ตามรอยพระพุทธบาท

พุทธตำนานการบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ของพระพุทธเจ้า
webmaster - 27/4/16 at 14:32

พุทธตำนานแห่งองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมพระบรมโลกนาถเจ้า



........การบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ คือ ปฏิปทาอันยิ่งยวด คุณธรรมที่ประพฤติปฏิบัติความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อจะบรรลุถึงจุดหมายอันสูง เช่น ความเป็นพระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ อันประกอบด้วย

๑.ทานบารมี( ความบำเพ็ญคุณประโยชน์โดยการให้ การเสียสละ )

๒.ศีลบารมี ( การรักษากายวาจาให้เป็นปกติถูกต้องตามระเบียบวินัย)

๓.เนกขัมมะบารมี ( การปลีกตัวปลีกใจให้พ้นจากกามหรือ ความละจากความต้องการต่างๆที่ทำให้ยึดติดหลงติด )

๔. ปัญญาบารมี (ความรู้ ความเข้าใจความหยั่งรู้ในสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง และรู้จักการแก้ไขปฏิบัติจัดการต่างๆ)

๕. วิริยะบารมี( ความเพียรความแกล้วกล้า ความพยายามบากปั่นอุตสาหะ ไม่ถอดทิ้งธุระ เพื่อให้สำเร็จตามที่ตั้งใจ)

๖.ขันติบารมี ( ความอดทน ทนทานของจิตใจเพื่อถึงจุดหมายอันชอบ )

๗. สัจจะบารมี ( ความรักษาความจริง พูดจริง ทำจริง และจริงใจ )

๘. อธิษฐานบารมี ( ความตั้งใจมั่นคงเด็ดเดี่ยว วางจุดหมายที่ตนตั้งใจจะกระทำไว้แน่นอน และดำเนินตามนั้นอย่างแน่วแน่ )

๙.เมตตาบารมี ( ความปรารถนาดี ไมตรีที่จะเกื้อกูลให้ตัวเองและผู้อื่นให้มีความสุข)

๑๐. อุเบกขาบารมี ( การวางใจเป็นกลางสงบราบเรียบสม่ำเสมอ เที่ยงธรรม และดำรงในธรรม ไม่เอนเอียงหรือหวั่นไหวไปด้วยความยินดียินร้ายชอบชังหรือแรงเย้ายวนยั่วยุ ใดๆ)


เพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าอันทรงนามว่า สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าศาสนโคดมพระบรมโลกนาถเจ้า (พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ) เนื่องเพราะพระองค์ทรงปรารถนาจะบำเพ็ญบารมีเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญะธิกะ ( บำเพ็ญบารมีโดยเน้นด้านปัญญา )

( หมายเหตุ ) การบำเพ็ญบารมีเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภทคือ

๑. ปัญญาธิกะ ( บำเพ็ญบารมีโดยเน้นด้านปัญญา)

๒. ศรัทธาธิกะ ( บำเพ็ญบารมีโดยเน้นด้านศรัทธา )

๓ .วิริยาธิกะ ( บำเพ็ญบารมีโดยเน้นทางความวิริยะ( ความพียร )


ซึ่งเป็นการบำเพ็ญโพธิสัตว์บารมีแบบปัญญาธิกะเป็นการบำเพ็ญพระโพธิญาณอย่างเร็วที่สุดใน๓ ประเภท แม้กระนั้นก็ยังต้องบำเพ็ญเพียรในบารมีธรรมครบทั้ง ๓๐ ทัศเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒๐ อสงไขยเศษแสนมหากัป ดังที่คัมภีร์พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก ได้จารึกไว้ ข้าพเจ้า ( เวหา เวหาธรรมบารมี ) จักขอถอดความและเรียบเรียงใหม่ เพื่อง่ายต่อการอ่านและความเข้าใจดังนี้


