคิดอ่านของตน เพราะสีแดงนี้เป็นสีของนาคราชในวรรณะหัวหน้าระดับผู้นำ เปรียบเสมือนผู้นำทางทหารการปกครอง เป็นอัศวินปกป้องรักษาเมืองบาดาล ย่อมมีฤทธิ์อำนาจมากเป็นพิเศษ

ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบในทางฤทธิ์ทางพลังของฌานสมาธิ มีความเป็นผู้นำซึ่งจะช่วยส่งเสริมสง่าราศี แต่ผู้นั้นต้องเป็นผู้มีคุณธรรมในใจด้วย เพราะมีผลในด้านปกปักรักษาป้องกันแคล้วคลาด ช่วยให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ได้ด้วย จะได้ไม่เอาไปใช้ในทางผิดๆ

สีชมพู ส่วนใหญ่เกิดจากนาคราชเพศเมีย จึงเหมาะสำหรับผู้หญิง เพราะจะเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงกันข้าม เนื่องจากมีอนุภาพในทางเมตตามหานิยม สร้างเสริมสง่าราศีมีความโดดเด่นสะดุดตาของผู้ที่ได้พบเห็น ดึงดูดใจผู้อื่นได้ดีและยังบันดาลด้านโชคลาภชื่อเสียง เกียรติยศเงินทอง

ยิ่งถ้าเป็นสีชมพูเข้มออกหวาน ซึ่งค่อนข้างหายากด้วยแล้วจะยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากขึ้น ชนิดที่อาจเรียกได้ว่า รักจนหลงก็ว่าได้ เปรียบเสมือนนางพญาผู้งดงาม อันเป็นที่พึงปรารถนาแก่คนทั้งหลาย ใครเห็นใครรัก ใครเห็นใครหลง เพราะมีพลังดึงดูดสารพัดในทางที่ดีได้อย่างประหลาด เหมาะกับคนที่ต้องการความเด่นเป็นสง่า มีเสน่ห์เรียกความสนใจจากผู้คนรอบข้าง

สีม่วง มีพลังหนักไปในทางดึงดูดทรัพย์และมิตรสหาย ช่วยสร้างเสน่ห์อันล้ำลึกน่าพึงปรารถนา น่าสนใจเป็นที่รักของคนรอบข้าง รอบตัว บางคนเข้าใจผิดคิดไปว่า สีม่วงเป็นสีของแม่ม่ายจึงไม่กล้าใช้ แต่ความจริงแล้วเป็นสีที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายทุกด้าน เข้าไหนเข้าได้และเป็นที่เกรงใจของทุกคนที่ได้พบเห็นพูดคุย จนเกิดความนิยมยกย่องในทางที่ดีเสียอีก ผู้ที่คอบครองก็จะมีใจเป็นสุขสดชื่นท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดีในทุกแห่งทุกที่ ใจของตนเองก็จะสงบเย็นไปด้วย ป้องกันคุณไสย ภูตผีปีศาจ

สีเหลือง มีตั้งแต่สีเหลืองอ่อนจนกระทั่งสีเหลืองเข้าอย่างบุษราคัมหรืออำพัน เป็นสีที่ดึงดูดใจ นำโชคนำลาภได้ดีเช่นกันตามกำลังความเข้มของสี ยิ่งเข้มยิ่งดีมีเมตตามหานิยมในตัวและเป็นสีแห่งการบำเพ็ญ กล่าวคือผู้ที่มีไว้จะชอบที่จะทำบุญให้ท่าน สนใจธรรมะและชอบช่วยเหลือผู้อื่น

นอกจากจะดึงดูดโชคลาภเงินทองแล้ว ก็จะเกิดความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีความราบรื่นในชีวิต ปราศจากอุปสรรค เพราะมีผู้ยินดีช่วยเหลือเกื้อกูล สีเหลืองเป็นสีแห่งการพึ่งพาและการต้อนรับช่วยเหลือ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตการงานราบรื่นสำเร็จและสมหวังในทรัพย์สินเงินทองตามแต่จะอธิฐานใช้ บุคคลโดยทั่วไปจึงมีไว้ได้ตามใจปรารถนา

สีเขียว มีความเกี่ยวเนื่องกับพวกเทพ พรหม และวิญญาณ อันมีฤทธิ์ มีพลังทางจิตเป็นแก้วสารพัดนึกอย่างดีตามแต่จะอธิฐานขอ เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะเมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลือ อาจใช้เป็นสื่อทางจิตในด้านการติดต่อสื่อสาร กับพวกที่อยู่ในโลกทิพย์หรือภพภูมิต่างๆ ด้วยดีเพราะสีเขียวของเพชรพญานาคนี้จะช่วยในด้านสมาธิจิตด้วย มีเดชตบะอำนาจ ทำให้จิตสงบรวมลงเป็นสมาธิได้เร็วมีความมั่นคงไม่ค่อยหวั่นไหวโดยง่าย ทั้งยังช่วยคุ้งครองเกิดความแคล้วคลาดปลอดภัยอีกด้วย

สีเขียวอ่อน เขียวตองและเขียวเข้มแบบเขียวไข่กา ยิ่งเข้มยิ่งมีพลังฤทธิ์มาก ทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ แม้กระทั่งปัญญาความรู้เปรียบเสมือนอำมาตย์ราชครูที่ปรึกษาย่อมมีความรอบรู้และขมังเวทย์เก่งในทุกด้าน จะพูดจาก็เป็นที่น่าเชื่อถือ ทำให้เกิดความเคารพและก่อให้เกิดศรัทธาแก่ผู้ที่ได้ยินด้วยบารมีธรรม

สีฟ้า และ สีน้ำเงิน ถือเป็นสีของวรรณะกษัตริย์ ราชาผู้นำผู้ปกครองระดับสูง ผู้มีอำนาจวาสนาและบารมีอันยิ่งใหญ่หรืออยู่ในวงวารมีเชื้อราชวงศ์ ต้องสร้างสะสมบุญญาธิการและบารมีมานาน ผู้ที่มีบารมีสูงเท่านั้นจึงจะเป็นเจ้าของครอบครองได้และต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมในใจเป็นปกติ

มิฉะนั้นอาจต้องแพ้พ่ายเกิดความอับเฉาแก่ชีวิตได้ ผู้ที่เหมาะสมได้มีไว้ครอบครอง จะช่วยส่งเสริมทั้งเดชทั้งอำนาจ ป้องกันศัตรูจากทิศทั้งแปด เป็นที่เคารพเกรงกลัวแก่คนทั่วไป จะเกิดมีขุมทรัพย์มหาศาลมาเสริมสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นที่พึ่งแก่คนอื่นได้ ตลอดจนช่วยให้มีอายุยืนยาว เพราะเทพรักษาคุ้มครองทั้งยังเป็นมงคลแก่ตนเอง เกิดความคล่องตัวในทุกเรื่องอีกด้วย

สีส้ม ป้องกันอาวุธ (ในตอนนี้ จะขอเพิ่มเติมข้อมูลจาก "เว็บสุวรรณาคา" มาเล่าเสริมอีกว่า สีส้ม จะทำให้ผู้ที่ครอบครองมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน สีขาว, สีเหลือง, สีส้ม, ค่าเท่ากับ ลก ฮก ซิ่ว

นอกจากนี้ "เพชรพญานาค" หรือ "วัชรธาตุเพชรนาคา" ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ และคุณสมบัติพิเศษในทางรักษาโรคภัยต่างๆได้อีก เช่น
สีขาว รักษาเรื่องหลอดเลือดตีบ ความดัน
สีน้ำเงิน รักษาเรื่องไวรัส มะเร็ง แบคที่เรีย
สีเขียว รักษาเรื่องปวดเมื่อย เลือดไม่วิ่ง ปรับธาตุ
สีแดง รักษาเรื่องตับ เม็ดเลือด
สีม่วง รักษาเรื่องมะเร็งลำไส้
สีเหลือง รักษาเรื่องแบคทีเรีย ท้องเสีย
สีฟ้า รักษาเรื่องไวรัส


การบูชา ก็ไม่ยาก กล่าวคือ เมื่อเสร็จสิ้นจากการใช้ประดับเรือนกายหรือไม่ได้นำติดตัว ก็ให้นำ "เพชรพญานาค" นั้นมาวางไว้ในพานเล็กๆ หล่อด้วยน้ำ ไว้ในที่อันควรบูชาด้วยน้ำและผลไม้ เมื่อจะหยิบนำมาใช้ก็ให้กล่าวอาราธนาอัญเชิญด้วยภาษาธรรมดา ในทางที่เป็นมงคลแก่ตนเอง

หากจะไปทำบุญก็ขอให้เขาไปร่วมอนุโมทนาด้วย กลับมาก็อย่าลืมอุทิศบุญกุศลให้เขาด้วย ทั้งพวกเทพและพญานาคนี้ จะยินดีและชอบบุญเป็นพิเศษ เพราะช่วยให้เพิ่มความเป็นทิพย์ และพลังความบริสุทธิ์เพชรพญานาคหรือแก้วมณีนาคราช จึงพอใจที่จะไปอยู่กับคนดีมีศีลธรรม และชอบทำบุญสร้างกุศล เพราะดีต่อดีจะช่วยส่งเสริมกันให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ส่วนคนชั่ว จิตใจโลภ ใจทราม เห็นแก่ได้แต่ตัวละก็ ถึงได้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะจิตใจไม่บริสุทธิ์)

((( โปรดติดตาม ตอนที่ 3 )))


webmaster - 11/8/09 at 08:56


(Update 11/08/52)

ประสบการณ์ลี้ลับ
“เพชรพญานาค” สมบัตินครบาดาล (ตอนที่ 3)

โดย...เอกณัฐยศ พานิชย์ไพศาลกูล


เหตุที่ได้พบ "เพชรพญานาค"

เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ประมาณปี 2538 เป็นช่วงที่ "เพชรพระพญานาค" กำลังดังมาก มีอยู่คราหนึ่งผู้เขียนและแฟนได้ไปเจอสำนักปฎิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ได้โชว์และจำหน่ายเพชรพระพญานาค ซึ่งมีหลายขนาด หลายสี เพื่อเอาเงินมาใช้จ่ายในโรงเจ เมื่อเห็นเพชรพญานาคครั้งแรก ก็เกิดความอยากได้ขึ้นมาอย่างจับใจ ช่างเป็นอัญมณีที่สวยงามมาก และได้เวียนมาที่นี่หลายครั้งหลายคราด้วยกัน

จนกระทั่งในครั้งหลังได้พบกับอาจารย์ใหญ่ของที่นี่ ซึ่งก็คือ อาจารย์ศักดา สกุลพนารักษ์ ความจริงแล้วท่านอาจารย์เป็นคนใจดีมาก ใครต้องการอะไรหรือขออะไรก็ไม่เคยขัด มีแต่ให้กับให้ มีหลาย ๆ ท่านที่มาขอเพชรพญานาคจากท่าน ท่านก็ให้ จนกระทั่งช่วงหลัง ๆ ท่านต้องติดป้าย "งดขอเพชรพญานาค"

ด้วยความที่ผู้เขียนอยากได้มาก จึงเข้าไปคุยกับอาจารย์ศักดิ์ดา และถาม “ผมและแฟนพอจะมีบารมีได้เพชรพญานาคหรือไม่ ?“

หลังจากนั้นอาจารย์ศักดิ์ดาก็เข้าสมาธิ ประเดี๋ยวเดียวก็ลืมตา แล้วบอกว่า “มี “ และก็นัดให้มารับเพชรพญานาคในอาทิตย์หน้า เมื่อถึงวันนัดผู้เขียนได้เพชรพญานาคสีเขียว ส่วนแฟนก็ได้เพชรพญานาคสีเหลือง เราทั้งคู่ดีใจมาก.... และได้รับทำบุญกับอาจารย์ศักดิ์ดาด้วย หลังจากวันนั้น ได้พบกับพรรคพวกซึ่งเขาก็ได้แบ่งให้เพชรพญานาคมาหลายเม็ด

ประสบการณ์ในขณะนั่งสมาธิ

เมื่อนำเพชรพญานาคมาวางในมือ จะรับรู้ถึงคลื่นพลังความร้อนที่แผ่ออกมา มีอยู่ครั้งหนึ่งได้ไปพบเพื่อนรุ่นพี่ที่ ร.พ. รามาธิบดี พี่คนนี้ทำงานด้านฝ่ายวิจัยของ ร.พ. วันนั้นไม่ทราบว่าเขากำลังทดลองอะไรในห้อง ที่เห็นก็เป็นหลอดไฟสีม่วง ๆ ด้วยความแปลกใจที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงได้จ้องตาไม่กระพริบ พี่เขาเห็นก็เลยบอกว่า อย่าไปมองแสงนั่นจะทำให้ตาเสีย ตอนนั้นกลัวมาก ๆ เลยถ้าต้องเสียตาหรือตาบอด

คืนนั้นหลังจากที่สวดมนต์ไหว้พระเสร็จ ก็เริ่มนั่งสมาธิโดยเอาเพชรพญานาควางในมือ และก็เริ่มอธิษฐานขอให้สิ่งที่อยู่ในเพชรพญานาคช่วยรักษาตาด้วย

พอนั่งสมาธิไปได้สักพักหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่าง เหวี่ยงเป็นวงกลมล้อมรอบตัว พอเหวี่ยงมาถึงด้านหน้า ก็จะเป็นแสงสว่างวาบมาสักแพล็บหนึ่ง หมุนอยู่อย่างนี้หลายครั้งมาก จนกระทั่งหยุดหมุน แล้วก็เลยออกจากสมาธิ เมื่อไปสอบถามผู้รู้ ก็ได้ความว่า สิ่งที่อยู่ในเพชรพญานาคมาช่วยรักษาตา..



เขตหวงห้ามเกี่ยวกับเรื่องพญานาค

.....ท่านที่เดินทางผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์บ่อย ๆ อาจเคยเห็นปั๊มน้ำมันร้างแห่งหนึ่ง มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีทั้งบ้านพักเจ้าของและสำนักงาน มีมินิมาร์ท อีกทั้งทำเลก็ไม่เลวนัก แต่ทำไมผู้เป็นเจ้าของจึงเลิกกิจการปล่อยทิ้งทรุดโทรมไว้เช่นนั้น แรกเริ่มเดิมทีนั้น บริเวณแถบดังกล่าวยังไม่ค่อยมีผู้ไปจับจองทำประโยชน์นัก มีสภาพเป็นป่าละเมาะกลาย ๆ

.......ต่อมาเมื่อความเจริญขยายตัวขึ้น ผู้คนก็มองหาที่ดินทำมาหากิน แล้วก็เลยมาครอบครองที่บริเวณนี้ เพื่อใช้ในการเลี้ยงสัตว์ โดยมีการสร้างคอกเลี้ยงวัวไว้ ซึ่งดูๆ ไปก็เหมาะสมดี เพราะไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านเท่าใดนัก

แต่เขาหารู้ไม่ว่า ที่ดินที่มีสภาพปกตินี้ มีความน่ากลัวแฝงอยู่โดยในยามดึก ฝูงวัวในคอกจะมีอาการตื่นกลัวโดยหาสาเหตุไม่ได้ มันทั้งร้องและตะกายคอก ไม่เป็นอันหลับนอน จนเจ้าของต้องมานอนเฝ้าดูแล

แต่แล้วคนเฝ้าเองก็กลับฝันร้ายทุกคืน หนัก ๆ เข้าก็ทนไม่ไหว จึงต้องถอนวัวออกไปเลี้ยงยังเนินที่อยู่ห่างออกไปจากเดิม ติดกับบริเวณที่เคยเป็นคอกวัวนั้น มีสระน้ำที่มีน้ำใสเต็มเปี่ยมตลอดปีแม้ในยามแล้ง ริมสระมีต้นโพธิ์และต้นไทรใหญ่ขึ้นอยู่อย่างละต้น มีเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นต่อสายตาชาวบ้านเป็นประจำ เช่น

พอถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ จะมี ลูกไฟ ลอยขึ้นจากพื้นดินและสระน้ำ วันดีคืนดีก็จะมีงูใหญ่เลื้อยผ่านหมู่บ้าน แล้วเลื้อยลงสระน้ำหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในช่วงฤดูฝน แม้ท้องฟ้าจะโปร่งใส แต่ก็มีสายฟ้าฟาดดังกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือนที่ดินบริเวณนี้

แม้จะมีผู้ปันส่วนจับจองหลายคน แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต่างรู้ถึงอาถรรพณ์ที่แฝงอยู่ในที่ดิน หากทว่าทุกคนก็เงียบไม่ปริปากให้คนภายนอกได้รับ รู้ เพราะกลัวที่ดินจะไร้ราคานั่นเอง

หลายปีผ่านไป มีนายทหารยศพันตรีจากต่างถิ่น ผ่านมาเห็นที่ดินผืนนี้เข้าก็เกิดความพอใจ ติดต่อขอซื้อจากชาวบ้าน แต่มีเงื่อนไขว่าต้องถากถางปรับพื้นที่ดินให้ราบเรียบเสียก่อน เจ้าของที่ดินต่างก็ดีใจที่จะได้รับเงินโดยไม่คาดฝัน จึงเอารถไถมาช่วยกันขับปรับที่

แต่พอรถไถแล่นมาถึงต้นโพธิ์ ต้นไทรทีไร เครื่องยนต์ก็ดับทุกที ทั้ง ๆ ที่ตรวจดูเครื่องยนต์ก็เรียบร้อยดีเมื่อนึกถึงคำเล่าของคนเก่าแก่ที่บอกว่า ที่ดินผืนนี้มีอาถรรพณ์ จึงเกิดมีคนอุตริคิดแก้อาถรรพณ์ โดยนุ่งแต่กางเกงในขับรถไถ

ปรากฏว่าเครื่องรถไถทำงานได้โดยไม่ติดขัด แต่ยังไม่ทันใช้งานได้มากนัก ก่อนบ่ายสามโมงก็มีข่าวแจ้งมาบอกให้หยุดการทำงานทุกอย่าง เพราะผู้พันรถคว่ำ...เสียชีวิตแล้ว..!

เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นี้ เนื่องจากนายคนที่อุตริขับรถไถโดยนุ่งกางเกงในตัวเดียว อยู่ ๆ ก็เกิดล้มป่วยลงอย่างกะทันหันในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง หมอมาดูอาการก็ไม่พบสาเหตุ อาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ สองสามวันต่อมาก็ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด แล้วก็สิ้นใจสิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งย้ำเตือนถึงความเชื่อของชาวบ้านอย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องดังกล่าวซาลงไป

ก็มีญาติต่างถิ่นของชาวบ้านมาเยี่ยมเยียน แล้วเกิดชอบใจที่ดินแปลงนั้น โดยไม่ฟังคำตักเตือนของญาติ ๆ ความโลภได้เข้ามาบังตาจนไม่ฟังเสียงใด เขาวางแผนสร้างปั๊มน้ำมันใหญ่โต กะจะร่ำรวยมหาศาล หลังจากตกลงซื้อขายที่ดินจากญาติได้ในราคาถูกเหมือนได้เปล่า เขาก็ลงมือดำเนินการก่อสร้าง มีทั้งบ้านพักและมินิมาร์ท สมบูรณ์เพียบ

เมื่อเริ่มเปิดบริการ สิ่งประหลาดก็เกิดขึ้น นั่นคือ รถบางคันทำท่าจะเลี้ยวเข้ามาในปั๊ม แต่แล้วก็หันหัวออกไปเหมือนเข้าใจผิดอะไรบางอย่างราว กับไม่มีปั้มอยู่ตรงนั้นงั้นแหละ จากเพียงแค่คันสองคันในระยะแรก ต่อมาก็กลายเป็นรถแทบทุกคัน ที่แล่นผ่านไปเติมน้ำมันในปั๊มที่อยู่ถัดไป เล่นเอาเจ้าของปั๊มหน้ามืด กิจการที่ลงทุนไปมากมาย มีเค้าว่าจะล้มละลายในที่สุด

เจ้าของปั๊มก็หันไปพึ่งพระภิกษุสายวิปัสสนากรรมฐาน ทั้ง ๓ รูปที่อยู่คนละแห่งต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นประตูสู่บาดาลของพญานาคสามเศียร ท่านพิโรธที่ไปสร้างปั๊มบดบังสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่าน จึงบันดาลให้ผู้ผ่านไปมามองไม่เห็นปั๊ม

และเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่สถิตของท่านมาช้านาน การแก้ไขคงจะกระทำไม่ได้ มีแต่จะต้องรื้อถอนปั๊มออกไปและก็ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวนี้เอง ปั๊มแห่งนี้จึงได้ปิดกิจการ และปล่อยร้างตั้งแต่นั้นมา

อ้อ...ก็ไม่ถึงกับร้างเสียเลยทีเดียวเพราะบางวันบางคืน ชาวบ้านจะเห็นหญิงชายวัยชราแปลกหน้าเดินจงกรมอยู่ในบ ริเวณนั้น แล้วลงสระหายไป...

