ตามรอยพระพุทธบาท

ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว จำอดีตชาติได้ถึง 4 ชาติ
webmaster - 19/7/09 at 08:58

ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว
โรงเรียนบ้านคำบก อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


......เรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้รายนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับ ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว ครูสอนประจำอยู่ที่ โรงเรียนบ้านคำบก ตำบลคำบก อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งการเกิดในชาติปัจจุบันนี้นับเป็นชาติที่สี่แล้ว สำหรับลักษณะของการจำอดีตชาติได้ของครูประสิทธิ์นี้ แปลกกว่าผู้จำอดีตชาติได้รายอื่นๆ ที่ผู้เขียนเคยพบ

........คือเป็นการระลึกถึงชาติแต่ปางก่อนได้จากความฝัน ซึ่งเป็นการฝันเป็นเรื่องราวติดต่อกันเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี ตั้งแต่เขาอายุประมาณ ๔-๕ ขวบจนกระทั่งเขาอายุ ๑๗ ปี จนตัวของครูประสิทธิ์หรือเด็กชายประสิทธิ์ในขณะนั้นเกิดความสงสัยในเรื่องราวในความฝันเหล่านั้น และนำไปสู่การพิสูจน์ความจริง เกี่ยวกับเรื่องราวในความฝันเหล่านั้นด้วยตัวของเขาเอง

........ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว เดิมมีนามสกุลว่า “สลางสิงห์” เพิ่งเปลี่ยนเป็น “วังโคตรแก้ว” เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๘ นี้เอง ครูประสิทธิ์เกิดเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๙๔ เป็นบุตรของ นายพรหมา และ นางจันหอม สลางสิงห์ อยู่ที่บ้านเลขที่ ๑ บ้านคำบก ต.คำบก อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร เข้ารับราชการครูเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘

สำหรับเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของ ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว นั้นเป็นการเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วถึง ๔ ชาติ เท่าที่ครูจำได้ คือ..

1. ชาติแรกครูเคยเกิดเป็นลูกคนที่ ๒ ของ นายพรหมา และ นางจันหอม สลางสิงห์ (พ่อแม่ของครูในปัจจุบัน) ชื่อว่า “ฮ้วง” และได้เสียชีวิตลงขณะอายุได้ ๑๒ ปี
2. ชาติที่สองครูได้กลับมาเกิดกับพ่อแม่เดิมอีกครั้ง ชื่อว่า “มั่น” คราวนี้เกิดมาเป็นทารกได้เพียงเดือนเศษก็เสียชีวิต
3. ชาติที่สามครูได้เกิดมาเป็นลูกของ นายฮิบ และ นางส้ม ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านอื่นห่างจากหมู่บ้านเดิมประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ชาตินี้มีชื่อว่า “เฮ้า” เหมือนกับชื่อของพี่สาวในชาติแรก แต่มีชีวิตอยู่ได้เพียง ๒ ปีเศษ ก็เสียชีวิตอีก และ
4. ชาติที่สี่ได้กลับมาเกิดกับพ่อแม่ในชาติแรกเหมือนเดิม ชื่อว่า “ประสิทธิ์” หรือก็คือ ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว ในปัจจุบันนั่นเอง

เกิดชาติแรกและชาติที่สองกับครอบครัวเดิม

เรื่องราวในชาติแรกและชาติที่สองที่ครูประสิทธิ์จำได้นี้ เกิดขึ้นในครอบครัวของ นายพรหมาและนางจันหอม สลางสิงห์ นายพรหมา สลางสิงห์ เกิดเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๖ ส่วน นางจันหอม สลางสิงห์ เกิดวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๙ นายพรหมาและนางจันหอมแต่งงานกัน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ หลังจากแต่งงานไปได้ ๓ - ๔ ปี ก็ยังไม่มีลูก มีแต่หลานที่เป็นลูกพี่สาวของนายพรหมา ซึ่งเป็นผู้ชายชื่อว่า “ติ้ง” เกิดเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๐ (ต่อมาได้เป็น กำนันติ้ง สลางสิงห์ กำนันตำบลคำบก อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร)

นายพรหมาและนางจันหอมได้นำ ด.ช.ติ้งมาเลี้ยงเป็นทั้งลูก (ลูกบุญธรรม) และเป็นทั้งหลาน เพราะพี่สาวของนายพรหมาได้หย่าจากสามีและได้ไปแต่งงานใหม่ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๙ นางจันหอม ได้คลอดลูกคนแรกของตัวเองเป็นผู้หญิง ตั้งชื่อให้ว่า "เฮ้า" ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๐ นางจันหอม ได้คลอดลูกคนสอง ตั้งชื่อว่า "ฮ้วง" จากนั้นอีก ๒ ปี ก็มีลูกสาวอีกคนหนึ่ง ชื่อ "วิไล" เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ และอีก ๒ ปี ต่อมาก็มีลูกชายอีกคนหนึ่งชื่อ "ซุน" เกิดเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๔ รวมแล้ว นายพรหมาและนางจันหอมในขณะนั้น มีลูกทั้งหมด ๕ คนคือ ติ้ง, เฮ้า, ฮ้วง, วิไล และ ซุน