นับถอยหลังกลับไป ๒๐ อสงไขย เศษแสนมหากัปจากชาติสุดท้ายก่อนจะมาตรัสรู้ เป็นสมเด็จพระพุทธศาสนโคดมบรมโลกนาถสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้บังเกิดเป็นมนุษย์บุรุษเพศ ชื่อว่า "มาตุธารกมาณวะ" (มาตุ= มารดา ) ( ธารก= ตั้งไว้, ทรงไว้)( มาณวะ= เด็กชาย, ชายหนุ่ม )

ในครั้งนั้น พระองค์ได้อุปัฏฐากเลี้ยงดูมารดา ขึ้นเรือสำเภาไปด้วยพ่อค้า ๕๐๐ ฅน แล่นเรือไปสิ้นเวลา ๗ วันท่ามกลางมหาสมุทร เรือสำเภาถูกคลื่นลมแตกทำลายลง พ่อค้าทั้ง ๕๐๐นั้นก็กลายเป็นอาหารของปลาและเต่าร้ายสิ้น ยังแต่มาตุธารกมาณวะเป็นผู้ประกอบด้วยพละกำลังและความเพียรมาก ก็อุ้มเอามารดาแห่งตนขึ้นหลังว่ายน้ำพามารดา ๗วัน ๗ คืน จนพ้นจากแดนแห่งปลาและเต่าร้ายเหล่านั้นโดยหาได้ลดความเพียรพยายามไม่

ระหว่างนั้น นางมณีเมฃลา เทพธิดาผู้รักษาน้ำฟ้ามหาสมุทร เกรงจะถูกคำตำหนิติเตียนจากพระอินทร์และพระพรหมทั้งหลาย จึงมาช่วยประคับประคอง มาตุธารกมาณวะพร้อมทั้งมารดาให้พ้นจากมหาสุมทรให้ถึงฝั่งได้โดยสวัสดิภาพ เหตุแห่งความเพียรนี้ทราบถึง ท้าว มหาพรหม ณ.พรหมโลก ผู้ทำหน้าที่เล็งดูบุคคลผู้มีความพร้อมในการตั้งปณิธาน เพื่อปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ ครั้งเล็งเห็นมาตุธารกมาณวะ ผู้นี้มีความเพียรพร้อมที่จะปรารถนาโพธิญาณได้ จึงเสด็จจากพรหมโลก เพื่อมาบันดาลใจให้มาตุธารกมาณวะ ผู้นี้ให้บังเกิดความเอ็นดูกรุณาสรรพสัตว์ทั้งหลายและให้มีใจมุ่งปรารถนาพระโพธิญาณ อันจักรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ออกจากทุกข์ถาวร คือการได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลข้างหน้า

มาตุธารกมาณวะ จึงบังเกิดมีวิตกขึ้นในจิตขึ้นมาในขณะที่แบกมารดาว่ายอยู่กลางมหาสมุทรเป็นเวลา๗ วัน ๗ คืนนั้นว่า
“พุทโธ โพเธยยํ มุตฺโต โมเจยฺยํ ติณฺโณ ตาเรยฺยํ “ แปลความว่า

พุทโธ..บุคคลใดผู้ได้ตรัสรู้ธรรมทั้งมวล
โพเธยยํ..ยังบุคคลอื่นให้ตรัสรู้ธรรมนั้น เหมือนดังที่ตนได้ตรัสรู้แล้ว
มุตโต บุคคลใดผู้ได้พ้นแล้วจากภัยทั้งมวล
โมเจยยํ ยังบุคคลอื่นให้พ้นจากภัยทั้งมวลอันตนได้พ้นแล้ว
ติณโณ บุคคลใดข้ามพ้นแล้วจากมหาสมุทรแห่งทุกข์คือวัฎฎสงสาร
ตาเรยยํ พึงยังบุคคลอื่นให้ข้ามพ้นจากวัฎฎสงสารเหมือนดั่งที่ตนข้ามพ้นแล้วด้วย