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


webmaster - 17/8/09 at 10:12


(Update 17/08/52)

ภูผาเหล็ก
คลังมหาสมบัติพญานาคราช
พญาศรีสุทโธ เจ้าแห่งนครบาดาล เทพผู้สร้างปาฏิหาริย์บนพื้นพิภพ


เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์มีการกล่าวขานถึงนิทานปรัมปรา ที่ดูท่าน่าจะเป็นจริง เมื่อเราได้นึกถึง สถานที่ เหตุการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสถานที่ที่เล่ากันว่าเป็นพำนักของ พญาศรีสุทโธ เจ้าแห่งนครบาลผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น หนองแส, ธาตุหลวง หนองคันแท ส.ป.ป.ลาว, พรหมประกายโลก (คำชะโนด), หนองอ้อมเกาะ (อ้อมกอ), และ ภูผาเหล็ก ซึ่งล้วนแต่เล่าขานกันว่าเป็นทางผ่าน เป็นทีประทับของ พญาศรีสุทโธ และจะมีปรากฏปาฏิหาริย์ เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนใกล้ชิด ตามตำนานที่เล่าขานกันมา

มีเรื่องเล่ากันมาว่า เมื่อก่อน "หนองกระแส" ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศลาว เป็นเมืองที่พญานาราชครอบครองอยู่ โดยแบ่งหนองกระแสออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นเขตครอบครองของ "สุทโธนาค" และอีกส่วนหนึ่งเป็นเขตปกครองของ "สุวรรณนาค" ซึ่งทั้งสองมีความรักใคร่กันมากไปมาหาสู่กันเป็นประจำ

(หนองแส หรือ "หนองกระแส" ปัจจุบันอยู่ในเขตคุนหมิง ประเทศจีน ชาวจีนเรียกใหม่ว่า "ทะเลสาปเอ๋อไห่, และ "สุวรรณนาคราช" เป็นผู้สร้างเมืองหนองหาร (สกลนคร) - ผู้จัดทำเว็บตามรอยฯ : อธิบาย)

ต่อมาสุทโธนาคได้มีอาหารเป็นเนื้อช้าง ซึ่งมีจำนวนมากมายเต็มลำเกวียนพร้อมขนหาง ซึ่งถือว่าเป็นมงคลมอบให้ไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดความพึงพอใจของสุวรรณนาคยิ่งนัก ครั้นต่อมาสุวรรณนาคมีอาหารเป็นเม่นซึ่งเป็นของอร่อย จึงแบ่งแล้วใช้เรียวไม้ร้อยเป็นพวง พร้อมกับขนเม่นให้เป็นของที่ระลึก ไปส่งให้สุทโธนาค

เมื่อสุทโธนาคเห็นดังนั้นคิดว่า เนื้อช้างที่เราส่งให้ขนหางเล็กนิดเดียวยังได้เนื้อเต็มลำเกวียน นี่ขนเม่นโตขนาดนี้มีเนื้อให้พวงไม้ร้อยเดียว จึงทำให้เกิดความโกรธแค้นเป็นยิ่งนัก สุทโธนาคจึงนำไพร่พลทหารกรีฑาทัพท้ารบกับสุวรรณนาค และเกิดสงครามกันนานถึง 7 ปี ซึ่งต่างฝ่ายต้องการชัยชนะจากสงคราม และขับไล่ฝ่ายตรงข้ามออกจากหนองกระแส และจะทำการครอบครองหนองกระแสแต่ผู้เดียว

การสู้รบของพญานาคทั้งสองทำให้พื้นพิภพสั่นสะเทือนไปทั่ว เกิดความเดือดร้อนไปจนถึงทั้งสามภพ คือ บาลดาล มนุษย์ และสวรรค์ เมื่อความทราบถึงพระอินทร์จึงได้เสด็จลงมายังมนุษยโลกเพื่อสอบสวน เมื่อทราบความแล้วจึงสั่งให้พญานาคทั้งสองเลิกสงครามหันมาแข่งขันกัน สร้างแม่น้ำออกจากหนองแส ไปจนถึงปากน้ำทะเล หากใครถึงก่อนเป็นผู้ชนะและให้ครอบครองแม่น้ำแห่งนั้น

เมื่อรับคำบัญชาจากพระอินทร์แล้ว พญานาคราชทั้งสองจึงนำไพร่พลทำการขุดแม่น้ำออกจากหนองแสทันที สุวรรณนาคเป็นพญานาคราชที่มีความละเอียดอ่อน มีความเป็นระเบียบจึงสั่งให้ไพร่พลขุดแม่น้ำให้ตรง จึงทำให้ต้องใช้เวลานาน ในการขุดแม่น้ำและได้แม่น้ำไม่ยาวนัก

จนทำให้แพ้ในการแข่งขัน จึงเรียกว่า “แม่น้ำนาน” และให้เป็นที่ครอบครองของสุวรรณนาคพร้อมบริวาร จึงได้ขนานนามว่า “แม่น้ำน่าน แห่งสุวรรณภูมิ” ซึ่งหมายถึงที่อยู่ของสุวรรณนาค ซึ่งเป็นผืนแผ่นดินที่เป็นประเทศไทย ในปัจจุบันและเราได้ขนานนามแผ่นดินแห่งนี้ว่า “สุวรรณภูมิ” มาตราบเท่าทุกวันนี้

ฝ่ายสุทโธนาค เมื่อได้รับคำบัญชา จึงได้กรีฑาไพร่พลทำการขุดแม่น้ำออกจากหนองกระแสไปทางทิศตะวันออก ทันที่ เนื่องจากว่า "สุทโธนาค" เป็นพญานาคราชที่ใจร้อนและมีอิทธิฤทธิ์มาก จึงสั่งให่ไพร่พลขุดแม่น้ำเมื่อมีภูเขาขวางหน้าก็สั่งให้ไพร่พลขุดไปตามซอกหินและภูเขาอย่างรีบเร่งทำให้เกิดความคดโค้ง บางที่มีความลึกมากบางแห่งที่เป็นภูเขาก็ขุดให้กว้าง ตามซอกถ้ำและหินผา จนทะลุถึงทะเลตามคำบัญชาของพระอินทร์ก่อนสุวรรณนาค

เมื่อสำเร็จจึงนำความกราบทูลต่อพระอินทร์ เพื่อวินิจฉัย พระอินทร์จึงทรงประกาศให้สุทโธนาคเป็นฝ่ายชนะ และให้แม่น้ำนี้ชื่อว่า “แม่น้ำโค้ง” และได้แผงมาเป็น “แม่น้ำโขง” จนปัจจุบัน โดยให้สุทโธนาคพาข้าทาสบริวารและไพร่พลอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง ทรงอนุญาตให้เกิดมีปลาบึกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งแม่น้ำ และให้เป็นผู้ครอบครองนครบาดาลแต่เพียงผู้เดียว และได้ขนานนามว่า “พญาศรีสุทโธ” โดยอนุญาตให้มีประตูขึ้นสู่โลกมนุษย์ จำนวน 3 แห่ง คือ

ที่ตั้งเมืองนครเวียงจันทร์ และเจ้าผู้ปกครองแห่งนครเวียงจันทร์ได้ก่อสร้าง พระธาตุหลวง ปิดทางขึ้นเอาไว้ในปัจจุบันที่ "หนองคันแท" ใน ส.ป.ป.ลาว และที่พรหมประกายโลก (คำชะโนด) พรหมประกายโลก

หมายถึงที่ที่เทวดาลักลอบลงมากินดินจนทำให้หมดอิทธิ์ฤทธิ์ กลายเป็นกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ (ภาษาพื้นบ้านโบราณเรียกว่า ผีบังบด) เป็นข้ารับใช้ให้กับพญานาคราชศรีสุทโธนาค และทรงอนุญาตให้ "พญาศรีสุทโธ" กลายร่างเป็นมนุษย์ได้ในวันข้างขึ้น 15 วัน และให้กลายร่างเป็นพญานาคราชในวันข้างแรม 15 วัน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

( คำว่า "หนองคันแท" คือสมัยนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จมาประทับที่ริมหนองนี้ ปัจจุบันคือ "พระธาตุหลวง" นั่นเอง - ผู้จัดทำเว็บตามรอยฯ : อธิบาย )

คลังมหาสมบัติพญานาคราช
เส้นทางสู่คลังมหาสมบัติ


มีการเล่าขานกันมาว่า เมื่อครั้งพญานาคาราชศรีสุทโธ ได้รับบัญชาจากพระอินทร์ให้ขุดแม่น้ำแข่งขันกับสุวรรณนาค นั้น และจะประทานให้แม่น้ำที่ทำการขุดให้เป็นที่ครอบครอง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจการขุดแม่น้ำโขง และได้รับประทานุญาตให้แม่น้ำโขง เป็นที่ครอบครองแล้วพญาศรีสุทโธ เจ้าแห่งนครบาดาลจึงได้ย้ายที่ประทับในพื้นที่ครอบครองเดิมที่หนองกระแส มายังแม่น้ำโขง

เนื่องจากพญาศรีสุทโธเป็นจอมนาคาที่มี ไพร่พล ข้าทาสบริวารมาก และทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลทั้งจากหนองกระแส และนครบาดาล เพื่อเป็นเตรียมพร้อมในการทำสงครามและหาสถานที่จัดเก็บมหาสมบัติซึ่งประกอบด้วย เหล็กไหลน้ำผึ้ง แก้วเสด็จ และเพชรพญานาค

จึงได้สั่งให้ไพร่พลทำการขุดแม่น้ำออกจากแม่น้ำโขงลงมาทางด้านทิศใต้ บริเวณ ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ในปัจจุบัน ลัดเลาะไปตามช่องเขาผ่านที่ราบและภูเขาหลายแห่งลงไปทางด้านทิศใต้ ผ่านอำเภอบ้านแพง อำเภอบึงโขงหลง อำเภอเซกา อำเภอคำตะกล้า อำเภอบ้านม่วงในช่วงนี้แม่น้ำสงครามเป็นเส้นแบ่งเขตจังหวัดระหว่างจังหวัดสกลนครกับจังหวัดอุดรธานี

เริ่มอำเภอบ้านม่วงและอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร กับอำเภอบ้านดุง อำเภอทุ่งฝน อำเภอหนองหานไปจดภูผาเหล็ก ที่อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายส่วนปลายของเทือกเขาภูพาน และเป็นภูเขาที่ไม่สูงมากนักและมีบริเวณกว้างและยาวมีอาณาเขตติดต่อกันระหว่าง อำเภอส่องดาว อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร และอำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี และเพียงพอที่จะเก็บมหาสมบัติของพญานาคราชศรีสุทโธได้ และเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำสงคราม

บัลลังก์พญานาคราชศรีสุทโธ

ในช่วงเขตของ "อำเภอบ้านดุง" เป็นส่วนที่แม่น้ำสงครามใกล้กับพรหมประกายโลก (คำชะโนด) ซึ่งเป็นประตูเมืองจากนครบาดาลมายังโลกมนุษย์มากที่สุด เชื่อกันว่าพญานาคราชศรีสุทโธได้ใช้เป็นเส้นทางในการขนย้ายมหาสมบัติขึ้นจากนครบาดาล ไปยังคลังมหาสมบัติต้นแม่น้ำสงคราม ในการเดินทางขนย้ายมหาสมบัติของพญาศรีสุทโธ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนักในปัจจุบัน

เมื่อปรากฏว่ามีเกาะหินทรายที่มีรอยประทับของพญาศรีสุทโธลงบนหินทรายภายในเกาะ ซึ่งมีขนาดใหญ่น้อยแตกต่างกันไป และมีน้ำไหลล้อมรอบอยู่ระหว่างเส้นทางเดินจากพรหมประกายโลก (คำชะโนด)ไปยังแม่น้ำสงคราม

และบริเวณเกาะกลางแอ่งน้ำนี้มีสภาพที่มีบ่อน้ำผุดขึ้นจากใต้ดินรอบบริเวณเกาะ คล้ายกับบ่อน้ำที่เรียกว่าเป็นประตูเมืองของนครบาดาลที่พรหมประกายโลก (คำชะโนด) หลายบ่อรอบบริเวณเกาะ และเป็นที่น่าจะเชื่อได้ว่าเป็นอีกประตูหนึ่ง หรือหลาย ๆ ประตู ที่เป็นเส้นทางจากนครบาดาลสู่เมืองมนุษย์

1. บริเวณภายนอกเกาะทางด้านทิศเหนือ เป็นบ่อขนาดใหญ่ที่มีน้ำไหลออกมาตลอดปีและไหลแรงมาก ซึ่งเคยปรากกว่าน้ำจากบ่อนี้ไหลพุ่งขึ้นจากบ่อมีความสูง 2 – 3 เมตร และจะไหลลงไปยังร่องน้ำรอบเกาะ ปัจจุบันทางหมู่บ้านก่อสร้างท่อขนาดใหญ่เก็บกักน้ำและทำท่อส่งน้ำไปใช้อุปโภคบริโภคภายในหมู่บ้าน

2. บ่อน้ำทางด้านทิศตะวันออก เป็นบ่อขนาดใหญ่ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ทำการบูรณะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เมตร มีน้ำไหลออกมาตลอดปีอ้อมเกาะลงไปทางด้านทิศใต้

3. บ่อน้ำทางด้านทิศตะวันตก เป็นบ่อน้ำที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำภายนอกเกาะ มีน้ำไหลออกมาจากซอกหินภายในเกาะ ในปัจจุบันชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับบ่อน้ำที่คำชะโนด และจะนำน้ำจากบ่อน้ำแห่งนี้ไปประกอบพิธีบวงสรวงเจ้าปู่หอคำ ทุกปี

4. เป็นบ่อน้ำขนาดเล็กทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งไหลออกมาจากซอกหินภายใต้ฐานเจดีย์โบราณ และเป็นที่ตั้งของใบเสมาหิน ทางด้านทิศใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีต้นตะเคียนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.50 เมตรเกิดทับเอาไว้ เมื่อปี พ.ศ. 2545 เมื่อต้นตะเคียนโค่นล้มลง จึงปรากฏเห็นเป็นบ่อน้ำที่ไหลออกมาและมีใบเสมาหินทรายที่มีร่องรอยการตัดหินทรายทำเป็นใบเสมา

น้ำทั้งที่ผุดออกมาจากบ่อน้ำภายในเกาะทั้ง 4 แห่งจะไหลอ้อมเกาะลงมาทั้งทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ลงไปทางด้านทิศใต้ของเกาะและไหลลงสู่แม่น้ำสงคราม

* หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิทางปัญญา โดยลิขสิทธิเป็นของผู้เขียน ที่ให้เกียรตินำเผยแพร่ผ่าน วิชาการ.คอม เรามีความยินดีและอนุญาตให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น
กรุณาให้เกียรติผู้เขียน โดยอ้างชื่อผู้เขียนและ วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com) ทุกครั้งที่ทำการเผยแพร่ต่อ ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อในสื่อที่เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจก่อนได้รับอนุญาต ขอขอบคุณที่ร่วมกันช่วยสร้างให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา




ภาพจาก www.dmc.tv.com

"เพชรพญานาค" เป็นอัญมณีที่มีรูปลักษณ์ที่ถูกเจียระไน มีความสมบูรณ์พร้อมที่จะใช้ทำเครื่องประดับ เพียงแต่ไม่อาจทราบได้ว่า ทำไว้เมื่อใด ใครเป็นผู้ทำ และนำบรรจุไว้ในก้อนหินทราย มีขนาดตั้งแต่เท่าหัวแม่มือขึ้นไปจนถึงขาดยาว ๕๐ เซนติเมตร

และเพชรพญานาคจะมีรูปร่างแตกต่างกันไป เป็นรูปกลม ขนาดใหญ่ เท่าผลมะนาว บางเม็ดคล้ายลูกรักบี้ เข้าใจว่าน่าจะทำให้คล้ายกับ "เหล็กไหล" และมีสีสันครบสีตามตระกูลแก้ว ภาพที่ปรากฏ เป็นเพชรพญานาคที่ถูกเจียระไนเป็นรูปทรง "พญานาค" และ "มีด คล้ายดาบ" มีความยาวประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ที่ถูกห่อหุ้มด้วยก้อนหินทรายขนาดใหญ่ เสมือนว่าถูกกระทำโดยฝีมือมนุษย์

ที่มา - www.vcharkarn.com


webmaster - 24/8/09 at 08:14


(Update 24/08/52)

แก้วพญานาค (เรื่องสั้นจริงๆ นะจ๊ะ)

โดย.."รอมแพง"

".....แก้วอะไรน่ะ..สวยจัง พลอยดูซิ ?"

ตาฉันเหลือบไปเห็นลูกแก้วทรงกลมใสลูกขนาดกำมือรอบได้ พลางชี้ชวนให้เพื่อนสาวดูอย่างสนใจ

" อือ...สวยดี !"

"แก้วพญานาคค่ะ..คุณ! ซื้อไปดูซิคะเอาไว้เพ่งตอนทำสมาธิหรือว่าเอาไปไว้เป็นสิริมงคลกับบ้านหรือพกติดตัวก็ได้นะคะภูติผีปีศาจกลัวค่ะ บรรจุพลังเมตตาไว้แล้วนะคะคุณ"

หญิงคนขายบรรยายสรรพคุณลูกแก้วลูกนั้นอย่างคล่องปาก พลอยมองอย่างสนใจ ฉันเหลือบไปเห็นแหวนหัวพลอยสีเหลืองสดใสวงหนึ่งอย่างสนใจเช่นกัน

"แหวนนี่เท่าไหร่คะ..สวยดี ?"