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๖ ลูกคนแรกและคนที่สองของนายพรหมาและนางจันหอมเอง คือ "เฮ้า" และ "ฮ้วง" ต้องมาเสียชีวิตพร้อมๆ กัน คือ "เฮ้า" ผู้เป็นพี่ได้เสียชีวิตลงก่อนในตอนใกล้รุ่ง เธอป่วยเป็นไข้ตาย ญาติพี่น้องได้นำศพของเธอไปฝังที่ ป่าช้าภูโล้น ที่อยู่ใกล้ๆ หมู่บ้าน และในวันเดียวกันนั้นเวลาประมาณเที่ยงวัน "ฮ้วง" ผู้เป็นน้องก็ได้สิ้นใจตายตามไปด้วย ในอ้อมกอดของผู้เป็นย่า นายพรหมาและนางจันหอม เศร้าโศกเสียใจมากที่สุด เพราะลูกทั้งสองคนของพวกเขาต้องมาเสียชีวิตพร้อมๆ กัน

เหมือนโลกแห่งความฝัน

ครูประสิทธิ์ เล่าถึงเหตุการณ์ในชาตินั้นที่ครูระลึกได้ว่า ก่อนตายในชาตินั้น ข้าพเจ้าได้เห็นพี่เฮ้ามาชวนให้ไปด้วย จากนั้นในตอนบ่ายญาติพี่น้องก็ได้นำศพข้าพเจ้าไปฝังอีกเป็นศพที่สอง จากนั้นข้าพเจ้าและพี่เฮ้าก็ได้ไปยังอีกโลกมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่มีแต่ความสว่างไสวนวลใย แต่ไม่มีดวงอาทิตย์ มีแต่ป่าไม้และภูเขาที่สวยงามเท่านั้น ส่วนผู้คนและฝูงสัตว์ไม่พบเห็น มีแต่ข้าพเจ้าและพี่สาวเท่านั้น เราเดินทางไปอย่างไม่มีจุดหมาย เพราะตายก็ยังไม่รู้เลยว่าตาย

ในที่สุดได้เดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นป่าเขาที่สวยงามมีลมพัดแรงมาก จนข้าพเจ้าและพี่เฮ้าถูกลมพัดจนแยกจากกันไปคนละทาง เพียงได้ยินแต่เสียงที่ร้องเรียกหากันเท่านั้นจนลับตาไป ข้าพเจ้าได้แต่ร้องไห้เพราะคิดถึงพี่เฮ้าจนสุดจะพรรณนาได้ แต่ต่อมาจึงได้นึกถึงคุณพ่อพรหมาและคุณแม่จันหอมอีกครั้ง เพียงแค่นึกถึงเท่านั้น ข้าพเจ้าก็ได้กลับมาถึงบ้าน และคุณพ่อคุณแม่ต่างก็อุ้มกอดไว้ด้วยความดีใจ ข้าพเจ้าจึงได้อยู่กับพ่อแม่จะนานเท่าไรก็ไม่อาจจะทราบได้

ทราบต่อมาว่าข้าพเจ้าได้ตกลงจากที่สูงสู่ที่ต่ำ แต่ข้าพเจ้าก็ตั้งจิตใจอย่างแน่วแน่ คือไม่เกิดความกลัวอยู่ในจิต เพียงแต่รู้สึกหิวน้ำเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงร้องออกมา แต่มันก็ร้องได้แค่ "อุแว้ ๆ" เท่านั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงว่า "เกิดแล้วๆ เป็นผู้ชาย" ซึ่งข้าพเจ้าได้ยินเขาเรียกชื่อข้าพเจ้าว่า "มั่น" ตรงกับปี พ.ศ.๒๔๙๐ นับว่าเป็นการเกิดชาติที่ ๒ ส่วนสูจิบัตรนั้น เมื่อใครตายแล้วเขาจะเผาทิ้งไปด้วย จึงไม่สามารถ บอกวัน เดือน ปีเกิดให้ทราบได้

หลังจากข้าพเจ้าได้หวนกลับมาเกิดกับคุณพ่อพรหมาและคุณแม่จันหอม เป็นครั้งที่ ๒ นี้ ข้าพเจ้า เป็นลูกคนที่ ๖ การเกิด ในครั้งที่ ๒ หรือชาติที่สองนี้ ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ได้เพียงเดือนเศษๆ เท่านั้นก็ถึงแก่ความตายอีก

ครูประสิทธิ์ พูดถึงความรู้สึกในครั้งนั้นว่า “ขณะที่ข้าพเจ้าเกิดเป็นทารกน้อยนั้น ถึงแม้ข้าพเจ้าจะพูดไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าก็รู้กิริยาท่าทางและภาษาพูดของคนได้ และมีความรู้สึกเสมือนว่าอยู่ในโลกแห่งความฝัน คือมีลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่เป็นจิตบริสุทธิ์และสามารถมองเห็น ในสิ่งที่บุคคลที่มีอายุมากจะมองไม่เห็น ส่วนสาเหตุที่ตายนั้น