ระหว่างนั้น มาตุธารกมาณวะ ยิ่งบังเกิดมีใจใคร่ปรารถนาซึ่งสัพพัญุตญาณ ขึ้นมาเต็มที่ ซึ่งกราบมารดาแห่งตน แล้วตั้งใจสมาทานอธิษฐาน ( โดยยังมิได้เปล่งวาจา )

“ ด้วยเดชะแห่งผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ให้มารดาขี่คอพาว่ายน้ำมหาสมุทรแลพ้นจากภัย ทั้งมวลนี้ จงเป็นปัจจัยอุดหนุนให้ข้าพเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งใน อนาคตกาลเบื้องหน้าให้ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือเวไนยสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ทั้ง หลายเทอญ "

เมื่อบังเกิดการตั้งจิตอธิษฐานหวังจะถึง พระโพธิญาณในชาตินั้นแล้ว นับตั้งแต่เป็นต้นมา มาณวะผู้นั้นจะเกิดมาในชาติใดก็ปรากฏชื่อว่าเป็น “ พระโพธิสัตว์”ทุกชาติ

อันว่าพระโพธิสัตว์นั้น หากเกิดมาเป็นเทวดาก็ดี พระอินทร์ก็ดีพระพรหมก็ดี เป็นมนุษย์แลสัตว์เดียรัจฉาน ( ประเภท ๒ เท้า ๔ เท้า) ก็ย่อมประกอบไปด้วยญาณปัญญาอันพิเศษรู้เหตุแลผลทั้งสิ้นโดยแจ่มแจ้งยิ่งนัก ย่อมบำเพ็ญบารมีธรรม ๑๐ ประการ (อัน ประกอบด้วย ๑.ทานบารมี ๒.ศีลบารมี ๓.เนกขัมมะ บารมี ๔. ปัญญาบารมี ๕.วิริยะบารมี ๖.ขันติบารมี ๗. สัจจะบารมี ๘.อธิษฐานบารมี ๙.เมตตาบารมี ๑๐. อุเบกขาบารมี )

สะสมไว้เสมอตลอดมาทุกชาติ ใช้เวลานานได้ ๗ อสงไขย กับแสนมหากัป ได้เกิดมาพบพระพุทธเจ้าทั้งหลายถึง ๑๒๕,๐๐๐ พระองค์ ( ไม่นับรวมที่เกิดมาในยุคสูญกัป คือไม่มีพระพุทธเจ้าลงมาตรัสรู้อีกนับชาติมิได้) ได้นมัสการกราบไหว้บูชาตั้งปณิธานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าโดยนึกตรึกอยู่ภายในใจ ยังมิได้เปล่งวาจาออกมาจากปาก

ครั้งเมื่อหมดสิ้น ๗ อสงไขย เศษแสนมหากัปนั้นแล้ว พระโพธิสัตว์นั้นก็ได้มาบังเกิดเป็น พระมหาจักรพรรดิองค์หนึ่ง นามว่า “ มหาสาครจักวัตติราช” ในศาสนาแห่งพระพุทธเจ้า อันทรงพระนามว่า “โบราณโคตรมะพระพุทธเจ้า” มหาสาครจักวัตติราช ได้ทรงให้สร้างปราสาทด้วยไม้จันทน์แดง รวมทั้งสิ้น ๑๐๐,๐๐๐ หลัง ให้เป็นที่สถิตอยู่แห่งพระรัตนตรัย

กาลนั้น ได้เปล่งวาจาตั้งความปรารถนาจะขอเป็นพระพุทธเจ้า ให้ปรากฏแก่ฅนละเทวดาทั้งหลาย นับจากชาตินั้นเป็นต้นมา พระโพธิสัตว์เกิดมาชาติใดๆ ก็ย่อมบำเพ็ญบารมีธรรมเป็นนิจนานได้ ๙อสงไขย เศษแสนมหากัป ได้พบกราบไหว้เปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายนับได้ ๓๘๗,๐๐๐ พระองค์