"90 บาทค่ะ ลง "นะเมตตา" ไว้แล้วเหมือนกันนะคะ ช่วยให้ร่ำรวยมีโชคมีลาภแคล้วคลาดเภทภัย"

"แล้วลูกแก้วล่ะป้า?" พลอยถาม

"ลูกแก้วอันละ189 บาทค่ะ ซื้อสองชิ้นนี้ ป้าลดให้สุดๆ เลยนะ 259 บาทเท่านั้นค่ะ เลขมงคลด้วยนะคะ 5 เลขเทวดา 9 เลขพระ "

พลอยดูสนใจลูกแก้วนั้นพอๆกับที่ฉันสนใจแหวนเราจึงตัดสินใจซื้อทั้งสองอย่าง

สองอาทิตย์ต่อมาฉันกับพลอยได้วันหยุดประจำปีตรงกัน จึงคิดกันว่าจะไปเที่ยวปักษ์ใต้ เป็นการผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานมาทั้งปี เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และยังคบยืนยาวเนื่องเพราะมีอุปนิสัยและรสนิยมคล้ายคลึงกัน จนกระทั้งทำงานก็ทำในระแวกใกล้เคียงกันจึงมาหาอพาร์ตเมนท์ เช่าอยู่ด้วยกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

จังหวัดที่พวกเราตัดสินใจไปเที่ยวกันมีชื่อเสียงในด้านธรรมชาติ ที่งดงามห่างไกลความเจริญทางวัตถุและแสงสี ธรรมชาติที่งดงามทำให้มีการท่องเที่ยวแบบ home stay ซึ่งผู้เที่ยวจะต้องอาศัยอยู่กับคนในพื้นที่โดยจ่ายเงินในราคาถูกแสนถูก ได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงและวีถีชาวบ้านแบบถึงแก่น เราถึงจุดหมายในตอนบ่ายๆ และทันทีที่เราลงรถสองแถวเราก็รู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติแถบนี้ทันที "เอ..ไหนบอกจะมีคนมารับหน้าหมู่บ้านอ่ะพลอย" "นู่นไงเดินมานั่นแล้ว "

ชาวบ้านที่เราเห็นดูจะทำให้พวกเราสองคนแปลกใจและผิดคาด เพราะเป็นหญิงสาวผิวขาวผ่องผิดแผกกับชาวใต้ แต่งกายด้วยเสื้อยืดขาวกางเกงผ้าฝ้ายสีน้ำเงิน เดินยิ้มแต้มาไกลๆ

"คุณที่จะมาพักที่บ้านใช่ไหมคะ" น้ำเสียงไม่เหน่อทำให้พวกเราแปลกใจมากขึ้น

"ฉันชื่อมินตรา เคยเรียนที่กรุงเทพมาสิบกว่าปีค่ะ พอเรียนจบก็มาทำงานที่บ้านเกิด เสียงพูดไทยกลางก็เลยไม่เพี้ยน ไม่ต้องแปลกใจหรอกค่ะ"

มินตรายิ้มให้และอธิบายอย่างคล่องแคล่ว หล่อนบอกพวกเราว่า เรียนทางด้านเกษตรมาจึงมาพลิกฟื้นบ้านเกิด ระหว่างเดินทางมีชาวบ้านสวนทางมาเป็นระยะแต่ละคนมองกลุ่มพวกเราอย่างสนใจและมีแววตาแปลกประหลาดใจในบางคน มีคนหนึ่งถามเราว่ามีที่พักแล้วหรือ เราก็ตอบไปว่ามีแล้ว ดูพวกเขาจะไม่สนใจมินตราเลย อาจจะเป็นเพราะคุ้นเคยกันดีอยู่ แต่ก็แปลกที่ไม่มีใครทักทายมินตราอย่างคนละแวกเดียวกันเลย

เมื่อถึงที่พักที่เป็นบ้านไม้มีใต้ถุนที่สูงพอเข้าไปนั่งยองๆได้ เราก็จัดแจงอาบน้ำอาบท่าซึ่งเป็นห้องน้ำแบบสมัยใหม่แล้ว เพียงแต่ฝาทำด้วยสังกะสีกลางเก่ากลางใหม่ น้ำในโอ่งเย็นฉ่ำสร้างความสดชื่นให้กับพวกเราเป็นอย่างมาก มินตราบอกว่าเธออยู่คนเดียวเพราะพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว หล่อนจัดห้องไว้ให้พวกเรานอนด้วยกัน ที่นอนหมอนมุ้งล้วนมีกลิ่นสะอาดของไอแดด

"พักผ่อนก่อนนะคะค่ำๆจะมาปลุกให้ทานข้าว วันนี้จะมีมะพร้าวน้ำหอมให้ทานด้วย"

พวกเรานอนเอนคุยกันจนเผลอหลับไปทั้งคู่ ตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเหมือนเสียงคนคุยกัน

"อย่าทำพวกเค้าเลยค่ะนายท่าน นะคะ ผู้หญิงทั้งคู่ยังอายุน้อยอยู่เลย"

เสียงมินตราเอ่ยขึ้นมาไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ

"ไม่ได้ มันเป็นเหยื่อถ้าไม่ได้มันเอ็งจะอยู่ไม่ได้ ข้าก็จะอยู่ไม่ได้"

เสียงเกรี้ยวกราดแหบแห้งอย่างผู้สูงอายุเอ่ยค้านอย่างขัดใจ มินตราสะอื้นเบาๆ ฉันสะกิดพลอยซึ่งตื่นแล้วเช่นกันทำกริยาเหมือนว่าได้ยินเช่นกัน ฉันมองไปด้านนอกซึ่งมืดไปหมด พยายามเพ่งดูนาฬิกาบนข้อมือจากแสงตะเกียงที่สลัวๆที่ส่องมาจากภายนอก 'ตีสอง'

.......มันช่างเงียบสงัดเสียยิ่งกว่าจะเป็นบ้านชนบทที่ปกติได้ ไม่มีแม้แต่เสียงลม มินตราไม่ได้ปลุกพวกเราขึ้นมาทานข้าวพร้อมมะพร้าวน้ำหอมอย่างที่หล่อนบอกเราไว้และพวกเราก็หลับสนิทราวโดนมนต์สะกด 'เกิดอะไรขึ้น' ฉันครุ่นคิดอย่างสงสัย ตอนนั้นพลอยคลานกึ่งย่องไปที่ระแนงไม้เพื่อแอบดูสิ่งที่ได้ยิน ฉันเห็นพลอยชะงักค้าง ฉันกำลังจะเอ่ยปากถามพลอยก็หันมาทำท่าให้ฉันเงียบแล้วพลอยก็ล้วงไปในกระเป๋าด้านหน้าของเป้หยิบเอาลูกแก้วพญานาค ที่ซื้อไว้เมื่อสองอาทิตย์ก่อนขึ้นมามอง
(ภาพจากเว็บ watcharathath.com)

'เธอสวมสร้อยพระมาหรือเปล่า' พลอยกระซิบยิ่งกว่ากระซิบ จนดูเหมือนทำปากพะงาบๆมากกว่า ฉันพยักหน้าเร็วๆพร้อมทั้งรู้สึกแล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล พวกเรายัดสิ่งของที่รื้อออกมาเมื่อบ่ายเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็วยกเป้ขึ้นมาพาดบนบ่า พลางย่องจากห้องนั้นลงบันไดบ้านด้านหลัง ข้างนอกมืดมากจนทำให้พวกเราลังเลที่จะเดินออกไปเสียงเดินบนบ้านทำให้เราต้องรีบพาตัวเองเข้าไปที่ใต้ถุนบ้าน

พื้นที่ยกสูงขึ้นมาขั้นหนึ่งเป็นช่องพอเอาตัวลอดได้ทำให้เรามองเห็นส่วนที่รับแขกหรือลานบ้านอย่างชัดเจน มินตราเดินไปมาอย่างวิตก มือปาดน้ำตาไปท่าทางเหมือนหวาดกลัวสักพัก มีร่างชราทว่าว่องไวเดินออกมาจากห้องเราพลางร้องกรี๊ดอย่างเกรี้ยวกราด

"พวกมันไปแล้วพวกมันไปไหน เอ็งทำให้พวกมันรู้ตัวใช่มั๊ย..อีมินตรา?"

หญิงชรายกมือขึ้นบีบเค้นคอมินตราจนหล่อนตาเหลือกลาน

"ป่ะ..ป่ะ..เปล่าจ๊ะนาย ท่านมินตราไม่รู้..มินตราไม่เกี่ยว.."

หญิงชราหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวนั้นค่อยๆ อ้าปากจนกว้างยิ่งกว่ากว้างเป็นภาพที่สยดสยอง จนฉันต้องอุดปากตัวเองไม่ให้กรีดร้อง พลอยเองก็ไม่ต่างไปจากฉันมากนัก หญิงชรากลืนกินร่างมินตราเหมือนกับงูเหลือมกินเหยื่ออันโอชะ กริยานั้นช่างยาวนานจนทำให้ใจของฉันแทบจะขาดรอนๆ อัศจรรย์ยิ่งนักสักพักร่างหญิงชราก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นร่างของมินตราทีละน้อย ทันทีที่ทุกสัดส่วนเหมือนมินตรา หล่อนก็เริ่มร้องเรียก

"ฉันรู้นะ ว่าพวกเธออยู่แถวนี้ ออกมาเถอะน่า มันไม่น่ากลัวสักนิดมันมีแต่ความสุข สุขที่ได้ถูกกลืนกิน "

เสียงหัวเราะระริกระรี้ของมินตราทำให้ฉันขนลุกซู่ พร้อมเถิบถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว

"แกร๊บ...!"

เท้าฉันไปชนกับไม้ตับจากที่อยู่ใต้ถุนอีกด้านหนึ่งทำให้มันเห็นพวกเรา ฉันอยากจะบ้าตาย มินตราหรืออะไรก็ตามมองลอดใต้ถุนมา พร้อมยื่นมือที่มีไอสีขาวที่คล้ายว่าจะม้วนตัวมาดึงพวกเรา พลอยยก "แก้วพญานาค" ขึ้นมาปะทะโดยตรงกับไอสีขาวนั้น แก้วพญานาคคล้ายจะดูดไอสีขาวเหล่านั้นมาใส่ไว้ในตัวเอง สร้างเสียงกรีดร้องยาวนานให้กับ 'มัน'

ฟ้าเริ่มสางเสียงไก่ขันแว่วมาแต่ใกล้พลอยเหงื่อโทรมตัว ทำท่าเหมือนจะทรุดลงไปในไม่ช้า ทำให้ฉันเกิดความกล้าขึ้น บอกให้พลอยส่งแก้วพญานาคมาให้ฉัน เพื่อสู้กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ต่อจากพลอย พลอยทำตามที่ฉันเสนอ ทันทีที่ฉันรับแก้วพญานาคมาไว้ในมือ ไอสีขาวนั้นก็ดูเหมือนยิ่งปะทะเข้ามา ฉันสบตาของ 'มัน' แรงกดดันดูจะมีเพิ่มมากขึ้นจนเหงื่อของฉันผุดขึ้นมาเหมือนตาน้ำ

แก้วพญานาคจากแก้วใสกลายเป็นสีขาวขุ่น ฉันกัดฟันทนพยายามรวบรวมสมาธิวินาทีต่อวินาที ทันทีที่แสงสีทองของดวงอาทิตย์สาดส่องมากระทบฝาบ้านด้านนอก มันในร่างของมินตราคล้ายจะชะงักและผละมือไปจากมือของฉันที่ถือแก้วพญานาค วิ่งหายเข้าไปในห้องของมินตรา ฉันกับพลอยค่อยๆ คลานออกมาจากใต้ถุนบ้าน แข้งขาชาไปหมด

กึ่งเดินกึ่งวิ่งกระโผลกกระเผลกไปตามทางที่จดจำได้ว่าเป็นทางออกไปยังรถสองแถวตอนนี้แสงแดดเริ่มส่องทั่วถึง ฉันรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดใหม่รถสองแถวจอดนิ่งรอผู้โดยสารซึ่งมีอยู่แล้วสี่ห้าคน เราสองคนได้นั่งบนรถสองแถวและอาบแสงแดดยามเช้าอย่างกระหาย ขวัญที่บินไปทางทิศไหนๆ เริ่มเข้ามาสู่ตัว แข้งขาอ่อนปวกเปียกและเพลียอย่างบอกไม่ถูก

มีชายหนุ่มวัยรุ่นสองคนท่าทางเป็นคนกรุง ยืนอยู่นอกรถสองแถวพูดคุยกัน

"ไหนคนที่จะรับเราไปพักด้วยว่ะ ยืนรอนานแล้วเนี่ยะ ไม่เห็นโผล่มาสักรายมีแต่คนจะเข้าเมืองทั้งนั้น"

หนึ่งในวัยรุ่นชายนั้นเอ่ยขึ้น รถสองแถวติดเครื่องทำท่าจะออกรถ

"เฮ้ย...นั่นไงมาแล้ว ยิ้มหวานเชียวว่ะ สวยซะด้วย"

ชี้ชวนกันดูหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งเดินตรงมาหาสองหนุ่มวัยรุ่นนั้น

"อย่างนี้ค่อยกระชุ่มกระชวยหน่อยคนนี้กูเอานะ เมิงอย่าจีบนะกูจีบเอง"

เสียงวัยคะนองพูดอย่างหมายมั่นปั้นมือ ฉันกับพลอยหันไปมองทางที่เด็กวัยรุ่นสองคนนั้นชี้ รถสองแถวเริ่มเคลื่อนที่ออกจากท่าอย่างช้าๆ เราสองคนอุทานขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน "มินตรา!!!"

*** สั้นจริงๆ ค่ะ เรียกได้ว่าเป็นงานเขียนที่เป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกในชีวิตของเราเลยก็ว่าได้

อัพเดท 26 เม.ย. 49 :: โพสต์ในเว็บ my.dek-d.com/vivacool/story/view.php?id=149974



เมื่อท่านผู้อ่านได้ผ่านการค้นคว้าหาความรู้ในเรื่อง "เพชรพญานาค" กันพอสมควรแล้ว ตอนต่อไปจะขอนำข้อคิดในด้านความเชื่อกันบ้าง คือเรื่อง "หินพญานาค" มีจริง หรือหลอกลวง..? โปรดติดตามตอนต่อไป...


webmaster - 30/8/09 at 08:28


(Update 30/08/52)


(ภาพจาก : www.watcharathath.com)

"หินพญานาค" มีจริง หรือหลอกลวง..?


"หินพญานาค" จากการเสาะหาหลายสถานที่ จากการสัมผัสมานั้น ยังไม่เจออย่างที่คนบอกเล่ากันว่าเป็น "ธาตุกายสิทธิ์" เลย ส่วนมากที่ผมไปเจอก็มีพลังเหมือนหินสีทั่วๆ ไป แต่ก็ไม่แน่นะครับ อาจมีของจริง แต่ผมอาจยังไม่เจอก็ได้

ผมจึงไม่สามารถนำมาเสนอรวมเป็น "ธาตุกายสิทธิ์" ให้เช่าบูชากันได้ ถ้าเมื่อไหร่ผมเจอของจริงแล้ว ดีจริงอย่างที่บอกเล่ากันมา ผมจะนำมาฝากและอธิบายว่าดีจริงแค่ไหนครับ

ตำนานหลายอย่างอ่านให้บันเทิง ประดับความรู้ เพราะที่ผมหามาจากเวปต่างๆ ก็มีทั้งจริง และเวอร์จนเกินไปก็มี คนทุกคนสามารถแต่เรื่อง กุเรื่องกันเพื่อเงิน การที่เราสนใจในธาตุกายสิทธิ์นั้น เราควรสัมผัสให้ได้เสียก่อน เพื่อที่จะได้ไม่โดนหลอกลวงกัน

ข้อสังเกต : เดี่ยวนี้บางคนอ้างวัด เพื่อที่จะจำหน่ายของที่อ้างว่าดีเป็นสถานที่กอบโกยเงิน บางคนก็อ้างว่า เพื่อช่วยเหลือวัดสร้างวัด เงินที่ขายได้จะมอบให้วัดเพื่อให้ผู้สนใจร่วมบุญกัน

แต่หารู้ไม่ คำว่า "วัดครึ่งนึง...กรรมการครึ่งนึง" คำนี้ใช้ได้เสมอ นี่แหละการหากินกับแบบบต้นฉบับทั่วไป แต่บางคนก็รู้แต่ก็ยังดี ถ้ามีการนำเงินบางส่วนสร้างวัดจริงก็อนุโลมกันไป เว็ปพลังวัตถุนี้ ผมจะหาของที่มีคุณภาพจริงเท่านั้น ถึงจะนำมาให้เช่าบูชากัน

อีกเรื่อง..เรื่องพระธาตุที่ขายกันทั่วๆ ไปนั้น ผมก็ยังหาที่ดีจริงไม่ได้เช่นกัน จึงบอกให้รู้กันว่า ผมจะนำแต่ของที่มีจริง ดีจริงเท่านั้น ถ้าของบางชนิดผมยังไม่สามารถสัมผัสได้ ผมก็จะไม่พูดว่ามีจริงหรือไม่ตรงนี้ บางทีของบางชนิดของอาจดีจริงแต่ ผมก็อาจจะสัมผัสไม่ได้ก็เป็นได้..

ที่มา - www.poweropject.com



ของปลอม

ปัจจุบัน มีการทำปลอมได้เหมือนเอาทีเดียว จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายๆท่านนั้น มีข้อให้สังเกตไว้ ดังนี้

1 ) น้ำหนักของเพชรพญานาคนั้น จะมีน้ำหนักกว่า แก้ว หรือ พลาสติก หรือ แม้แต่ พลอยก็ตามที่มีขนาดเดียวกัน แต่ มีพลอยรัสเซียอยู่ตัวหนึ่ง ที่ค่อนข้างใกล้เคียงเพราะเคยเห็นแต่ พอพิจารณาดูแล้ว ยังขาดองค์ ประกอบคือ ความใสตรงกลาง

2) เพชรพญานาคนั้น บริเวณตรงกลาง จะมีเหมือนดวงตาใสๆ อยู่ตรงกลาง หากวางบนฝ่ามือจะเห็น และมองทะลุ แต่ พอยกขึ้นส่องกับไฟ โดยหลี่ตาดูผ่านดวงใส่ กลับไม่สามารถมองทะลุผ่านไปได้ ก็แปลกดี บางเม็ดมองเข้าไปโดยยกส่องกับไฟข้างในจะเป็นเกล็ดๆ

3) เพชรพญานาค จะมีความแข็ง สามารถกรีดกระจกเข้า โดยไม่เป็นอะไร เคยมีการลองโดยพยายามใช่เครื่องเจียรตัด เพชรพญานาคที่ลูกเท่าไข่ห่าน ก็ไม่เข้า

มีท่านที่ไปเมืองจีน ตรงที่เค้าขายหินธรรมชาติกัน เค้ามีเครื่องcomเอาไว้ตรวจดูการหักเหแสงด้วย พอส่งให้เค้าตรวจ เค้าก็บอกว่านี้ เป็นหินธรรมชาติจริง แต่ บอกไม่ได้ว่า เป็นชนิดไหน เค้าทำหน้างง แบบ ไม่เคยรู้จักมาก่อน

4) สุดท้าย ต้องหมั่นภาวนา ผู้ที่มีธาตุกายสิทธิไว้ในครอบครอง ให้จิตมีความเป็นกุศล และแผ่เมตตา ให้กับตัวเองและธาตุกายสิทธิ์

 ข้อความในการสังเกตของจริงและของปลอมข้างต้นนี้ ขอท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ มา ณ ที่นี้ด้วย



ข้อความ ของ "คุณกลางชล" ในเวบบอร์ด


การวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบวัตถุธาตุ ที่เรียกว่า "เพชรพญานาค" ในเชิงวิทยาศาสตร์ ภายหลังที่ผมได้รับจากหลวงพ่อ....นั้น ตรงตามที่กล่าวมาทั้งหมดไม่มีข้อหนึ่งข้อใดขัดแย้งแม้แต่น้อย ส่วนการตรวจสอบดูการหักเหของแสง จากห้อง Lab ที่มาตรฐานพอสมควร

ผลที่ปรากฏนั้นไม่ใช่พลาสติกและมีค่าความแข็งมากกว่าระดับ 5 อย่างน้อยค่าความแข็งของวัตถุธาตุดังกล่าว มีค่าความแข็งมากกว่ากระจกแน่นอน (ค่าความแข็งของกระจก=5)

เหตุผลง่ายๆ ข้อหนึ่ง ที่เป็นสมมุติฐานสนับสนุนเบื้องต้น แม้ไม่ต้องทดสอบหาค่าความแข็ง ซึ่งแม้แต่เด็กมัธยมก็คงทราบ นั่นคือความสามารถกรีดกระจกให้เป็นรอยได้ โดยที่วัตถุธาตุดังกล่าวไม่เกิดการสึกหรอของพื้นผิว ในบริเวณที่สัมผัสกับกระจกภายหลังการทดสอบ

ส่วนผลการทดลองในห้อง Lab ผมไม่ขอกล่าวถึง เกรงว่าจะนำมะพร้าวห้าวมาขายถึงในสวนเสียมากกว่า หากจะใช้พลาสติกหรือวัสดุอื่นๆ มาทำเลียนแบบให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงก็อาจเป็นไปได้

ที่มา - watpanonjahom.igetweb.com



เร่ขาย "หินพญานาค" มหัศจรรย์...อ้างมีเพชรศักดิ์สิทธิ์

มาอีกแล้ว...ขบวนการสร้างเรื่องหลอกเงินชาวบ้านโดยใช ้ความศรัทธา อ้างค้นพบหิน"พญานาค" ที่ข้างในมี "เพชรพญานาค" บรรจุอยู่ ใครเอาไปใส่ จะร่ำรวย พ้นเคราะห์ภัยครั้งใหญ่ที่จะมาเยือน ระบุเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พระอายุเกือบ 1,000 ปีค้นพบ คนมีวาสนาเท่านั้นถึงไปเก็บได้แถบลุ่มน้ำโขง ขายลูกละเป็นพัน แต่ต่อรองได้เหลือ 200 เตือนชาวบ้านอย่าหลงเชื่องานนี้มีสิทธิถูกหลอก !!!

เรื่องราวของบรรดามิจฉาชีพที่หากินกับความเชื่อของชาวบ้าน ให้หลงเชื่องมงายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล่าสุดผู ้สื่อข่าวรายงานว่าได ้เกิดการหลอกลวงเพื่อขาย "หินพญานาค" ที่มีการโอ้อวดสรรพคุณว่าภายในหินพญานาคจะบรรจุไปด้วย "เพชรพญานาค" มากคุณค่าปาฏิหารย์ หาได้ยากยิ่ง สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเสนอขายของวิเศษในราคาก้อนละ 1,000 บาท

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผู ้สื่อข่าวเดลินิวส์ ได้ไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยมีต้นตอมาจากเจ้าของร้านส้มตำย่านวังหลัง โรงพยาบาลศิริราช ภายในร้านจะเป็นแหล่งนัดพบของผู้คนที่มีความเชื่อและนับถือในเรื่องของ "เพชรพญานาค"

นางทอง (นามสมมติ) เป็นผู้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ โดยมีการอ้างอิงถึงการไปพบพระเถระที่มีฤทธิ์เดช มีความศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ "หลวงปู่ซวง" ซึ่งมีภาพนั่งยองๆ เหมือนหลวงพ่อคูณ แต่นั่งอยู่ข้างกระต๊อบหรือเถียงนา นางทองหลางบอกว่า หลวงปู่ซวงนี้มีอายุได้ 900 กว่าปีแล้ว และพึ่งจะละสังขารไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยก่อนหน้านี้ได้รอให้ตนไปกราบไหว้ก่อนที่จะละสังขาร บอกว่ารอลูกหลานมานานแล้ว

คำบรรยายถึงหลวงปู่ซวงยังอ้างอีกว่า พระรูปนี้สามารถจับต้องสุภาพสตรีได้ ผิดไปจากภิกษุทั่วไป เพราะได้บำเพ็ญภาวนาจนมีกายละเอียด ไม่มีแยกชายหรือหญิง ถือได้ว่าพ้นขีดขั้นของคำว่าเพศไปแล ้ว โดยนางทองอ้างว่าตัวเองคือลูกหลานของหลวงปู่ซวง

ไม่เพียงแต่หลวงปู่ซวง นางทองยังอ้างถึง "หลวงปู่เที่ยงธรรม" ที่มีอายุ 500 กว่าปี จำพรรษาที่ จ.สกลนคร โดยอ้างว่าหลวงปู่เที่ยงธรรมมีอภินิหารต่างๆ สามารถแยกร่างแยกกายแยกจิตได้ มีคนเห็นอยู่หลายสถานที่ในเวลาเดียวกัน และอีกเช่นกันที่นางทองเป็นลูกหลานของหลวงปู่เที่ยงธรรม

สำหรับการอ้างถึงพระเหล่านี้ เนื่องจากจะมีการผูกโยงเรื่องว่าพระทั้ง 2 รูป ต่างก็เคยไปถึงสถานที่ซึ่งเก็บหินพญานาคมาแล้ว โดยขั้นแรกไปที่ถ้ำ จ.เพชรบูรณ์ และเป็นผู้พบหินพญานาค ซึ่งเมื่อกระเทาะออกมาจะมีเพชรพญานาคอยู่ข้างใน เมื่อมีการถามถึงว่าถ้ำดังกล่าวอยู่ที่ไหน นางทองจะอ้างว่าขณะนี้มีคนคิดไม่ดี ถ้ำจึงถูกปิดไปแล้วด้วยฝีมือของผู้มีอภินิหาริย์

อย่างไรก็ตามแม้ถ้ำวิเศษจะถูกปิด ขณะนี้มีการไปเก็บหินพญานาคมาจากแม่น้ำโขงและจังหวัดอื่นๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ ศรีษะเกษ นครพนม หนองคาย อุดรธานี โดยขณะที่เล่าจะมีการนำรูปถ่ายมาบรรยายด้วยว่า นางทองได้เดินทางไปเก็บหินพญานาคมาด้วยตนเองจริง

รูปทั้งหมดจะมีตั้งแต่การปีนเข้าไปในถ้ำ โดยนางทองยืนยันว่าเป็นถ้ำที่จ.หนองคายอยู่ใกล้แม่น้ำโขง เมื่อเดินทางเข้าไปจะต้องใช้ไฟฉาย ถ้ำนี้จะอยู่ใต้แม่น้ำโขง ขณะที่เดินเข้าไปจะพบ "หินพญานาค" อยู่เป็นระยะ หากใครที่ไม่ใช่ลูกหลานจะไม่มีบุญได้เห็น เมื่อเดินผสมกับคลานไปจนสุดถ้ำจะไปโผล่ที่วัดแห่งหนึ่งในประเทศของลาว แต่ขากลับเกิดความกลัว จึงนั่งเรือข้ามฟากกลับกัน หินพญานาคนี้เมื่อนำออกมาแล้ว ลูกหลานจะให้ใครไปบูชาก็ได้

สำหรับหินพญานาคนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีลักษณะเป็นลูกหินสีน้ำตาลอมดำ เหมือนกับสีเดินลูกรัง ขนาดโตเท่ากำปั้น สัณฐานเหมือนไข่เป็ด เป็นหินทราย โดยเมื่อทุบออกมา ข้างในจะมีเม็ดสีใสเม็ดกลม ค่อนข้างแบน โดย 1 ลูกมี 1 เม็ด มีหลากสี เหลือง แดง เขียว น้ำเงิน เรียกว่า "เพชรพญานาค"

นางทองบอกว่า ผู้ใดนำเม็ดสีเหล่านี้ไปเป็นเครื่องประดับใส่แล้วจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ทำมาค้าขึ้น หลุดพ้นจากภัยพิบัติ อีกไม่กี่ปีหลวงปู่เที่ยงธรรมบอกว่า ผู้คนจะล้มตายจากโลกนี้ด้วยภัยภิบัติ จะรอดเฉพาะผู้ที่สวมใส่เพชรพญานาคเท่านั้น

ระหว่างการบรรยายนางทองพยายามชักจูงให้ผู้อื่นหลงเชื่อตามตนไปด้วย ด้วยการคะยั้นคะยอให้ ซื้อหินพญานาคไปบูชา หรือจะซื้อไปเพื่อกระเทาะเอา "เพชรพญานาค" มาประดับ โดยอ้างว่าจะนำเงินรายได้ไปสร้างวัด สร้างโบสถ์ที่ไหนสักแห่ง ถ้าใครปฏิเสธยังไม่ซื้อ ก็จะมีการชักจูงใจว่า ไม่ได้นะ..เดี๋ยวพวกทหารเรือมาก็หมดแล้ว ไม่มีอีกแล้วนะ ตอนนี้มีคนทำของปลอมเลียนแบบ ขายกันอยู่ที่ท่าพระจันทร์ พวกนั้นของปลอมทั้งสิ้น

เมื่อเห็นว่าจะโน้มน้าวใจไม่ได้จริงๆ หินพญานาคจากที่ตั้งราคาไว้ก้อนละ 1,000 บาท ก็จะลดราคาให้พิเศษเหลือ 200 บาท แถมให้ติดเงินไว้ก่อนได้ด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างที่นั่งฟังคำบรรยายสรรพคุณจากนางทองนั้น ก็ได ้มีกระเทยคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน แล้วบอกเล่าว่าเพิ่งกลับมาจากปัตตานีมา แล้วที่นั่นกำลังฮิต "เพชรพญานาค" มาก และซื้อขายกันในราคาแพง เธอก็สวมแหวนที่นิ้วกลางมีเพชรพญานาคเม็ดใหญ่ประดับอยู่ โดยนางทองก็รับลูกบรรยายว่า กระเทยคนที่ว่าเอามาจากแถวสตูล และปัตตานี แต่คุณภาพไม่ดีเท่ากับแม่น้ำโขง

จากการสังเกตของผู ้สื่อข่าว การขายเพชรพญานาคของขบวนการนี้ แม้จะเป็นเรื่องความเชื่อส่วนตัว แต่น่าจะเข้าข่ายการหลอกลวงประชาชนอย่างแน่นอน เพราะหินพญานาค และเพชรพญานาคน่าจะเป็นฝีมือมนุษย์ในการทำขึ้นมา จึงอยากเตือนประชาชนทั่วไปอย่าได้หลงเชื่อ

ข้อมูล : เดลินิวส์ www.dailynews.co.th

ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 5/9/09 at 09:28


(Update 5/09/52)

ความเห็นเรื่อง "เกล็ดพญานาค" จากเว็บไซด์ต่างๆ

"เกล็ดพญานาค" มีลักษณะ เป็นรูปวงรี ขนาด เท่า ทัพพีเล็กๆๆ มีสีเขียวเกือบดำ มีแววมยุราเป็นชั้นๆ สวยมาก มีพลังเย็นอย่างที่สุด ใครได้ไว้จะมีโชค และไปทางไหน สัตว์ทั้งหลาย ทุกชนิดจะวิ่งหนี (แต่งูจะวิ่งเข้าหา แต่มาอย่างนบนอบ เพราะเราเป็นตัวแทน จาก "พญานาค" ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินของงู) บอกปุกกี้ไปว่า "เกล็ดพญานาค" เป็นขยะที่ข้างล่าง แต่จะเป็นของศักดิ์สิทธิ ยิ่งนัก บนโลกมนุษย์ ให้เอาขึ้นมา..ซิ



ถ้าเป็นของพญานาคจริง บางทีเขาเรียก "แก้วพญานาค" เขาจะให้สำหรับคนที่ผูกพันกับเขา และมีบุญที่รับกันได้ หรือชาติก่อนอาจเคยเป็นพญานาค เขาว่างั้นนะคะ มีพี่เล่าว่า มีคนไปที่ถ้ำในจังหวัดภาคเหนือ ตัวเขาเห็นพญานาคหลายตัว

และในนั้นได้วางแก้ว ไว้ที่ก้อนหิน แต่ตัวเขาเองไม่กล้าเอา เพราะกลัวเป็นการขโมย เมื่อกลับบ้านก็ได้แต่ฝันถึงพญานาค และต้นไม้ที่บ้านกลายเป็นรูปร่างพญานาค เขาถึงได้เขาไปที่ถ้ำอีกครั้ง และได้ดวงแก้วมาไว้ครอบครอง เลี้ยงชีพด้วยการขายเครื่องสังฆทาน

เคยอ่านเจอว่า หินสีใต้น้ำที่มีในภาคใต้ เรียกกันเพชรพญานาค คงเพราะมีหลายสีและอยู่ใต้น้ำ แต่ที่บูธจะใส่พลังลงไป เหมาะสำหรับคนมีความเชื่อเรื่องพลังของหิน และศรัทธาในผู้ลงพลัง ตัวเองก็ไปซื้อมาโดยที่มองเป็นหิน เพราะแก้วพญานาคจริงๆ เขาจะให้ก็ให้เอง หาซื้อไม่ได้หรอก

เหมือนกับบุญ ซื้อขายกันไม่ได้นั่นแหละ ฉะนั้นใครคิดว่าเป็นหินก็มันคือหิน มีพลังก็เพราะเชื่อถือกัน แต่ตัวเองก็คิดว่า เป็น หินสีที่สวยมากค่ะ อย่าไปหาซื้อเพราะคิดว่า

เป็นของที่มาจากท่านพญานาคเชียวล่ะ ฟังขี้ปากเขามาเล่านะ เพราะไม่มีบุญเห็นมาก่อนเลยค่ะ เท่าที่ทราบ เพชรพญานาคมีทั้งที่อยู่ในก้อนหินและอยู่ในแม่น้ำ ที่อยู่ในแม่น้ำอาจเรียกได้อีกอย่างว่า "มณีคงคา" ค่ะ

ที่มา -http:// topicstock.pantip.com



พบเพชรพญานาคบนถ้ำที่ซับสมอทอด จ.เพชรบูรณ์

สำหรับเรื่องงราวของท่านพญานาคราชที่ท่านได้โปรดเมตตาลูกหลาน ให้เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพื่อจรรโลงพระศาสนาให้ยั่งยืนสถาพร ก็เพราะประเทศไทยของเราและชาวไทยเป็นศูนย์กลางของพระศาสนาในปัจจุบันที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลกปัจจุบัน ในช่วงกึ่งพุทธันดรที่ศาสนาพุทธจะกลับมารุ่งเรื่องอีกครั้งในดินแดนสุวรรณภูมิ ประกอบกับปีนี้เป็นปีแห่งพญานาค ท่านจึงได้แสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ มากมาย

เพื่อดึงผู้คนให้เข้าสู่พระศาสนา เพื่อเพิ่มบุญบารมีของท่านเองและลูกหลานวงศ์วานของท่านจุดมุ่งหมายคือพระนิพพานและความยั่งยืนของพระศาสนา นี่เป็นความคิด ส่วนตัวของกระผมที่วินิจฉัย จากประสบการณ์ที่ได้พบเจอมา หลายๆที่ เช่นที่..... ล้วนแต่เชื่อมโยงกัน ตามกระแสแห่งเส้นทางเดินสู่พระธรรมของบรรดาพุทธบริษัท ที่ได้ติดตามมาตั้งแต่แรกเริ่ม และบรรดาญาติธรรม ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันตามวาระและเวลาของคนๆ นั้น ตั่งแต่เริ่มแรกการบูรณะวัด...... จนถึงปัจจุบัน

สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับวัด โดยหลวงตาและท่านพญานาคราช พร้อมลูกหลาน ก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ ดังเรื่องราวที่กระผมได้ประสบมา คือการที่ท่านพญานาคราชได้ประทานเพชรพญานาคให้กับหลวงตาเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเพชรพญานาคราชฝังอยู่ในหิน ซึ่งมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำอบไทยๆ หอมชื่นใจ สถานที่ประทานก็บริเวณทางขึ้นถ้ำของวัด พอทุบหินออกมากลายเป็นเพชรเม็ดใส สวยงาม ลื่นมากๆ เหมือนน้ำบนใบบอน ใช้มือจับตัวเพชรจะลื่นมากๆ มีสองสี สีขาวใส และสีเหลือง จึงขอนำภาพมาฝากครับ...


ก้อนหินมีลักษณะสีดำคล้ำ เวลาทุบออกมาแล้วภายในจะมีเพชรเม็ดใสอยู่ด้วย


นอกจากนี้ยังมี "รอยพญานาค" ปรากฏที่หน้ารถบรรทุกอีกด้วย


ที่มา - www.oknation.net/

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 11/9/09 at 08:55


(Update 11/09/52)

แก้วนาคราช หรือ "ปัฐวีธาตุ" จากลำน้ำโขง

......ธาตุกายสิทธิ์อีกชนิดนึ่งที่พบได้ในบ้านเรา กายสิทธิ์ชนิดนี้เป็น "หินแก้ว" ที่เกิดอยู่ภายใต้ลำน้ำโขง กายสิทธิ์ชนิดนี้แหละครับที่เราจัดว่าเป็น "เพชรพญานาค" โดยแท้เพราะมีอิทธิฤทธิ์สูงส่งมาก ครูบาอาจารย์ที่มีญาณสื่อกับพญานาคได้ ท่านจะนำเอาหินชนิดนี้มาทำการเสกอธิฐานให้เป็นของที่มีฤทธิ์เพิ่มขึ้นตามใจปราถนา ฝากให้พญานาคท่านช่วยดูแลคุ้มครองผู้ที่ได้รับ

ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ไป ผู้ที่ได้ฌานได้ญาณหลายท่านเมื่อนั่งตรวจดูด้วยทางใน ก็มักพบว่ามีเทพยดาที่เป็นนาคราช หรือพญานาครักษาดูแลอยู่ แม้ว่าเป็นหินที่อาจหาพอได้ตามแม่น้ำลำธารแต่ก็ประมาทไม่ได้ ในธรรมชาตินั้นมีสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นเสมอดั่ง เช่น "หินแก้วใต้น้ำ" หรือที่เรียกกันว่า "ปฐวีธาตุ"

ลักษณะของ "ปฐวีธาตุ" นั้นมีรูปร่างกลมบ้าง แบนบ้าง บางชิ้นเรียวยาวเป็นรูปลักบี้ และมักมีลัษณะมน เนื่องจากถูกกระแสน้ำพัดกลิ้งไปมาอยู่โดยตลอด อำนาจจากกระแสน้ำได้ทำการเจียหิน กลึงหิน ด้วยอำนาจจากธรรมชาติจึงทำให้หินแก้วเหล่านี้มีลักษณะกลมมน ดูแล้วสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ บางชิ้นอาจมีรูปทรงที่ไม่แน่นอน สีขาวใสคล้ายสาคู โปร่งแสน บางชิ้นก็ขาวขุ่น ใครเห็นแล้วก็จะรู้สึกชอบในรูปร่างของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ทันที

บางท่านอาจเรียกว่า "เพชรพญานาค" ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะสิ่งนี้มีญาณพญานาครักษาดูแลอยู่ ในความเป็นจริงเราอาจพบปฐวีธาตุหรือหินปก้วใต้น้ำได้จากหลายๆ สถานที่ แต่สำหรับสถานที่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแก้วใต้น้ำที่มีคุณภาพดีที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดต้องเป็นหินแก้วใต้น้ำที่มาจากแม่น้ำโขงเท่านั้น ทั้งนี้เพราะแม่น้ำโขงเป็นเวียงวังของเหล่าบรรดา "นาคราช" ทั้งปวง เป็นสายน้ำแห่งความศักดิ์สิทธิ์

หินปฐวีธาตุนี้ ถือว่าเป็นกายสิทธิ์จากเมืองบาดาล เป็นบริวารของดวงแก้วบรมจักรพรรดิ บางชิ้นนี้มีกายทิพย์ชั้นจุลจักรรักษา บางชิ้นมีกายในเป็นพระมหาจักรพรรดิ บางชิ้นมีกายในเป็นพระบรมจักรพรรดิ์ก็มี ต้องให้ผู้ที่ได้ตาใน หรือได้ธรรมกายตรวจสอบดูจึงทราบได้แน่ชัด

นอกจากนี้กายสิทธิ์จากลำน้ำโขง ปฐวีธาตุยังถือว่าเป็นกายสิทธิ์ที่มีพลานุภาพจากธาตุน้ำ หรือเด่นในอาโปธาตุ ผู้ที่บูชาจะพบกับความร่มเย็นเป็นสุข และเกิดความอุดมสมบูรณ์แก่บุคคลผู้นั้น เพราะตามธรรมชาติธาตุน้ำ เป็นธาตุแห่งความอุดมสมบูรณ์ และยังมีอำนาจทางเส่นห์เมตตามหานิยมอย่างยอดเยี่ยมด้วย

แก้วกายสิทธิ์จากลำน้ำโขง ที่เรียกว่า "ปฐวีธาตุ" นี้นับว่าเป็นแก้วจักรพรรดิชนิดนึง ที่ให้คุณทางด้าน บันดาลลางสังหรณ์ บันคาลความสำเร็จ ความร่มเย็นเป็นสุขแก่ผู้ที่มีไว้ในครอบครอง เป็นวัตถุธาตุที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับพญานาคได้ ผู้ที่ได้สมาธิจิตมีศีล สมาธิ ปัญญาอันอบรมดีแล้วท่านั้นจึงสามารถครอบครองกายสิทธิ์ชนิดนี้ได้ และสามารถนำกายสิทธิ์ชนิดนี้มาอธิฐานจิต เพื่อประกอบการกุศลได้ด้วย

"แก้วปฐวีธาตุ" หรือ "แก้วนาคราช" นี้ถือว่าเป็นดวงแก้วที่มีตัว คำว่า "มีตัว" ในภาษาชาวบ้านนั้นหมายถึงมีชีวิต มีจิตใจจิตวิญญาณอยู่ภายในนั้นเอง สามารถแสดงฤทธิ์ด้วยตัวเองได้ ดูเป็นของตายแต่ที่จริงเป็นของมีชีวิต หากดวงแก้วนาคราชเห็นว่าผู้ใดไม่ควรอยู่ด้วยท่านก็จะเสด็จหนีหายไป แต่หากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านย่อมบันดาลสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น รวมทั้งอาจทำให้องค์อื่นๆ เสด็จมาเพิ่มอีกอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