เมื่อสิ้น ๙ อสงไขยเศษแสนมหากัป แห่งการประกาศเปล่งวาจาปรารถนาโพธิญาณนั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ก็ได้บังเกิดเป็นพราหมณ์ผู้หนึ่ง และได้ออกบวชเป็นฤาษี มีชื่อปรากฏว่า “ สุเมธฤาษี " เป็นพุทธกาลแห่ง “พระทีปังกรพุทธเจ้า” สุเมธฤาษี ได้อุทิศตนทอดตัวแทนสะพาน เพื่อให้พระทีปังกรพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ทั้งหลาย ๑๐๐,๐๐๐ องค์ เสด็จดำเนินข้ามไป พระทีปังกรพุทธเจ้า ได้เล็งเห็นความตั้งใจในโพธิญาณในอดีต ๑๖กัปของสุเมธดาบสผู้นี้แล้ว จึงได้มีพระพุทธพยากรณ์ว่า

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านสุเมธฤาษีองค์นี้ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภัทรกัปภายหน้า นับแต่นี้ไปเป็นเวลา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป จักปรากฏพระนามว่า “โคตมสัมมาสัมพุทธะ” นครที่จะไปบังเกิดนั้นชื่อว่า “เมืองกบิลพัสดุ์” พระบิดาพระนามว่า “ สุโธทนะ” พระมารดาพระนามว่า “ศรีมหามายา” พระเทวีพระนามว่า “ ยโสธราพิมพา” พระโอรสนามว่า “ราหุล” จะอยู่ในราชสมบัตินาน ๒๙ ปี แล้วจักออกผนวชด้วยยานคือม้า ชื่อ “ กัณฐกะ” จักบำเพ็ญเพียรได้ ๖ ปี แล้วจึงจะทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือรัตนบัลลังก์อาสน์ อันสูงได้ ๑๘ ศอก ภายใต้ต้นปาแป้งอันเป็นไม้มหาโพธิ์ (ประจำพระองค์) แล้วจักสั่งสอนกุลบุตรทั้งหลายให้ได้บรรลุอรหัตถผล สั่งสอนโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายเหมือนดังตถาคตนี้แล

อัครสาวกฝ่ายขวามีนามว่า “สารีบุตร “ อัครสาวกฝ่ายซ้ายมีนามว่า “มหาโมคลลานะ” พุทธอุปัฏฐากนามว่า “มหาอานันทะ” พระพุทธเจ้าโคตรมะพระองค์นี้จักมีอายุยืน ๘๐ ปีแล้วปรินิพพานไป จักตั้งพระพุทธศาสนาไว้เพื่อสั่งสอนโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้น ๕,๐๐๐ วัสสากาลเมื่อพระทีปังกรพุทธเจ้า ตรัสพยากรณ์ สุเมธดาบส ดังนี้

พระสุรเสียงแห่งพระพุทธเจ้าทีปังกร ก็ดังกึกก้องขึ้นไปถึง ๖ ชั้นฟ้า ๑๖ ชั้นพรหม แพร่กระจายไปหมื่นโลกธาตุแสนโกฏิจักรวาล เสียง สาธุการก็กัมปนาทกึกก้องโกลาหลสนั่นหวั่นไหว ดังไปตั้งแต่มนุษย์โลกจบทั่วไตรโลกธาตุ ชั้นฟ้าชั้นพรหมแสนโกฏิจักรวาลทั้งมวลต่างล้วนอนุโมทนาสาธุต่อ พระพุทธพยากรณ์นี้ ห่าพระพิรุณดวงดอกไม้ก็ตกลงมาจากอากาศ วิชชุดา สายฟ้าก็แปลบปลาบแลบไปในกาลอันไม่ควรแลบ ดูสว่างเรื่อเรืองไปทั่วจักรวาลทั้งสิ้น ฟ้าก็คำรณคำรามกัมปนาทหวั่นไหว มหาชลธาราก็หลั่งไหลลงจากฟากฟ้านภากาศ อัศจรรย์ทั้งหลายก็ปรากฏมีประการต่างๆ ในวาระกาลครั้งนี้แล