ทั้งหมดนี้เป็น "ตำนานแก้วนาคราช" โดย. ป๊อก เชลซี ทิพยจักร
ที่มา - หนังสือธาตุกายสิทธิ์พิชิตโรค




คาถาบูชา แก้วนาคราช



ตั้งนะโม 3 จบ

อะ มุ หะ กะ สุ ภุ นะ ยะ คะ
พญาเกล็ดแก้วนาคราช ปูเชมิ

คำแปล

อะ = พญาอนันตนาคราช
มุ = พญามุจรินทร์นาคราช
หะ = นาคาหลวงพระบางศรีสุทโธ
กะ = พญาเกล็ดแก้วนาคราช

สุ = พญาสุวรรณนาคราช
ภุ = พญาภุชงค์นาคราช
นะ = พญานาคดำศิริจันทรานาคราช
ยะ = พญายัสมันนาคราช
คะ = พญาครัตระศรีเทวานาคราช


การตรวจสอบ

1. ดูแล้วมีญาณพญานาคจริง
2. ผู้ครอบครองดูแลเป็นพญานาคราช
3. มีความเย็นยะเยือกมาก
4. การสัมผัสแล้วเป็นของดีจริงตามตำนานว่าไว้ (ของแท้ )
5. เวลาโดนน้ำจะใสมาก

6. การใส่ให้ใส่แบบอัดพลาสติดใสให้มีช่องว่างเพื่อที่เราจะต้องเจาะรูใส่น้ำ ถึงพกพาติดตัวไปได้
7. ห้ามพกพาโดยไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง
8. ของชนิดนี้แตกต่างจากมณีใต้น้ำที่เป็นแบบสีๆ หลายสีที่มีขายทั่วไปในท้องตลาด (พอดีไม่เคยเจอของจริง เลยไม่รู้ว่ามีจริงมั้ย เพราะเจอแต่ไม่มีพลัง )
9. สามารอธิฐานจิต ขอความต้องการให้มีการช่วยเหลือให้สมปราถนาได้อีกด้วย
10. จัดได้ว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์ ที่ของความสำเร็จ มีการช่วยเหลือผู้เป็นเจ้าของได้ดีมาก

11. มีการป้องกันภูตผีปีศาจได้ดีอีกด้วยใครมีไว้ก็เหมือนมีพลังพญานาคราชอยู่ด้วย เป็นของที่ดีมากๆ
12. ห้ามนำมาตกแต่เจียไน หรือเอามาขัด ถ้านำมาเจียไนหรือขัดแต่ง เทพที่ดูแลของชิ้นนั้นจะทิ้งธาตุนั้นไป เหลือแต่พลังธรรมชาติเท่านั้น และพลังที่นำมาปลุกเสกเท่านั้น
13. ผู้ที่มีญาณสัมผัสได้ ลองทดสอบง่ายๆ เช่น แกล้งนำมีดทำท่าจะขูดหรือ ผ่าซิครับ รับรองถ้าคุณมีญาณสัมผัสได้คุณจะรู้ทันทีครับว่าเป็นอย่างไร (ข้อ12 สำคัญมาก )
14. จะว่าไปบนโลกเราตะก่อนก็คือเป็นน้ำ ธรรมธาตุหลายชนิดแบบนี้มีอยู่จำนวนมาก มีทั้งพลังและอำนาจในตัวเอง ถ้าได้นำมาปลุกเสกแล้วนั้น พลังจะมากมายมหาศาลทีเดียว

15. วิธีการทำให้ธาตุชนิดนี้มีอำนาจมากขึ้น คือ เรานำมานั่งสมาธิด้วย และสวดมนต์เป็นประจำโดยที่การสวดนั้นให้ถือไว้ที่มือ พลังแห่งพุทธคุณที่สวดมนต์นั้นจะไปรวมและเพ่มพลังอำนาจ ทำให้ของชิ้นนั้นสามารถดลบันดาลได้ดุจแก้วสารพัดนึกเลยทีเดียว
16. ไม่ต้องไปหาของที่พระเกจิปลุกเสกหรอกครับ จากธรรมชาตินี้และครับ ก็สุดยอดพอตัวแล้ว รับรองได้
17. การทำบุญทุกครั้งให้ถึงถึงธาตุกายสิทธิ์ที่เรานับถือนี้จงได้บุญไปกับเราทุกครั้ง (ทุกอย่างจะสมปราถนาอย่างที่ตั้งใจได้)

ส่วนเรื่องพลังพุทธคุณ พลังคลายพระธาตุอะไรซักอย่าง พอดีดูหลายจุดยังดูไม่ออกครับ ถ้าจะดูให้ลึกไปอีกคงต้องหาผู้สำเร็จญาณแล้วละครับ

ที่มาของชุดนี้ ได้มาจากลำน้ำโขงครับ ทุกชิ้นคัดของสวยไม่มีตำนิไม่มีรอยแตกในเนื้อหิน เอาแต่ของดีจริงมาเท่านั้น ของมีจำนวนจำกัดครับมีไม่มาก

บทสวดภาวนารักษาโรคร้ายต่างๆ ด้วยการนำธาตุกายสิทธิ์มาภาวนาด้วยพระพุทธคาถาแก้รักษาโรคร้ายต่างๆเช่น โรคมะเร็ง พระพุทธคาถาแก้รักษาโรคมะเร็ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระพุทธคาถาแก้รักษาโรคมะเร็ง หรือโรคร้ายต่างๆ วันพระ 15 ค่ำ ทรงศีล 8 บวงสรวงโดยใช้คำบวงสรวงของหลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ แต่งชุดขาว อธิษฐานภาวนาด้วยพระคาถารักษาโรค

พุทธังทลาย ธัมมังหาย สังฆังสูญ

พุทโธรักษา ธัมโมรักษา สังโฆรักษา


แล้วสูดลมกลั้นหายใจ 1 อึด และภาวนาตามลมหายใจเข้าออกนึกในใจว่า

สัมพุทโธมะอะอิ ระโชหะระนัง ระชังหะระติ แล้วก็สัมผัสธาตุกายสิทธิ์ไว้ที่มือ แล้วก็นึกไปว่ามีพลังงานอันศักสิทธิ์มาช่วยรักษา แล้วก็กำหนดไปส่วนที่เจ็บปวด หรือให้ทั่วร่างกายของเรา แล้วเราจะรู้ศึกผ่อนคลาย หายเจ็บปวดได้

ข้อมูล - www.poweropject.com
ภาพจาก - www.watcharathath.com


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 17/9/09 at 08:23


(Update 17/09/52)

"มณีใต้น้ำ เพชรพญานาค"
เป็นหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขง หรือ ตามถ้ำริมแม่น้ำโขง

......จากเรื่องราวของแก้วมังกรหรือแก้วกายสิทธิ์ของนาคราชแห่งเมืองบาดาล เรื่องราวของธาตุกายสิทธิ์ที่เป็นแก้วสารพัดนึก แก้วกายสิทธิ์อันหาได้ยาก เรื่องราวที่เล่าขานจากรุ่นปู่รุ่นย่าถึงอภินิหารแห่งของกายสิทธิ์ชนิดนี้ แต่ในเวลาต่อมายุคเงินตราเป็นใหญ่ เรื่องราวหลายเรื่องของธาตุกายสิทธิ์อันวิเศษ

เรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็ได้ถูกคนกลุ่มหนึ่งนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเป็นช่องทางในการทำมาหากิน โดยอาศัยความเชื่อของคนเราที่มีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นช่องหากำไร อย่างเหล็กไหลจนกระทั่งมาถึงเพชรพญานาคของล้ำค่าแห่งนาคโลก

ตามที่มาของแก้วกายสิทธิ์จากเมืองบาดาลนี้ตามแต่โบราณหรือที่มาในยุคต้นๆ นั้นของเพชรพญานาคมาจากการที่ทางวัดพระธาตุมหาชัยได้มีการพบแก้วปะกำหรือเพชรพญานาค โดยมีญาติโยมบางท่านนำมาถวายและได้ทำการบรรจุไว้ในเจดีย์พระธาตุมหาชัย เรื่องราวในครั้งนั้นได้จุดประกายเรื่องราวเพชรเมืองบาดาลให้ตื่นเต้น และยังทำให้หลายท่านต้องการครอบครอง

ต่อมาไม่นานได้มีข่าวของฆราวาสนักบุญผู้หนึ่ง ซึ่งมีการให้บูชาเพชรพญานาคของดีจากเมืองบาดาล โดยมีเจ้าศรีสุทโธเป็นผู้อนุญาตให้นำออกมาสู่โลกมนุษย์ได้ เพื่อจะได้คนศรัทธามาทำบุญกันทราบว่า เมื่อแรกนั้นเพชรพญานาคก้อนนึงตกราคาเป็นแสน ทั้งนี้มีข้อมูลอีกว่าได้มีการจำแนกสรรพคุณของเพชรกายสิทธิ์ล้ำค่านี้ตามสีสันที่พบเจอ โดยแบ่งออกเป็น ๗ - ๙ สี ดังนี้ คือ

การแบ่งตามวรรณะตามโทนสีของเพชรนาคา สามารถแบ่งออกได้คือ
1. สีนำเงิน วรรณะกษัตริย์
2. สีฟ้าน้ำทะเล วรรณะเชื้อพระวงศ์
3. สีเขียว วรรณะนักบวช,ผู้ทรงศีล
4. สีแดง วรรณะนักรบ,ขุนพล
5. สีม่วง วรรณะขุนนาง
6. สีขาว วรรณะ กลาง
7 .สีเหลือง, สีส้ม, สีชมพู วรรณะทั่วไป


ความหมายตามสีสันของเพชรนาคา ก็คือ

1. สีขาว หมายถึง พลังบารมีพุทธคุณหรือบารมีขององค์มหาพระโพธิ ที่ได้ทรงบำเพ็ญเพียรถือศีลภาวนาปฏิบัติธรรมลดละกิเลสตัณหาอุปทาน ให้วางจิตให้อยู่ในสายกลางไม่มีบุญไม่มีบาป มีสติเป็นผู้รู้(เกิดปัญญา)เท่าทันในสภาวะปัจจุบัน เกิดความใสสะอาดบริสุทธิ์ มีจิตใจเยือกเย็นหนักแน่นมั่นคงไม่หวั่นไหวง่ายๆ เหมาะกับผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวรวนเรไม่มีความมั่นใจ

2. สีแดง หมายถึง สีแห่งกำลังฤทธิ์อำนาจ กล้าหาญเด็ดเดียวความคิดฉับไหวเฉียบคมดุดัน ตัดสินใจรวดเร็วตรงเป้าหมายทันอกทันใจ เป็นที่เคารพน่าเกรงขาม ผู้ที่ได้ครอบครอบเพชรนาคาสีแดงนี้จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมฝึกฝนให้จิตมี ”สติ” รู้เท่าทันอารมณ์ มิเช่นนั้นจะเกิดผลกระทบที่ไม่ดีเกิดขึ้น ทั้งตนเองและผู้อื่น

- สีแดงเป็นสีที่บ่งบอกถึง ”โทสะจริต” ที่มีความต้องการให้ทันอกทันใจรวดเร็ว บางครั้งไม่เป็นตามที่เราต้องการก็จะเกิดอารมณ์โมโหโกรธขึ้นมานี้ละตัวร้าย ยิ่งเพชรนาคาที่มีสีเข้มขึ้นมากเท่าใดยิ่งจะมีพลังทางลบมากเท่านั้น มันจะเผาผลาญทั้งกายและจิตใจให้เกิดความหม่นหมองมืดมัวเศร้าสร้อยไปทางทุคติที่ไม่ดี

2.1.สีแดงพิเศษ…จะมีเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่จัมโบ้ รูปวงรีความยาวประมาณ 3 ซ.ม.ขึ้นไป จะเป็นสีที่พลังอานุภาพฤทธิ์อำนาจสูงกว่าสีปกติมาก เพราะจะเป็น”เพชรนาคาสีแดงขอบดำ ครูบาอาจารย์บอกว่า ”เป็นพลังอนันตจักรวาล”

- ผู้ที่สามารถที่จะครอบครองได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาบารมีที่ได้สร้างสมมาจากอดีตชาติไว้มาก หรือและต้องเป็นผู้ที่มี ”จิต” เป็นฤทธิ์เดชตบะมหาอำนาจที่ฝึกฝนมาทางนี้ มิเช่นนั้นไม่สามารถที่จะรองรับพลังอานุภาพของเพชรนาคาที่มีพลังอนันตจักรวาลได้

3.สีเขียว หมายถึง อำนาจจิตที่มีความเมตตาเย็นกายเย็นจิต มีเดช ตบะบารมีของผู้ทรงธรรมที่มีจิตสัมผัสทางโลกลี้ลับเหล่าเทพพรหมเทวดา มีพลังอำนาจลี้ลับไหลเวียนเป็นกระแสล้อมรอบตัว ทำให้จิตมีความสงบเยือกเย็นมั่นคงแคล้วคลาดจากภัยอันตรายต่างๆ

- ยิ่งสีเข้มยิ่งมีอานุภาพของพลังที่สื่อผ่านมาจากเพชรนาคาจนเย็นยะเยือก เป็นที่เคารพนอบน้อมเป็นที่น่าเชื่อถือไม่ว่าจะทำสิ่งใดพูดจาอะไร เป็นเหตุที่เกิดมาจากการบำเพ็ญเพียรตบะบารมี”สัจจะอธิษฐาน”ที่ไม่พูดปดมดเท็จหลอกลวงตลบแตลง และเป็นสีของกายทิพย์ผู้เป็นจอมเทพใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้าทรงช้างเอราวัณ 3 เศียรที่มีอำนาจฤิทธานุภาพจ้าวแห่งสรวงสวรรค์แห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

4. สีเหลือง หมายถึง ความนุ่มนวลมีสง่าราศีสีที่แสดงถึงความมั่งคั่งมีโชคมีลาภไหลมาเทมา มีความเจริญสดใสรุ่งเรืองดัง ”ทองคำ” ที่มีคุณค่าในตัวเอง กระแสแห่งสียิ่งสีสดใสเท่าใดยิ่งมีกระแสแห่งโชคลาภทรัพย์สินเงินทองเปล่งประกายมากขึ้นเท่านั้น เป็นกระแสที่ทำให้น่าเกรงขามเคารพศรัทธาในความมีสง่าราศีดังเจ้าขุนคุณนายเจ้าพระยาผู้มีศักดิ์มีศรี จะได้รับการช่วยเหลืออนุเคราะห์สงเคราะห์ทำให้หน้าที่กิจการเจริญก้าวหน้าราบรื่น

- หมายเหตุ… ผู้ใดได้เพชรนาคาสีเหลืองไว้ครอบครองจะต้องมีจิตใจที่ชอบทำบุญทำทานเป็นนิจวัตร มีน้อยทำน้อยมีมากเท่ามากตามกำลังของตนเองและต้องเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม ยิ่งจะส่งผลให้เกิดกระแสแห่งทานบารมีที่บริสุทธิ์ส่งเสริมพลังเพชรนาคาสีเหลืองและองค์เทพที่รักษาดูแลมีบุญบารมีเพิ่มขึ้น


5. สีส้ม หมายถึงพลังแห่งการป้องกันภัยจากอาวุธภัยอันตรายต่างๆ เป็นพลังที่มีความคิดเด็ดเดียวกล้าหาญกล้าคิดกล้าทำกล้าที่จะเผชิญและเป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้ายุติธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เป็นกระแสพลังที่ป้องกันและลดสลายอุปสรรคพลังที่ไม่ดีที่เข้ามากระทบ

- กระทำให้บุคคลใดผู้ใดที่คิดจะมาเบียดเบียนต้องพ่ายแพ้ตนเองไปในที่สุด มีเทพที่มีคุณธรรมดูแลปกปักรักษา และเป็นสีแห่ง”พระบารมีขององค์พระสยามเทวาธิราช”องค์มหาเทพที่ดูแลปกปักรักษาคุ้มครองประเทศชาติ,ศาสนา,พระมหากษัตริย์ จากภัยอันตรายจากศัตรูผู้ไม่เป็นมิตรที่คิดมากระทำย้ำยี

6. สีม่วง หมายถึง พลังที่มีอำนาจลึกลับยากที่จะหยั่งถึงได้ ดังคำว่า”รู้หน้าไม่รู้ใจ” เกี่ยวข้องจิตวิญญาณโอปาติกะภูติผีปีศาจทำให้เกิดความเกรงกลัวไม่กล้าที่จะคิดไม่ดีกระทำไม่ดี เหมือนมีพลังลึกลับจ้องมองอยู่ ยิ่งสีที่เข้มจนเกือบดำไม่ต้องพูดถึงมีพลังลึกลับอานุภาพมากขึ้นเป็นทวีคูณ ป้องกันภูติผีปีศาจคุณผีคุณคนคุณไสยการกระทำย้ำยีต่างๆให้เสื่อมสลายหายไป และเป็นสีที่สามารถดูดซับพลังอำนาจลึกลับทั้งดีและไม่ดีได้ขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของ

- หมายเหตุ… บุคคลที่มีวาสนาครอบครองเพชรนาคาสีม่วงนี้จะเป็นคนที่มีพลังลึกลับหรือมีสัมผัสพิเศษเรื่องลึกลับบางคนอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้และเป็นคนที่ช่างคิดช่างต รึกตรองเจ้าวางแผน ถ้ามีมากจนกระทั่งออกไปทางหน้ากลัว อาจจะเกิดผลเสียหรือเกิดพลังที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ควรที่จะฝึกปฏิบัติจิตให้มีความเมตตาหนักแน่นปล่อยวางจากอารมณ์ที่มากระทบ ให้จิตมีแต่ความโปร่งใสบริสุทธิ์จะทำให้อานุภาพของเพชรนาคาสีม่วงนี้จะเปล่งประกายออกมาครอบคลุมทั่วร่างตลอดเวลา เสมือนเกราะแก้วคุ้มครอง

6.1. สีม่วงพิเศษ… จะมีเฉพาะเม็ดขนาดใหญ่จัมโบ้ รูปวงรีความยาว 3 ซ.ม.ขึ้นไป จะเป็นสีที่มีพลังฤทธิ์อำนาจแห่งความลึกลับแห่งจิตวิญญาณโอปาติกะ ป้องกันอาถรรพ์การกระทำคุณไสยคุณผีคุณคนการกระทำย้ำยีต่างๆผูก
พยนต์ฝังรูปฝังรอย ทำให้เกิดการสลายเสื่อมอานุภาพ ศัตรูหมู่มารต่างสยบไม่กล้าที่จะคิดร้ายกระทำไม่ดี มีอานุภาพแผ่พลังครอบคลุมเป็นปริมณฑลได้ทั้งบ้าน แต่ก็ขึ้นอยู่ผู้ที่เป็นเจ้าของครอบครองมีจิตสะอาดอยู่ในศีลในธรรมหรือไม่เป็นหลัก ยิ่งที่เป็นผู้ที่ปฏิบัติทางจิตจะยิ่งเปล่งประกายของอานุภาพรัศมีกว้างขึ้น

7.สีฟ้า หมายถึง ถึงผู้ที่มีบุญวาสนาที่ได้สร้างสมมาในอดีต มีน้ำใจกว้างขวางใสสะอาด น่าเคารพนอบน้อมดังเพื่อนสนิทมิตรสหายสนิทชิดเชื้อกันมานาน พูดจาเจรจาพาทีเข้าทีเข้าท่าติดต่อค้าขายคล่องตัวลื่นไหลสะดวก เป็นผู้ที่
มีบุญฤทธิ์ที่เหล่าเทพยดาดูแลค้ำชู เดินทางไปไหนมาจะมีความสะดวกสบาย

8.สีน้ำเงิน หมายถึง ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมีสูงมีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์บารมี เป็นผู้นำผู้ปกครองมีทั้งเดชตบะบารมีเป็นที่เคารพน่าเกรงขามมีขุมทรัพย์มหาศาลที่ซ้อนเร้นอยู่ ดังร่มโพธิ์ร่มไทรที่แผ่กิ่งก้านร่มเย็นที่พักพิงแก่สรรพ มีพลังที่ป้องกันศัตรูภัยอันตรายต่างๆทั้งแปดทิศ จะต้องมีเทพพรหมเทวดาดูแลปกปักรักษาตลอดเวลาเสริมสร้างบารมียิ่งขึ้น

- หมายเหตุ…ผู้ที่บุญวาสนาได้ครอบครองจะต้องเป็นผู้ที่บุญวาสนาบารมีมาในอดีตชาติที่สร้างสมมานาน และต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประจำใจ มิฉะนั้นจะเกิดอาถรรพ์ที่ไม่ดีแก่ผู้ที่ครอบครองเกิดความวิบัติ อย่าหลงอดีตอย่าบ้าอำนาจอย่าอวดเก่งหลงตัวเอง จงทำจิตให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดคือการปล่อยวางจากกิเลสตัณหาอุปทาน

9. สีชมพู หมายถึง สีแห่งพลังอานุภาพเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์มหานิยมนิ่มนวลอ่อนโยน มีความโดดเด่นสะดุดตาดึงดูดสำหรับเพศตรงข้ามและผู้คนรอบข้างผู้ที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ผู้คนรอบข้างเกิดความเมตตาช่วยเหลืออย่างน่าอัศจรรย์ใจ ยิ่งสีชมพูเข้มออกสดใสยิ่งมีพลังมหาเสน่ห์ดึงดูดเป็นที่รักใคร่เป็นที่พึงปรารถนาดังนางพญาที่สูงศักดิ์สง่างดงามอย่างน่าประหลาด

- หมายเหตุ…ผู้ที่ได้ครอบครองจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ดีงาม ไม่นำพลังไปใช้ในทางไม่ดีดัง”ปากหวานก้นเปรี้ยวเลี้ยวตลบแตลง”ยิ่งกระทำกับเพศตรงข้ามจนกระทั่งผิดศีลในข้อที่ 3 จนเกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ บั้นปลายท้ายสุดแล้วจะอเน็จอนาถน่าสังเวชเป็นอย่างมาก เมื่อผลกรรมนั้นมาตอบสนอง

10. สีชา(สีพิเศษ) หมายถึง สีที่มีพลังอานุภาพสามารถที่จะยับยั่งอารมณ์ความคิดที่ใช้แต่อารมณ์ ทำให้สติปัญญาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ถูกที่ควรที่ตามไม่ทัน จนกระทำพลาดพลั้งผิดพลาดไปจนเกิดความเสียหาย เหมาะกับผู้ที่ขาดแหล่งพึงพิงทางจิตใจหรือผู้ที่มีจิตใจเลื่อนลอยเสร้าเสียใจผิดหวังท้อแท้ และมีความพิเศษก็คือจะมีอานุภาพทางมีโชคมีลาภอย่างที่คาดไม่ถึง ( เป็นสีที่หาพบได้ยาก )

- สำหรับรูปพรรณสัณฐานนั้นของเพชรพญานาคที่ได้มาจากการทุบนั้นแบ่งออกได้หลายลักษณะได้แก่ ทรงกลมอย่างหนึ่ง ทรงรีบรูปหนำเลี้ยบ ทรงแบบคล้ายแก้วเลนส์ นอกจากทรงต่างๆ และสีดังกล่าวมาแล้ว บางครั้งเมื่อทำการทุบหินแก้วนาคราชออกมายังมีการพบวัตถุสีดำเนื้อคล้ายแก้วหรือโลหะ โดยหลายท่านเชื่อว่าเป็นเหล็กไหลเมืองบาดาลหรือเหล็กไหลนาคราชของดีหายากอีกอย่างหนึ่งที่ประเมินราคาไม่ได้

ทั้งหมดนี้เป็นแค่คำบอกเล่าต่อๆ กันมา ถ้าเมื่อไรทางเวปพลังวัตถุไปเจอของจริง หรืออันที่สัมผัสได้ว่า เป็นมณีใต้น้ำจริง จะนำมาเสนอ แต่ป่านนี้ยังไม่เคยเจอของจริงครับ คงต้องรอกันต่อไป

ข้อมูล - www.poweropject.com/index.php?mo=3&art=82823
ภาพ - www.watcharathath.com


ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 23/9/09 at 08:02


(Update 23/09/52)

"ไข่พญานาค" อีกชื่อเรียก "แก้วพระกำ"


เป็นหินมีร่องรอยมือกำอยู่ แต่ไม่รู้เขาทำอย่างไรดูมันเก่าจัง แต่แม่ชีเล่าเป็นตุเป็นตะว่ามาจากใต้พิภพ พญานาคและพระสงฆ์ใต้พิภพเป็นผู้ทำขึ้นมา แล้วเอามาให้คนเช่าบูชาราคาเป็นหมื่นแสน เมื่อทุบหรือผ่าดู ข้างในเป็นอัญมณีสีสวย

แต่ละก้อนก็มีอัญมณีข้างในแตกต่างกัน เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่กำโกเมนเอก เขียวพิเภกโมรา..........อะไรบ้างก็จำได้ไม่หมด พลอยแต่ละชนิดที่เขาแสวงหามาใส่สวยจริง ๆ เห็นแต่แรกก็นึกว่าจริง พอใจมันนิ่ง ๆ มันก็เข้าใจว่าถูกหลอกอีกแล้ว แต่ขอกระซิบดัง ๆ ใครอยากได้แก้วสวย ๆ งาม ๆ มีขายที่ท่าพระจันทร์ เหมือนกันเด๊ะเลย เหล็กไหลขาวก็มีแถว ๆ นั้น

เชื่อมั้ย...ตามไปเจอปรมาจารย์ต้นตอที่หลอกลวงผู้คนในเรื่องแก้วพญานาคนี้ เขาสมญานามตัวเองว่า "......" ซึ่งมีอายุอานามหลายร้อยปี พวกเจ้านายแถว ๆ อีสานให้ความเคารพนับถือมาก แต่เราไปพบเมื่อหลวงพี่สึกมานอนกกแม่ม่าย ปลูกบ้านหลังใหญ่ในป่าแห่งหนึ่งแถววานรนิวาส แล้วเราก็ถูกตามหลอกหลอนอีก เมื่อท่านเอาแก้วพระกำมาผ่าให้เราดู เจออัญมณีที่เจียรไนแล้ว พร้อมจะเป็นหัวแหวนได้ทันที แหม.... พิภพพญานาคเขาก็เก่งไม่ใช่เล่น

แต่คนเก่งที่สุดคือคนกรุงเทพ ฯ คนหนึ่งที่คนพากันนับถือว่าอาจารย์ ๆ ๆ เป็นเจ้าของโรงเจแห่งหนึ่งแถวพุทธมณฑลสายสอง เขาเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงพี่...... ก็เลยดังขึ้นมาพร้อม ๆ กัน แล้วดับไปพร้อม ๆ กัน แต่ศิษย์ในกรุงยังมีคนนับถืออยู่นะครับ ในฐานะเป็นเจ้าของไข่พญานาค และเหล็กไหลขาว อะฮ้า... ขอโทษ ผมไม่ได้เอ่ยอ้างชื่อใครนะ ฟ้องหมิ่นประมาทไม่ได้ครับ

ที่มา - www.sanyasi.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=509162&Ntype=3



...ไข่พญานาค (เพชรพญานาค)...


สวัสดีครับ ทุกท่าน บล็อกนี้ ยาวเป็นพิเศษ ถ้าไม่ว่างจริงๆ ก็ไม่ต้องอ่านนะครับ บล็อกนี้ เขียนขึ้นเนื่องจากว่า ท่านป่าป๊าของกระผม เสียเงินไปมากมายก่ายกอง ให้กับ"ไข่พญานาค" หรือ "เพชรพญานาค" สุดแท้แต่จะเรียก


เมื่อวานซืน (6 ก.พ. 2551) เป็นวันตรุษจีน ฤกษ์งามยามดี ท่านป่าป๊าจึงตัดสินใจที่จะทุบก้อนหินก้อนนึง ซึ่งได้มาจากที่ไหนซักแห่ง และคนที่มอบหินให้ท่านป่าป๊ามา ก็บอกว่า ในหินก้อนนั้น มีไข่พญานาคอยู่ข้างใน ทุบแล้วจะเจอ แล้วท่านป่าป๊า ก็ลงมือทุบด้วยตนเอง ใช้ค้อนทุบ โป๊กๆๆๆ ที่ด้านบนของก้อนหินนั่น เชิญชมภาพประกอบคำบรรยาย




ก้อนหินก้อนนั้น ทุบแป๊บเดียว เจอรูเลย แต่ก็ยังทุบต่อไป





ทุบจนค้อนหัก ได้ออกมาอันแค่เนี้ย เทียบกับลูกใหญ่ ต่างกันกี่เท่าฟะ

สิ่งที่เจอ ลักษณะไม่เหมือนกับไข่พญานาคที่เป็นลูกกลมๆ กลมดิ๊กเลย ซึ่งท่านป่าป๊ามีอยู่ก่อนแล้ว สิ่งที่ได้จากก้อนหินนั้น เป็นผลึกสีเหลือง น่าจะเป็นวัสดุเดียวกับไข่พญานาคที่ท่านป่าป๊ามี แต่รูปร่างเป็นเหมือนเขี้ยวของเสือตัวใหญ่ หรืออาจจะเป็นเขี้ยวของพญานาค ผลึกนี้มีขนาดประมาณนิ้วก้อยของชายฉกรรจ์ ผิวเรียบ มัน..วาว อืมม.. ประมาณนี้

หลังจากได้ผลึกแท่งนั้นออกมาแล้ว ท่านป่าป๊า ก็ยังคงทุบต่อไป เพราะหวังว่า จะมีอีก เนื่องจากหินก้อนใหญ่มาก ปริมาตรคร่าวๆ ของก้อนหินนั้น ก็ ยาว 40cm กว้าง 40cm สูง 30cm แต่มันไม่ได้เปลี่ยมหรอกนะ ทุบๆๆๆ โป๊กๆๆๆ อยู่ประมาณ 13 นาที ค้อนก็หัก เพราะด้ามค้อนเป็นไม้ แถมเก่าอีกตะหาก ท่านป่าป๊าจึงเลิกทุบ

หลังจากได้ผลึกนั้นมาแล้ว ท่านป่าป๊า ก็มองดู แล้วพูดว่า "แค่นี้เองเหรอ" อารมณ์เหมือนจะผิดหวัง แล้วท่านป่าป๊าก็มาพูดกับเราทีหลังว่า "อืมม..มันเนียนเกินไปเนอะ เหมือนว่า มีคนทำขึ้น"

นี่คงจะเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ท่านป่าป๊าระลึกได้ซักนิดว่า ตัวเองกำลังถูกหลอกอยู่ ก่อนหน้านี้ ใครๆ จะพูดอะไร ท่านป่าป๊าไม่เชื่อเลย ท่านป่าป๊าคิดว่า ของเค้าดีจริง ต้องมีบุญเท่านั้น ถึงจะได้ครอบครอง...

จบเหตุการณ์เมื่อวันตรุษจีนไป เข้าสู่วันเที่ยวของเทศกาลตรุษจีน ท่านป่าป๊ามาพูดกับเราเรื่อง ไข่พญานาค อีกครั้ง ท่านป่าป๊าถามว่า "ไช้รู้จักธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์มั้ย" เราก็ตอบว่า "รู้ครับ ทำไมเหรอครับ"

ท่านป่าป๊าพูดด่อไปว่า "ไช้ลองไปเดินดูลูกแก้วพวกนี้ซิ แล้วลองซื้อมาเปรียบเทียบดูหน่อย เอาหลายๆขนาดเลยนะ" เหมือนจะเป็นข่าวดีนะ เพราะเหมือนกับว่า ท่านป่าป๊าเริ่มคิดได้แล้วว่า ของปลอม มันก็ทำได้

ตกดึก ของคืนวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 เราก็เลยค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับไข่พญานาค โดย search ใน Google ใช้ keyword ว่า "ไข่พญานาค" ค้นหาได้ 633 เว็บไซต์ และใช้ keyword ว่า "เพชรพญานาค" ค้นได้ 1,560 เว็บไซต์ แล้วก็นั่งอ่านข้อมูลที่พูดถึง "ไข่พญานาค" ที่เป็นลูกแก้ว แล้วก็พบข้อมูล ที่ต้องขออนุญาต นำมาอ้างอิงไว้ตรงนี้ โดยไฮไล้ท์ส่วนที่สำคัญไว้แล้ว แต่ถ้าใครขี้เกียจอ่าน ข้ามเลยก็ได้ครับ ข้ามไปสองเส้นเลย เส้นนี้ แล้วก็เส้นข้างล่าง

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))(

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 29/9/09 at 08:42


((( ต่อจากตอนที่แล้ว )))

(Update 29/09/09)

พิสูจน์ "เพชรพญานาค" ในเว็บไซด์ต่างๆ


เว็บแรก ที่มา : www.dmr.go.th/faq/type/type7.asp
ตัวอย่างที่เรียก “ไข่พญานาค” ที่นำมาตรวจที่กรมทรัพยากรธรณี มีรูปร่างกลม กลมรี คล้ายไข่ มีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดกรวดเล็ก(เส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ เซนติเมตร) จนถึงขนาดใหญ่(เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๐ เซนติเมตร) ส่วนใหญ่เป็นหินทรายที่เกิดในธรรมชาติ หรือเรียกว่า "มวลสารพอก" (concretion)

ซึ่งพบทั่วไปในหินทรายกลุ่มโคราช นำมาเขย่าดูจะได้ยินเสียงคล้ายมีของอยู่ภายใน เมื่อทุบดู จะพบว่ามีพลอยอยู่ภายในมีสีต่างๆ เช่น สีเหลือง แดง เขียว ไม่มีสี สีดำ ฯลฯ ตรวจสอบแล้วเป็น เซอร์โคเนีย หรือเพชรรัสเซีย สีดำเป็นเหล็กทำลำโพง ซึ่งเป็นสิ่งที่สังเคราะห์ขึ้น และยังพบว่ามีการนำตัวอย่างหินทรายมาทุบให้แตกแล้วนำพลอยใส่แล้ว จึงนำกาวตราช้างมาติดให้ปิดให้มีลักษณะเหมือนเดิม นำไปหลอกขายว่าเป็นของแปลก



เว็บที่สอง ที่มา : board.palungjit.com/showthread.php?t=7265

ต้มเจ้าอาวาส
ข่าวจากหนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” ฉบับที่ 15712 วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2544 คอลัมน์ “ข่าวสั้นทันโลก” ได้นำเสนอข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ กระแสธาตุกายสิทธิ์ ที่น่าสนใจว่า

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 26 ม.ค. พระอาจารย์ไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า นายวิเชียร เพชรนิล อายุ 30 ปี และนางจันทร์จุรี หมายเมฆ อายุ 27 ปี สองผัวเมียอยู่บ้านเช่าเลขที่ 20/12 ถนนเลียบทางรถไฟ บ้านบ่อนไก่ อ.หัวหิน นำก้อนหินเป็นแก้วผลึกสีอ้างว่าเป็น "ไข่พญานาค" ได้มาจากพระธุดงค์ที่ จ.สุโขทัย

มีสรรพคุณรักษาโรคได้ทุกชนิดและเป็นเครื่องรางของขลังสิริมงคล มาหลอกขาย 2 ครั้ง ครั้งแรก 9 ก้อน ตนจ่ายไป 10,000 บาท ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมานำมาขายอีก 84 ก้อน คิดราคา 84,000 บาท แต่จ่ายเงินให้ไปก่อน 70,000 บาท ต่อมามีญาติโยมทักท้วงจึงลองทุบดู พบว่าข้างในเป็นแก้วผลึกธรรมดา จึงมาแจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกง หลังรับแจ้งตำรวจตามจับนางจันทร์จุรีได้คนเดียว



เว็บที่สาม ที่มา : www.dra.go.th/dra_new/default.asp?p=webboard&id=351
อยากจะให้กรมการศาสนามาตรวจสอบการหลอกลวงชาวบ้านให้งมงายไปกับเรื่องไร้สาระและการหาประโยชน์จากวัดหน่อย ได้แจ้งไปหลายที่แล้วโดยเฉพาะสำนักพระพุทธศาสนาจ.เลย ไม่ทำหน้าที่ที่ดีเลย คือว่าในขณะนี้ได้มีวัดหลายแห่งในเขตจ.เลยได้ใช้วิธีการหากินกับศาสนาโดยอ้างอิทธิฤทธิ์ของหินสีต่างๆ ที่อ้างว่าเป็นไข่พญานาคบ้าง หินจากถ้ำบ้าง

หากินเป็นขบวนการตั้งแต่เจ้าอาวาส พระ ลูกของพระ ผู้ใหญ่บ้าน ตรวจสอบหน่อย เงินที่ได้มาจากการทำบุญก็เอาไปให้ลูกชาย ญาติของเจ้าอาวาสใช้จ่ายจนร่ำรวยทันตาเห็น หลอกชาวบ้านจนหมดตัวแล้ว วัดที่ว่านั้นก็คือวัดพระพุทธบาทภูควายเงิน อ.เชียงคาน จ.เลย เจ้าอาวาสชื่อหลวงปู่... มีบริวารรอบข้างอีกหลายคน หลวงปู่นี้เป็นตำรวจเก่าหลอกชาวบ้านอย่างน่าสงสาร ใครพูดก็ไม่ได้โกรธ หาเงินให้ลูกใช้อย่างเดียว วัตถุหลอกลวงเพียบ กรมการศาสนาตรวจหน่อย พึ่งสน.พุทธเลยไม่ได้ไม่ทำงานทำการอะไรเลย



เว็บที่สี่ ที่มา : www.komchadluek.net/news/2005/05-04/p1-17241610.html
โล้นนักตุ๋นเผ่น แฉหลอกขายเพชรพญานาค

โล้นซ่าล่องหนหายออกจากบ้านย่านนวมินทร์ หลังถูกเปิดโปงอวดอ้างอภินิหาร ฟัน-แทงไม่เข้า นักธุรกิจทัวร์เหยื่อตุ๋นแฉอีก ถูกหลอกไปหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ "เพชรพญานาค" ถึงลพบุรี

ความคืบหน้ากรณีนักธุรกิจบริษัททัวร์กล่าวหา นายชนาสิน โภไคยเลิศ หรือครูบาลี อายุ 45 ปี อวดอ้างอภินิหารฝังตะกรุด แล้วฟัน-แทงไม่เข้า ก่อนจะหลอกเอาเงินไปกว่า 2 ล้านบาท ตามที่ "คม ชัด ลึก" นำเสนอไปแล้วนั้น ล่าสุดนายชนาสิน และ น.ส.วราภรณ์ โภไคยเลิศ อายุ 54 ปี ได้หายออกไปจากบ้านเลขที่ 77/3 ซอยนวมินทร์ 70 ถนนนวมินทร์ แขวงและเขตคันนายาว กทม.แล้ว

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสังเกตความเคลื่อนไหวที่บ้านซึ่งนายชนาสินเคยใช้เป็นสถานที่หลอกลวงบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ถึงอภินิหารฟัน-แทงไม่เข้า ตั้งแต่กลางดึกวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พบว่า บ้านถูกปิดเงียบ ปราศจากผู้คน จากการสอบถามแม่ค้าขายของชำฝั่งตรงข้ามทราบว่า นายชนาสิน และ น.ส.วราภรณ์ ได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าวันที่ 2 พฤษภาคม โดยนายชนาสินนุ่งกางเกงวอร์ม สวมเสื้อยืด ขับรถตู้ยี่ห้อโฟล์ค สีฟ้า หมายเลขทะเบียน พล 182 กรุงเทพมหานคร ออกไป จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้กลับเข้าบ้าน