ส่วนพระสุเมธดาบส ครั้งได้สดับตรับฟังพระพุทธพจน์บทพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทีปังกรแล้ว ก็ใช้ญาณของตนพิจารณาดูว่า กิจที่จะต้องกระทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านั้นจะต้องประกอบไปด้วยบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ตั้งแต่ขั้นต้น ( บารมี ๑๐) ขั้นกลาง ( อุปบารมี ๑๐ ) ชั้นสูงสุด ( ปรมัตถบารมี ๑๐ ) นั้นต้องบำเพ็ญให้ครบถ้วนจึงจะสามารถบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตตาม ที่ได้รับพระพุทธพยากรณ์ได้ แล้วจึงดำรงตนด้วยความไม่ประมาท ตราบสิ้นอายุ ก็ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก

นับตั้งแต่ชาตินั้นมา แม้นพระโพธิสัตว์จะเสวยพระชาติใดๆ ก็ตาม ย่อมบำเพ็ญเพียรสะสมทศบารมีธรรมสม่ำเสมอทุกชาติไม่ได้ขาด นับได้ ๔ อสงไขยได้พบพระพุทธเจ้า ๑๒ พระองค์ ส่วนเศษแสนมหากัปนั้น ได้พบพระพุทธเจ้าอีก ๑๕ พระองค์ พระองค์ได้บริจาคทาน กราบไหว้บูชาพระรัตนตรัย แล้วตั้งปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วยกายด้วยวาจา ด้วยใจ พร้อมทั้ง ๓ ประการ เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้ง ๒๗ พระองค์นั้น แลได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นเหมือนดั่งเช่นที่พระพุทธเจ้าทีปังกรได้ตรัสพยากรณ์ไว้ทุกประการ ( รวมได้พระพุทธพยากรณ์จะพระโอษฐ์รวมทั้งสิ้น ๒๘ พระพุทธเจ้า)

หากจะนับตั้งแต่ที่พระโพธิสัตว์ได้ตั้งปฎิธาณความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าไว้ในใจเป็นครั้งแรกในสมัยเป็นมาตุธารกมาณวะ จนตราบเท่าถึงที่สิ้นสุดแห่งมหากัป อันนานนับได้ ๒๐อสงไขยกับแสนมหากัปได้บังเกิดพบพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จำนวน ๕๑๒,๗๒๗ พระองค์ จนกระทั่งได้มาเสวยชาติสุดท้ายเป็น พระเวสสันดร ในกาลเวลาอันเนิ่นนานเกินนับนี้

พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมีสัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ทั้งอย่างต้น อย่างกลาง อย่างอุกฤษฏ์ สม่ำเสมอมามิได้ขาด อาจจะนับจากทานบารมีที่ได้บำเพ็ญบริจาคทาน ๕ ประการ อันได้แก่ ข้าวของเงินทองแก้วแหวนทรัพย์สิน ช้างม้าวัวควาย รถเกรียน ทาสหญิงทาสชาย ให้เป็นทานโดยไม่ได้อาลัยยินดีในสมบัตินอกกายเหล่านั้น เป็นเวลานานกว่า ๒๐ อสงไขยเศษแสนมหากัป จะนับรวมกันแล้ว มากกว่าสมบัติในมนุษย์โลกปัจจุบันรวมกันเสียอีก