นายกฤษณพล ธนบุญชัย นักธุรกิจบริษัททัวร์ ผู้เสียหายที่ถูกนายชนาสินธ หลอกเงินไปกว่า 2 ล้านบาท เปิดเผยว่า นอกจากนายชนาสินซึ่งปลอมเป็นครูบาลี จะอวดอ้างอภินิหารแล้ว ยังหลอกลูกศิษย์ลูกหาที่หลงเชื่อว่าสามารถติดต่อกับพญานาคได้ โดยเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา นายชนาสินได้หลอกให้เดินทางไปที่วัดพุทธมงคล อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี โดยอ้างว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพญานาคและมีเพชรพญานาคอยู่ หากใครได้ครอบครองก็จะช่วยเสริมบารมีและมีโชคลาภ ถ้าเป็นข้าราชการก็จะได้เลื่อนตำแหน่ง หากเป็นนักธุรกิจเงินทองก็จะไหลมาเทมา

นายกฤษณพล กล่าวต่อว่า ครูบาลีเลือกที่จะเดินทางไปที่วัดพุทธมงคลในเวลากลางคืน เมื่อไปถึงก็จะทำพิธีทางไสยศาสตร์อ้างว่าเพื่อติดต่อพญานาค หลังจากนั้นก็พาตนพร้อมลูกศิษย์ที่หลงเชื่ออีกจำนวนหนึ่งไปที่บ่อน้ำในป่าละเมาะข้างวัด พร้อมระบุว่าเป็นที่อยู่ของพญานาค ไม่นานก็ได้ยินเสียงหินกระทบน้ำ ซึ่งครูบาลีบอกว่าเป็นเสียงของพญานาคกำลังออกไข่

"ครูบาลีบอกว่าพญานาคออกไข่แล้ว ใครที่มีบุญก็จะหาพบ จากนั้นก็นำทางพาไปหา พบก้อนหินขนาดเท่าผลส้มโอวางอยู่ในบ่อน้ำ ซึ่งครูบาลีบอกว่าเป็นไข่พญานาค ภายในมีเพชรพญานาคอยู่ ก่อนจะนำก้อนหินมาทำพิธีและตอกออกมา ปรากฏว่าภายในมีพลาสติกใสรูปน้ำเต้าบรรจุอยู่ หลังจากทำพิธีเสร็จ ครูบาลีได้ให้ลูกศิษย์ที่เลื่อมใสนำเงินใส่ซองถวายแลกกับเพชรพญานาค" นายกฤษณพล กล่าว

ด้าน พ.ต.ท.ทรงธรรม ศรีกาญจนา พนักงานสอบสวน สน.บึงกุ่ม เจ้าของคดีที่นายกฤษณพลแจ้งความดำเนินคดีนายชนาสิน และ น.ส.วราภรณ์ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ เปิดเผยว่า หลังรับแจ้งความ ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาทั้งสองมาดำเนินคดีตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา โดยจับกุมได้ที่บ้านพักเลขที่ 77/3 ซอยนวมินทร์ 70 ถนนนวมินทร์ แขวงและเขตคันนายาว กทม. จากนั้นผู้ต้องหาได้ยื่นขอประกันตัวออกไป ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการสอบสวน เพื่อส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้อง

ที่มา - http: //hiachai.spaces.live.com/blog/cns!87B15D88F4F302B2!3560.entry



จบการค้นหาคำว่า "ไข่พญานาค" ก็เหมือนจะเป็นจุดจบของเรื่องนี้แล้ว แต่ทว่า...เกิดความข้องใจขึ้นมาว่า แล้ว "เพชรพญานาค" ล่ะ อันเดียวกับ "ไข่พญานาค" รึป่าว จึงค้นหาต่อ แล้วก็ดันไปเจอเว็บที่มีความเชื่อเกี่ยวกับของสิ่งนี้ ซึ่งก็คือ เว็บนี้ล่ะครับ... http ://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/X3554958/X3554958.html

เรื่องของ "เพชรพญานาค" มีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง เป็นประสบการณ์จากคนใกล้ตัวมากๆ ใครจะไม่เชื่อก็สุดแท้นะคะ อาจารย์ของเราท่านเคยไปสำรวจถ้ำลึกถ้ำหนึ่ง ทางภาคอีสาน โดยพาลูกศิษย์ที่ปฏิบัติธรรมไปด้วยกลุ่มหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วท่านสื่อได้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำขอมอบเพชรพญานาคให้ แต่จะไม่ให้ทุกคน จะมอบให้เพียง 7 องค์เท่านั้น ใครค้นเจอก็คือคนนั้นมีบารมีที่จะได้เป็นเจ้าของ ปรากฏว่าทุกคนก็ค้นกันใหญ่ ทั้งบนพื้นและผนังถ้ำ ก็พบ 7 องค์จริงๆ มีทั้งสีขาวและสีแดง (ทริปนั้นเราไม่ได้ไป)

ส่วนตัวของเราเอง ก็มีเพชรพญานาคเหมือนกัน และได้มาโดยไม่ได้ไปเช่ามาจากไหน ตอนที่มานั้นมาเป็นก้อนหิน แล้วมาทุบเอาเอง ตอนทุบปรากฏว่ามีกลิ่นหอมออกมาด้วย เป็นกลิ่นหอมแปลกๆ ฟุ้งไปทั้งห้อง (ถ้าคนทำปลอม แสดงว่าใช้ความพยายาม และวิจิตรบรรจงอย่างมากๆ)

นี่เป็นเรื่องๆ หนึ่ง ที่ขอเล่าให้ฟังจากประสบการณ์ที่ตัวเองและคนใกล้ตัวพบมา เราเองแต่เดิมก็ไม่ได้สนใจเรื่องของเทพ เรื่องของพญานาคหรืออะไร แต่ในที่สุดก็มาเจอเอง โดยมิได้ดิ้นรนไปหา จึงอยากจะบอกว่า เรื่องต่างๆ นั้น ควรทำใจเป็นกลางๆ ไว้ก่อน อย่าเพิ่งตัดสินพิพากษาโดยความเชื่อหรือไม่เชื่อของตัวเองเลยค่ะ

จากคุณ : ใบไม้หนึ่งใบ - [ 20 มิ.ย. 48 10:07:40 ]



ความคิดเห็นที่ 2

คุณใบไม้ครับ...หากสะดวกและเป็นไปได้โดยที่ไม่รบกวนมากเกินไปนัก ขอภาพของเพชรพญานาคที่คุณมีอยู่..นำมาให้พวกเราได้ชื่นชมกันบ้าง..จะได้ไหมครับ
อยากเห็นบ้างจังเลย....เห็นถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้...น่าจะมีการนำภาพมาให้ได้ดูกัน..และเปรียนบเทียบกันระหว่างของจริงและของทำเลียนแบบ
ปล.บางครั้งจริงปลอมก็ไม่สำคัญในทางทางวัตถุ...แต่ทางจิตวิญญาณและพลังนั้น..สำคัญกว่า...

จากคุณ : Zantha - [ 20 มิ.ย. 48 10:42:41 ]



ความคิดเห็นที่ 9

กรุณาอ่านแล้วพิจารณานะครับ สรุปได้ความดังนี้
1) เพชรพญานาคเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ที่พญานาคท่านสร้างขึ้นด้วยฤทธิ์หรืออีกนัยคือเป็นเกล็ดของท่าน แล้วนำมามอบให้ผู้มีบุญตามความเหมาะสม หรือมอบหมายให้ใครนำมามอบให้หรือให้ทำบุญเพื่อสร้างบารมีร่วมกันต่อไป
2) เพชรพญานาคจะเป็นอะไรก็ได้ เพียงแต่มีการอัญเชิญให้พลังพญานาคมาประสิทธิอยู่ในวัตถุธาตุนั้น

แบบที่หนึ่งแรก ว่าเป็นของทนสิทธิ มีฤทธิ์ในตัวเหมือน คด งากำจัดกำจาย กะลาตาเดียว หรือหินที่มีพลัง
แบบที่2 เป็นการประจุพลังเข้าเหมือนเครื่องรางของขลัง เหมือนการสร้างพระหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงปู่ทวดที่มีการอัญเชิญบารมีเข้ามาประสิทธิในองค์พระ
แบบที่3 เป็นการนำวัตถุธาตุที่เป็นของทนสิทธิมาประจุพลังอัดเข้าไปเพิ่ม เช่น เขี้ยวเสือกลวงที่นำมาแกะเป็นรูปเสือ มีการจารอักขระแล้วปลุกเสกซ้ำ

ดังนั้นเพชรพญานาคจึงไม่มีคำว่าปลอม นอกจากคำว่าใครทำ ใครประสิทธิพลัง เคยมีโอกาสไปกราบปู่ประถม อาจสาคร ซึ่งคนในสายหลวงปู่ใหญ่รู้จักกันดี ท่านกรุณาให้ข้อคิดว่า สะสมพระนั้นต้องหาที่แท้ทั้งนอก แท้ทั้งในจึงจะดี คือแท้ทั้งพิมพ์ทรงและมวลสาร ตลอดจนแท้ที่พลังที่ประจุไว้ พระแท้นั้นส่องกล้องอย่างเดียวไม่พอ ต้องส่องด้วยจิตด้วย

จึงเกิดคำพูดที่ว่าคนทำไม่ได้เสก คนเสกไม่ได้ทำ พิจารณามากๆครับ เพราะก็เคยมีปรากฎว่าขนาดป้ายโฆษณางานวัด ที่มีรูปหลวงพ่อเงินอยู่ ปืนยิงไม่ออกครับ หลายปีก่อนแท๊กซี่โดนยิงเต็มกระโหลกจากด้านหลังศีรษะ ไม่เข้าไม่เป็นไรแค่ผมหลุดไปกระจุก ไม่ได้ห้อยอะไรเลย สวดชินบัญชรทุกวันครับ ใครหวังอะไรที่เป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรมก็ขอให้สมหวังทุกประการกันทุกคนนะครับ สาธุ...

จากคุณ : jummbie - [ 20 มิ.ย. 48 13:35:14 ]



ความคิดเห็นที่ 16

แจมหน่อย... เพื่อนกาหลิบเป็นเซียนไฮโล พกลูกไฮโลติดตัว เรียกว่านับถือก็ได้ เชื่อหรือไม่ว่าลูกไฮโลเตือนภัยได้ มีประสบการณ์มากพอสมควรแต่ไม่อยากจะเล่าในนี้ พวกเลยนับถือลูกไฮโลเป็นที่พึงก็แค่นั้น

กาหลิบนิยมแจกพระแจกรูปองค์เทพ บางองค์บางภาพเชิญบารมีท่านมากำกับ บางรูปบางภาพไม่ได้เชิญ แต่กาหลิบกำชับผู้ที่รับไปให้ใช้และสวดมนต์บ่อยๆ ปรากฎว่ามีประสบการณ์พอสมควรเช่นกัน ก็เลยสรุปได้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิอยู่ที่ความศรัทธา ศรัทธาและเชื่อมั่น ท่านจะมา ศรัทธาพระหรือองค์เทพ พระหรือองค์เทพจะมาปกป้อง ศรัทธาวิทยาศาสตร์ ก็ต้องให้วิทยาศาตร์ปกป้อง (เสื้อกันกระสุนหรือกระจกนิรภัยเป็นต้น) ศรัทธาพลัง พลังจะปกป้อง ก็แค่นั้น

สำหรับเพชรพญานาคหรือพลอยพญานาค ก็ตามศรัทธาของท่าน เชื่อว่าเป็น ก็เป็น เชื่อว่าไม่เป็นก็ไม่เป็น ไม่มีอะไรพิสูจน์ บางครั้งเป็นความลับของฟ้า ไม่ต้องการให้บอกที่มาบอกก็ไม่ได้ ก็เลยไม่บอก ถ้าเราเชื่อในถ้อยคำของตาที่สาม ผู้ถือศีลย่อมมีสัจจะ บอกว่า "เพชรพญานาค" ก็ควรเชื่อว่าเป็นเพชรพญานาค คงไม่ยอมให้ศีลขาดกับเรื่องนี้

ผู้ถือศีลสามารถสละชีพเพื่อศีล แต่จะให้ยืนยัน ก็ไม่มีอะไรจะยืนยัน เพราะเจ้าของเพชรพญานาคอาจจะไม่ให้บอกว่ามาจากไหน ใครมีบุญคู่กันก็มาเอาไป ใครไม่มีบุญคู่กันก็มองเป็นแก้วสีธรรมดา เนื่องจากจะให้ผู้มีวาสนาต่อกันไปเอาในถ้ำคงลำบาก เพราะตอนนี้ไม่มีใครนิยมไปในถ้ำกันแล้ว ก็เลยฝากน้องปุกกี้ เอามาให้ซื้อบูชากัน เงินบางส่วนก็เป็นค่าใช้จ่ายน้องปุกกี้บางส่วนก็ทำบุญให้พญานาคราช ยุติธรรมดี ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ไปเอาในป่า ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเอา เชื่อก็เอา ไม่เห็นจะมีอะไร

ในส่วนตัวกาหลิบดูแล้วเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลก ดูสวยงาม เข้มขลัง ราคาถูกกว่าหินบางชนิดด้วยซ้ำ ก็เลยเอามาส่วนจะเป็นเพชรพญานาคหรือไม่ ไม่ทราบ เพราะไม่ใช่พญานาค ส่วนความเชื่อในเรื่องเพชรพญานาคจะเชื่อว่ามีสองชนิด

1.อยู่ในหิน อยู่ในหินต้องทุบออก
2.อยู่ใต้น้ำ อยู่ใต้น้ำไม่ต้องทุบเพราะจะเป็นก้อนอยู่แล้ว ทางภาคใต้เรียกว่าพลอยใต้น้ำ


ส่วนน้องปุกกี้จะเอามาจากไหน ไม่ทราบเช่นกันเพราะไม่ได้ถาม

จากคุณ : กาหลิบ - [ 20 มิ.ย. 48 21:29:50 ]



ความคิดเห็นที่ 17

ผมใส่ขันแช่น้ำ รวมกับนาคบาศก์ (เป็นหินแกะเป็รรูปงูสองตัวกินหางกันเอง) เวลาแช่น้ำ แปลกดีนะครับ มีฟองอากาศมาเกาะโดยรอบ ทั้งที่ก่อนแช่น้ำไม่มีอะไร ลองสังเกต และเปลี่ยน้ำดูมาสองวันแล้ว ไม่ทราบของท่านอื่นเป็นไหม


จากคุณ : เ ม ฆ ค รึ่ ง ฟ้ า - [ 21 มิ.ย. 48 00:57:22 ]



ความคิดเห็นที่ 19

ผมมองอย่างนี้ครับ ว่าบรรดาธาตุกายสิทธิ์ทั้งหลายที่ปรากฏอยู่บนโลกนี้นั้น จะต้องประกอบไปด้วยธาตุที่มีอยู่บนโลกนี้เช่นกัน "เพชรพญานาค" หรือ "เหล็กไหล" หากเอามาวิเคราะห์กันทางวิทยาศาสตร์ ก็เป็นเพียงแค่รัตนชาติ หิน พลอย หรือแค่โลหะเท่านั้น จะเป็นธาตุวิเศษนอกเหนือไปจากที่เราค้นพบในทางวิทยาศาสตร์แล้วนั้น คงเป็นไปไม่ได้ แม้แต่พระธาตุเอง หากนำมาวิเคราะห์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ท่านคิดว่าจะพบธาตุอะไรบ้างครับ?

จากคุณ : GlockGlack - [ 21 มิ.ย. 48 09:28:41 ]



พอได้อ่านแล้ว ก็ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของพวกเขาเหล่านั้น แต่ละคนย่อมมีสิทธิ์ในความเชื่อของตนเอง เลยคิดย้อนกลับมาว่า เอ๊ะ..ท่านป่าป๊าเชื่อในสิ่งนี้ แล้วเราจะไปห้ามท่านป่าป๊า ไม่ให้เชื่อ ได้เหรอ เป็นสิทธิส่วนบุคคลรึป่าว แต่ก็มีอีกความคิดนึงเข้ามาขัดแย้ง ว่า เราเป็นลูกของท่านป่าป๊า ถ้าเห็นว่าท่านป่าป๊าโดนหลอก ก็ควรจะช่วยชี้ทางสว่างให้

ตอนนี้ ยังไม่รู้จะทำยังไง แต่มีแผนไว้แล้วว่า จะปริ๊นข้อมูลเหล่านี้ออกมาให้ท่านป่าป๊าได้อ่านดู ถ้าท่านป่าป๊าเห็นด้วยก็ดีไป แต่ถ้าท่านป่าป๊าไม่เห็นด้วย ไม่รู้จะเป็นยังไงเนาะ ... เดี๋ยวค่อยปรึกษาท่านอาเจ้อีกทีละกัน "แก้วพญานาค" ที่ผ่านการวิจัยในห้องแล็บทางวิทยาศาสตร์ว่า น่าจะเป็นแก้วที่ทำขึ้นโดยฝีมือมนุษย์นั้น เมื่อนำไปถามหลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่นับถือ

ก็ได้รับฟังคำตอบที่จะต้องนำมาเผยแพร่ให้รับฟังกันว่ า แก้วพญานาคที่เห็นๆ กันนั้น หลวงพ่อท่านเคยเห็นแล้ว โดยมีลูกศิษย์เอาวิดีโอมาให้ด ู เป็นเรื่องการเปิดโปงขบวนการต้มตุ๋นชาวบ้าน เอามาให้หลวงพ่อดูเพื่อที่จะได้คอยเตือนญาติโยมจะได้ ไม่งมงาย มีขั้นตอนการทำตั้งแต่ไปซื้อเม็ดแก้วมา แล้วห่อปูนขึ้นมาเป็นรูปทรงรีเหมือนไข่ไก่ฟองใหญ่ยาว ประมาณ 20 เซนติเมตรผ่าครึ่ง ใส่เม็ดแก้วแล้วก็เอาอีกส่วนมาประกบ ห่อปูนทับบางๆ ทำสีเหมือนก้อนหิน แล้วนำไปวางไว้ระเกะระกะตามลำธาร แล้วก็นำชาวบ้านไปช่วยกันหา ให้ลองยกแล้วเขย่าๆ ดู บางอันก็มี บางอันก็ไม่มี

เพื่อความน่าเชื่อถือแล้วก็จะให้ทุบให้แตกแล้วก็จะพบ "แก้วพญานาค" โดยฝีมือมนุษย์ เมื่อฟังแล้วก็รีบโทร.ไปเตือนเพื่อนรุ่นพี่คนดังกล่าวที่นำแก้วพญานาคมาให้เราดู แต่ก็พบคำตอบว่าตัวพี่ไม่ได้สนใจในแง่วิทยาศาสตร์เลย ว่า แก้วพญานาคนั้นเป็นแก้วหรือเป็นอัญมณีประเภทไหน ไม่ได้สนใจเลยว่าจะพบโดยวิธีใด และไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ว่าเป็นแก้วที่เกิดตามธรร มชาติ หรือเกิดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์

หากแต่สนใจว่า "แก้วพญานาค" ที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้วจากเกจิอาจารย์ที่รุ่นพี่นับถือ จะมีอิทธิฤทธิ์มีเดช มีอานุภาพในการป้องกันภัยอันตราย และทำให้ชีวิตพบกับความผาสุก และมีโชคมีลาภ เมื่อฟังถึงตอนนี้ก็ได้งุนงง และสงสัยว่าเป็นความผิดของเราเองหรือนี่ ที่สงสัยที่มาที่ไปของแก้วพญานาค เพราะบางเรื่องของคนเราก็พร้อมที่จะเชื่อโดยไม่ต้องก ารพิสูจน์ ไม่ต้องการหาหลักฐานหรือเหตุผล

เมื่อเราอึ้งไปสักพัก รุ่นพี่ก็หัวเราะแล้วถามว่าก็เหมือนกับพระที่เราใส่คล้องคอ เราไม่ได้สนใจว่าเป็นเหรียญเนื้อโลหะ ปั๊มขึ้นจากเครื่องจักร แต่เราสนใจกันว่าผ่านการปลุกเสกมาแล้ว ก็ทำให้แผ่นโลหะปั๊มนูนนั้นเป็นเหรียญพระห้อยคล้องคอ แล้วเชื่อว่าจะทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยใช่ไหม หากจะตอบไปว่าไม่ใช่ เราใส่พระเพื่อระลึกว่าเราเป็นพุทธ เราจะต้องรักษาศีล และหมั่นปฏิบัติเพื่อหนทางไปสู่ทางดับทุกข์ ก็คงจะต้องอธิบายกันอีกยืดยาว จึงต้องจบการสนทนาลง

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณาณของตน เองว่า แก้วพญานาคคืออะไร ดิฉันขอจบเรื่องของ "แก้วพญานาค" ด้วยประโยคที่ว่า.. "คนเรามักเชื่อในสิ่งที่ตนอยากเชื่อเสมอ".