อนึ่ง องค์บริจาค คือ พระองค์สละร่างกายอวัยวะต่างๆ ปาดเนื้อเถือหนัง ตัดหัว ตัวตัว ตัดแขน ตัดขาตัดอวัยวะส่วนต่างให้เป็นทาน แม้จะทรงเจ็ดปวดได้รับทุกขเวทนาสักปานใดก็ตาม ก็ทรงอดกลั้น เพื่อมุ่งประสงค์ตรงไปสู่ความเป็นพระพุทธเจ้าประการเดียว นานได้ ๒๐ อสงไขยับแสนมหากัป หากจะนำมานับรวมกันแล้ว มากกว่าจำนวนมนุษย์ทั้งโลกปัจจุบันรวมกันเสียอีก

โลหิตบริจาคที่เป็นทานนั้น หากนับมารวมกัน ย่อมมีมากกว่าน้ำในเบญจมหานที

ดวงตาที่บริจาค อาจรวมกันนับได้มากกว่า ดวงดาวบนท้องฟ้ารวมกันเสียอีก

ชีวิตบริจาค การบริจาคชีวิต เพื่อตายแทนบิดามารดา ผู้มีพระคุณ ญาติมิตร และตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด นับได้มากว่าชีวิตในชมพูทวีปทั้งสิ้น ( โลก) รวมกันเสียอีก

บุตรบริจาค การบริจาคบุคคล ที่รักที่สุดคือ บุตรธิดา ให้เป็นทานนั้น แม้นจะรักลูกปานใดก็ตาม นับได้มากกว่าลูกหญิงลูกชายแห่งชาว ๑๖ เมืองใหญ่รวมกันเสียอีก

ภริยาบริจาค การเสียสละภรรยาบุคคลที่ตนรักที่สุดดังแก้วตาดวงใจให้เป็นทานไป แม้นความเสน่หาเป็นดั่งหัวใจจะแหลกสลายลง เพื่อดำรงบารมีให้ตรงไปถึงที่สุดแห่งพระโพธิญาณก็พยายามบรรเทาอดกลั้นไว้ จึงบริจาคออกไปนั้นนับรวมกันมากกว่า หญิงชาย ทั้งหลายใน๑๖ เมืองใหญ่รวมกันเสียอีก

อีกทั้งพระโพธิสัตว์จริยา ๓ ประการ คือการบำเพ็ญ

พุทธัตถจริยา ๑. (การประพฤติอันเป็นประโยชน์แก่การเป็นพระพุทธเจ้าประการหนึ่ง)
ญาตัตถจริยา ๑. (การประพฤติอันเป็นประโยชน์แก่ญาติบริวารแห่งพระองค์เป็นนิรันดร์ประการหนึ่ง )
โลตถจริยา ๑. ( การประพฤติเพื่อเป็นประโยชน์แก่โลกอีกประการหนึ่ง)


ที่ทรงบำเพ็ญต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ครั้งเป็นมาตุธารกมาณวะมานั้น เกินสุดจะคณานับนั้น เพียงเพื่อการตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระบรมครูแห่งมนุษย์และเทวดา สถานเดียวเท่านั้น..


องค์ใดพระสัมพุทธ

สุวิสุทธะสันดาน

ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว

หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว

ราคีบ่พันพัว สุวคนธะกำจร

องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร

โปรดหมู่ประชากร มละโอฆะกันดาร

ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมสานต์

ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย

พร้อมเบญจพิธจัก- ษุจรัสวิมลใส

เห็นเหตุที่ใกล้ไกลก็เจนจบประจักษ์จริง

กำจัดน้ำใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง

สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ

ลูกขอประณตน้อม ศิรเกล้าบังคมคุณ

สัมพุทธการุญ- ยภาพนั้นนิรันดร ฯ


......รวบรวมและเรียบเรียง เนื้อความส่วนใหญ่จาก “ หนังสือพุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก " โครงการหนังสือธรรมะ ธรรมทาน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อถวายเป็นพระพุทธบูชาในวาระวันวิสาขะบูชา ( วันแห่งความระลึกพระคุณแห่งพระพุทธเจ้า )

บทความ โดย ธีระธรรม วรวงศ์จิตติ