ที่มา - ไทยโพสต์
โดย : amata ความคิดเห็นที่ : 11-12 โพสเมื่อ : 12 มีนาคม 2009 , 17:38:02 http ://forums.212cafe.com/amata/board-1/topic-30.html.


◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 5/10/09 at 10:37



ตำนานพระแก้วมณีโชติ (ฉบับย่อ)



พระพุทธศาสนาผ่านไป ๒๕๐๐ ปี จะเกิดกลียุคมนุษย์รบราฆ่าฟันกันเอง โลกมนุษย์จะพบภัยพิบัติจากโรคระบาดที่ร้ายแรงมาคร่าชีวิตผู้คนและสัตว์ให้ล้มตายจำนวนมาก แต่คนที่แขวน "พระแก้วมณีโชติ" ติดตัวจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง


สมเด็จโตได้นิมิตบอกหลวงปู่ทิพย์พระอรหันต์แห่งถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันท่านได้ละสังขารไปแล้ว ท่านเป็นอาจารย์ของผู้เขียน และอนุญาตให้เปิดเผยเรื่องราวพระแก้วมณีโชติพระแก้วกายสิทธิ์ที่เทวดาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า ท่านเล่าว่า...

เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระพุทธองค์ทรงจาริกประเทศเทศนาธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ทรงเสด็จจาริกมายังถิ่นต่างๆ ทรงพยากรณ์ที่ต่างๆ และประทานพระเกศาธาตุและพระพุทธบาทอันทรงสมควร และทรงเล็งด้วยพระพุทธญาณว่าต่อไปที่แห่งนี้จะเป็นที่อุดมในธรรม ทรงพยากรณ์ว่า


“ต่อไปภายหน้าเมื่อตถาคตปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี ณ ที่แห่งนี้จะเกิดนครใหม่ที่มีความรรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาอย่างมากมีนามว่า “ ทิพย์มหานคร ” เมืองนี้ปรากฏพระเถระองค์หนึ่งนามว่า "พระธรรมราช" เป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์ศักดามาก เป็นที่เคารพนับถือของเหล่ามนุษย์และพญานาคตลอดจนเทวดาทั้งหลาย

พระธรรมราชคิดว่าพระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองได้ต้องให้คนทั้งหลายระลึกถึงพระพุทธคุณ จึงคิดจะสร้างพระพุทธรูปองค์เล็กจำลองเป็นรูปของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เป็นที่พึ่งของเหล่ามนุษย์ แต่จะสร้างด้วยทองคำหรือเงินก็จะทำให้มนุษย์เกิดความโลภทำอันตรายต่อรูปจำลองของพระพุทธเจ้า


ความคิดนี้รู้ไปถึงมหาพรหมผู้มีนามว่า "ชินนะปัญจะระ" ท่านจึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวนำเอาแก้วมณีโชติที่ถือเป็นแก้วกายสิทธิ์อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตมาถวายให้พระธรรมราช พระธรรมราชจึงให้ช่างแกะสลักในเมืองช่วยกันแกะเป็นรูปจำลองของพระพุทธเจ้า ปรากฏว่าช่างแกะสลักไม่สามารถที่จะแกะสลักแก้วมณีโชติได้

พวกช่างปรึกษากันด้วยจนปัญญา ความนี้ทราบถึงพระอินทร์จึงสั่งให้เทวดาประจำวันทั้ง ๗ องค์ แปลงร่างเป็นมนุษย์ลงมารับอาสา แกะสลักแก้วมณีโชติเป็นรูปจำลองของพระพุทธเจ้า ด้วยการแกะสลักเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กใช้ติดกายและองค์ใหญ่สูงครึ่งคืบไว้ประจำบ้านเมือง เพียงใช้เวลา ๗ วันแกะได้ ๘๔,๐๐๐ องค์ เมื่องสร้างเสร็จแล้วพระธรรมราชจึงประชุมกับเจ้าเมืองและชาวเมืองเพื่อจัดงานทำบุญฉลองสมโภชพระแก้วมณีโชติ


พระศรีอาริยเมตไตร พระแก้วมณีโชติ

ท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระและพระอินทร์ จึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวมาร่วมในงานฉลองด้วย เมื่อถึงเวลาพระธรรมราชเป็นผู้เจริญพระพุทธมนต์ ชีปะขาวทั้งสองเจริญทิพย์มนต์บูชาพระพุทธเจ้า และมีการจุดบ้องไฟเป็นพุทธบูชานับได้ ๑๐๘ กระบอก ชาวเมืองพร้อมใจกันจุดบ้องไฟ เมื่อจุดบ้องไฟติด พวกช่างแกะสลักทั้งเจ็ดและชีปะขาวทั้งสอง ก็กระโดดขึ้นนั่งบนหัวบ้องไฟ บ้องไฟได้พาเอาร่างชีปะขาวและช่างแกะสลัก สูงขึ้น...สูงขึ้น.. จนหายเข้ากลีบเมฆไปในที่สุด

ชาวเมืองจึงรู้ว่าเทวดาแปลงร่างมาเป็นช่างแกะสลักและชีปะขาว จึงพากันส่งเสียงแซ่ซ้อง สาธุ สาธุ กึกก้องอึงคะนึงไปทั่วทั้งเมือง ท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระจึงประพรมน้ำพุทธมนต์ อวยพรอวยชัย โดยบันดาลให้ฝนทิพย์ตกลงมาทั่วเมือง เสร็จงานแล้วชาวเมืองช่วยกันขุดหลุมลึก ๗ ศอก ๕๖ หลุม นำเอาพระทั้งหมดใส่ไห ๕๖ ไห ฝังในหลุมและกลบอย่างดี พระธรรมราชขอให้พญานาคชื่อ "พญาศรีเสน" เป็นผู้เฝ้ารักษาไม่ให้ผู้ใดมาเหยียบย่ำที่แห่งนี้


พระแก้วมณีโชติ

ศาสนาตถาคตผ่านไป ๑,๒๐๐ ปี พระแก้วมณีโชติจะปรากฏขึ้นครั้งแรกโดยพระอรหันต์ผู้มีนามว่า "โสนันโท" ได้นิมิตพบพระแก้วมณีโชติขณะที่เหาะไปเมืองพญาครุฑ เห็นดวงไฟลอยจากใต้พื้นดินสู่ท้องฟ้านับหมื่นดวง เป็นที่อัศจรรย์ จึงได้เชิญกษัตริย์ละโว้มาสร้างเมือง ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ได้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่า "พิสดารมหานคร"

กษัตริย์ผู้ครองเมืองมีความเลื่อมใส พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ได้สร้างวัด ๑๐๘ วัดเป็นพุทธบูชา ท่านจึงแปลงร่างปีชะขาวมาร่วมอนุโมทนากุศลครั้งนี้ พร้อมถวายพระแก้วมณีโชติ ๑ ไหให้ไว้ประจำเมือง และให้เหล่าเทวดาที่ร่วมสร้างพระแก้วมณีโชติช่วยกันคุ้มครองรักษาแผ่นดินธรรมสืบไป


พระพิฆเนศ,พระศรีอาริยเมตไตร พระแก้วมณีโชติ) (และฟันกลามแก้วพญานาคจากบาดาล)

ศาสนาตถาคตผ่านไป ๒๐๐๐ ปี พระแก้วมณีโชติจะถูกนำขึ้นมาให้มนุษย์สักการบูชากราบไหว้ เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวของคนดีมีศีลธรรม ที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้า มนุษย์ที่ได้ครอบครองพระแก้วมณีโชติจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง มีความสุขสมบูรณ์ เจริญด้วยโภคทรัพย์ เทวดาปกปักษ์คุ้มครองรักษา เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปจนครบ ๕๐๐๐ ปี ตามพุทธพยากรณ์

สมเด็จโตผู้นิมิตพบท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระ เมื่อครั้งธุดงค์ไปที่กำแพงเพชร ท่านมหาพรหมชินนะปัญจระได้สอนคัมภีร์ธรรมศาสตร์ และพิธีการปลุกเสกพระเครื่อง ทำให้พระสมเด็จของท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือระบือนามไปทั่วทิศ พร้อมทั้งบอกเล่า "ตำนานพระแก้วมณีโชติ" และบอกให้สมเด็จโตไปเอาพระแก้วมณีโชติมา ๕ ให้เก็บรักษาไว้ ในภายภาคหน้าจะเป็นประโยชน์ในการช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอยู่ครบ ๕๐๐๐ ปี

ดอกแก้วโกมลเมืองบาดาล ( 1 ดอกมี 3 สี )

สมเด็จโตพร้อมศิษย์จึงเดินทางมาที่เมืองทิพย์นครและได้พบกับพญานาคผู้รักษาพระแก้วมณีโชติ พญานาคได้พ่นไฟพิษเข้าใส่ สมเด็จโตจึงภาวนานึกถึงท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระ ไฟพิษของพญานาคไม่สามารถทำอันตรายได้ สมเด็จโตบอกพญานาคว่าท่านมหาพรหมชินนะปัญจะระใช้มาจริงไม่ได้พูดเท็จ จึงมอบพระแก้วมณีโชติให้สมเด็จโต ๕ ไห

สมเด็จโตนำเอามาเก็บไว้ที่กุฏิท่านโดยให้วิญญาณผู้หญิงเป็นผู้เฝ้าดูแล ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ไหของสมเด็จท่าน ด้วยเกรงกลัวอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณของหญิงสาวนั้น ที่ชอบปรากฏตัวให้ผู้คนเห็น ก่อนสมเด็จโตจะมรณภาพ ท่านได้นำเอาไหทั้ง ๕ ใบไว้บนเพดานโบสถ์วัดระฆังโดยไม่มีใครรู้


คฑาสีชาพิเศษ ของท่านท้าวปุญนโตนาคราช

เวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี สมเด็จโตได้นิมิตบอกผ่านหลวงปู่ทิพย์ได้รับรู้ถึงนิมิตตำนารพระแก้วมณีโชติ และก่อนที่ท่านจะละสังขารได้มอบ "พระแก้วมณีโชติ" ให้ศิษย์ของท่านเป็นผู้ดูแลเก็บรักษาไว้ และอนุญาตให้เปิดเผยเล่าเรื่องราวตำนานพระแก้วมณีโชติให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้รับรู้ เพื่อช่วยกันสืบอายุพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕๐๐๐ ปี


พระขรรค์แก้วฟ้าบาดาลประสานสุข (พระขรรค์แก้วกายสิทธิ์)

พระขรรค์แก้วฟ้าบาดาลประสานสุขด้ามนี้ ครูบาอาจารย์ท่านได้ตั้งจิตอธิฐานจากในถ้ำ ที่จังหวัดสกลนคร เพื่อนำมาเสริมบารมีให้กับลูกศิษย์ลูกหา ที่มีจิตตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา ถือศีลปฏิบัติสร้างบารมีหรือทำมาหากิน ศัตรูหมู่มารไม่กล้าทำอันตรายใดๆ ขัดเกลาในอาสวะกิเลส หรือกมลสันดาร ถูไถกิเลสในเรื่อง ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้กิเลสอ่อนกำลังลง โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง และภูมิธรรมจะได้บังเกิดขึ้น

เมื่อภูมิธรรมบังเกิดเข้าสู่กระแสจิตแล้ว ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเราก็จะมีความเชื่อมั่น ว่าบาป มีจริง บุญ มีจริง ทำดีได้ดี จริง ทำชั่วได้ชั่ว จริง เราก็จะได้ละในฝ่ายอกุศลทั้งหมดทั้งสิ้น ถือว่าได้ปรับสภาวะจิตขั้นต้น เมื่อจิตขั้นต้น ตั้งมั่น มงคลก็จะเกิดขึ้นกับตัวเรา


พระธาตุกายสิทธิ์ (เหล็กไหล) ใว้สำหลับเสริมบารมี เพื่อเป็นสิริมงคล)

เมื่อมงคลเกิดกับตัวเราแล้ว ความผาสุกย่อมที่จะเกิดตามมา เมื่อความสุขตามมา เราก็พัฒนาทางจิตเลื่อยๆขึ้นไป ไปจนกว่าจิตอันนั้น จะเข้าถึงถ่องแท้ หรือศรัทธาตั้งมั่น ในภูมิของเทวาธรรม ในภูมิของพรหมธรรม และโลกุตรธรรมในที่สุด

ที่มา - http: //login.totalweblite.com

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 15/10/09 at 08:24


อาถรรพณ์แห่งนาคราช

โดย.. เฒ่าบุณฑริก 29 ต.ค. 2550

บายศรีพญานาค

เมื่อพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดาจุติ (ตาย) จากโลกมนุษย์ ก็เสด็จสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สรวงสวรรค์แห่งองค์อมรินทราธิราชเจ้า ลุถึงเดือนแปด จนตลอดวาระแห่งพรรษาทั้งไตรมาส พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระพุทธมารดา และเหล่าเทพยดา ณ ที่นั้น แม้องค์อมรินทราธิราช ก็ปวารณา ถวายช้างทรงเอราวัณ เป็นพุทธบูชา จวบสิ้นไตรมาส จึงเสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์

ถึงวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 วันเสาร์ พญาศรีสุทโธนาคราช และบริวารแสนโกฐิ พร้อมใจต้อนรับพระพุทธองค์เสด็จจากดาวดึงส์ ราชาแห่งบาดาล เจ้าแห่งนาค ตั้งสัจจะ ขอถวายอัญมณี ดวงไฟแห่งนาคราช สมบัติล้ำค่าแห่งเมืองบาดาล เป็นพุทธบูชา

วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 วันเสาร์ เมื่อรัตติกาลมาถึง พญานาคถวายอัญมณี ผ่านเวิ้งน้ำอันกว้างใหญ่ ของแม่น้ำโขง อันป็นทางทอดสู่บาดาล อัญมณีพุ่งผ่านพื้นน้ำลอยสู่ความมืดมิด เหนือลำโขง ประกายแดงอมชมพู เหมือนมีน้ำกลอกกลิ้งอยู่ภายใน เงียบเชียบ ไร้ควัน ไร้สุ้มเสียง

บันทึกไว้ในใบลานก้อม ที่เชื่อว่าเป็นบันทึกของ สำเร็จลุน อริยสงฆ์ เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำโขง ใบลานนี้มีทั้งหมด 9 หน้า เขียนเป็นตัวธรรมลาวโบราณ ความว่า..

หากแม้นผู้ใด ได้มองเห็นแก้วมณีแห่งพญานาคนั้น แม้นตัวเองได้ทำสัจจะ บำเพ็ญสมาธิ ขอพร ขออิทธิฤทธิ์อันใดใด จากนาคราช ก็ดี หากหลังจากทำสมาธิวิปัสสนา มิได้ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศส่วนกุศลแก่พญานาคราชและบริวาร จะถูกอาถรรพ์แห่งนาคราช เจ็บป่วย จงประกอบพิธีขอขมา แต่งกระทงดอกไม้ ขันธ์ 5 และขันธ์ 8 ลอยลงสู่สายน้ำไหล อธิษฐานขอขมาลาโทษ และสำรวมจิตเป็นสมาธิ จึงอุทิศส่วนกุศลแก่นาคราชและบริวาร ผู้นั้นจึงจะประสบสิริมงคลอย่างสูง ปรารถนาสิ่งใดย่อมสำเร็จ



ใบลานนี้มีทั้งหมด 9 หน้า เขียนเป็นตัวธรรมลาวโบราณ

ผู้ใด ได้มองเห็นแก้วมณีแห่งพญานาค แม้นตัวเองได้ทำสัจจะ บำเพ็ญสมาธิ ขอพร ขออิทธิฤทธิ์อันใดใด จากนาคราช หากหลังจากทำสมาธิวิปัสสนา มิได้ตั้งจิตอธิษฐานอุทิศส่วนกุศลแก่พญานาคราชและบริวาร จะถูกอาถรรพ์แห่งนาคราช จงประกอบพิธีขอขมา แต่งกระทงดอกไม้ ขันธ์ 5 และขันธ์ 8 ลอยลงสู่สายน้ำไหล อธิษฐานขอขมาลาโทษ และสำรวมจิตเป็นสมาธิ จึงอุทิศส่วนกุศลแก่นาคราชและบริวาร ผู้นั้นจึงจะประสบสิริมงคลอย่างสูง ปรารถนาสิ่งใดย่อมสำเร็จ

หลังจากพระครูวิโรจน์ฯ มรณภาพ สมุดใบลานได้ถูกเคลื่อนย้ายไปเก็บไว้บนเพดานวิหารหลวงพ่อเงิน และไม่มีผู้ใดพบเห็นสมุดใบลานนี้อีก ใบลานก้อมของสำเร็จลุนนี้ บ้างก็ว่าเป็นของพระมหากัสสปะเถระ พระครูวิโรจน์รัตโนบล(บุญรอด นันตโร) อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุบลฯ ได้มา คราวไปบูรณะพระธาตุพนม

ภายหลังนำมาเก็บที่หอไตรกลางน้ำ ที่วัดทุ่งศรีเมือง หลังจากพระครูวิโรจน์ฯ มรณภาพ สมุดใบลานได้ถูกเคลื่อนย้ายไปเก็บไว้บนเพดานวิหารหลวงพ่อเงิน และไม่มีผู้ใดพบเห็นสมุดใบลานนี้อีก หลังจากท่านมรณภาพ ใบลานนี้ก็หายสาบสูญไป สมเด็จลุน คนลาวเรียกท่านว่า "สำเร็จลุน"

ประวัติ "สมเด็จลุน"

"ผู้เฒ่า" ขอเรียบเรียงประวัติย่อของท่าน โดยแปลจากใบลานต้นฉบับภาษาลาว ที่ได้มาจากเมืองโพนทอง แขวงจำปาศักดิ์

เกิด พ.ศ. 2396 สถานที่เกิด บ้านหนองไฮท่า ต.เวินไซ เมืองโพนทอง แขวงจำปาศักดิ์ สปป.ลาว
บิดา พ่อบุญเลิศ สว่างวงศ์ มารดา แม่กองศรี
ลักษณะพิเศษ อยู่ในครรภ์มารดา 10 เดือน
ชื่อเดิม ท้าวลุน
บวชสามเณร อายุ 12 ปี
สามเณรลุน มีความจำเป็นเลิศ อ่านหนังสือ ท่องบทสวดมนต์ได้หมดอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่อ่านผ่านตาเพียงครั้งเดียว

เรียนวิชาจากฤาษีพระยาจักรสรวง สำเร็จศาสตร์ทุกแขนง
ว่ากันว่าถึงขั้นเหาะเหินเดินอากาศ
กำบังตนหายตัว ย่นพสุธา เสกใบไม้เป็นกองทัพได้
เจนจบวิชาคาถาอาคม สมุนไพร อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์
เกร็ดอิทธิฤทธิ์ของท่าน เป็นตำนาน เล่า 7 คืน 8 วันก็ไม่หมด ว่างๆ ผู้เฒ่าจะเล่าให้ฟัง

ละสังขารเมื่ออายุ 108 ปี
อัฐิของท่านบรรจุที่เจดีย์ วัดบ้านเวินไซ แขวงจำปาศักดิ์
จุดที่เผาศพของท่าน เกิดต้นโพธิ์ 5 ต้น เกี่ยวกระหวัดม้วนพันกันดุจพระยานาค เปลือกต้นโพธิ์ทั้ง 5 ต้น มีประกายระยิบระยับ มันเลื่อมคล้ายเกล็ดพญานาคราช ปัจจุบันต้นโพธิ์ทั้ง 5 ต้นยังมีอยู่


ข้อมูล - http ://board.goosiam.com/html/0047608.html
ภาพ - http: //login.totalweblite.com


ll กลับสู่สารบัญ

(โปรดติดตามตอนที่ 2 คลิก.. ประวัติ "คำทำนายโบราณ" (คัมภีร์เทวดา) ll