เมื่อข้าพเจ้าสอบถามคุณแม่ในชาติที่ ๔ คือ ปัจจุบันชาตินี้ก็ทราบว่า คุณแม่ชอบนอนมากและได้นอนทับร่าง ทำให้นมไปปิดปากปิดจมูกจนในที่สุดก็ขาดใจตาย การตายก็ตายในลักษณะเหมือนเราฝันไปและไม่ยอมตื่นนอน แต่เป็นการฝันที่แน่นอนและชัดเจน สามารถนำมาเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ท่านฟังได้อย่างถูกต้อง”

เกิดชาติที่สามกับพ่อแม่คนใหม่

ครูประสิทธิ์ ได้เล่าถึงการสืบชาติมาเกิดในชาติที่สามว่า หลังจากทารกน้อยที่ชื่อว่า “มั่น” ตายแล้ว จิตใต้สำนึกของข้าพเจ้ายังคิดถึงพี่เฮ้ามากที่สุด (คือคิดตามประสาเด็ก) จากนั้นข้าพเจ้าก็ออกจากบ้าน พอพ้นเขตบ้านก็จะเป็นโลกแห่งความฝัน มันเป็นมิติใหม่ ข้าพเจ้าได้เหาะไปคนเดียว แต่ไม่ได้คิดว่า จะไปหาที่เกิดใหม่และไม่เคยทราบเลยว่า "เกิด" คืออะไร จึงได้เหาะไปเรื่อยๆ จนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ทราบว่าอยู่เหนือภูพระเจ้า (รู้ตอนจะเดินทางไปพิสูจน์บ้านเกิดในชาติที่ ๓)

ขณะนั้นข้าพเจ้าได้มองลงสู่พื้นล่าง(พื้นดิน) ได้มองเห็นบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ปลูกอยู่เพียงหลังเดียวเท่านั้น (ต่อมาจึงได้ทราบว่า เป็นบ้านม่วงซึ่งขณะนั้นมีบ้านเรือนของผู้คนประมาณ ๒๐ หลังคาเรือนแล้ว) แต่ทำไมข้าพเจ้าจึงมองเห็นเพียงหลังเดียวเท่านั้นก็ไม่รู้ได้

จากนั้นข้าพเจ้าจึงเหาะลงไปยังบ้านที่ข้าพเจ้ามองเห็น เมื่อลงไปถึง ก็เห็นเจ้าของบ้านแต่งตัวเหมือนกับเศรษฐีมีเงิน ทั้งยังมีทาสรับใช้อีกมากมาย เมื่อเขาเห็นข้าพเจ้า เขาก็แสดงความรักและชอบพอข้าพเจ้ามาก เขาบอกว่า อยากได้ข้าพเจ้าไว้เป็นลูก ส่วนข้าพเจ้าก็เช่นกัน คือ เกิดชอบนิสัยใจคอ อยากจะอยู่กับเขาและได้อยู่กับเขาในที่สุด

แต่อยู่นานเท่าไรนั้นข้าพเจ้าไม่อาจจะทราบได้อีก ทราบแต่ว่าได้ตกจากที่สูงลงสู่เบื้องต่ำอีก กับรู้สึกหิวน้ำ จึงได้ร้องออกมาเหมือนกับการเกิดใหม่ในชาติที่สองไม่มีผิด และต่อๆ มาจึงทราบว่า เขาตั้งชื่อให้ข้าพเจ้าว่า "เฮ้า" เป็นผู้ชายเหมือนเดิม ทั้งยังได้ชื่อว่า "เฮ้า" อันเป็นชื่อของพี่สาว ในชาติแรกอีกด้วย

ต่อมาเมื่อมีอายุได้ ๒ ขวบกว่าๆ จึงพอจะรู้ว่า ที่มองเห็นเป็นบ้านหลังใหญ่โตนั้น ที่แท้จริงมันเป็นเพียง "กระท่อมนา" หลังน้อยๆ เท่านั้นเอง มีความกว้าง ๓ เมตร ยาว ๔ เมตร และพื้นเป็นฟากไม้ไผ่ ส่วนฝา เป็นใบตอง ฝากั้นห้องเป็นใบตาลแห้ง ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าทำไมมันถึงไม่ตรงกับที่ได้มองเห็นก่อนที่จะมาเกิดก็ไม่รู้ ถ้ารู้ก็คงจะไม่ลงไปแน่ และนอกจากนั้นยังได้เห็นเจ้าของบ้านมีลักษณะเป็นเศรษฐีร่ำรวยอีก แต่ทำไมกลับกลายเป็นคนจน ถึงระดับขอทานก็ไม่รู้ มันกลับตาลปัตรไปหมด ช่างอนาถแท้ๆ

อีกประการหนึ่ง หมู่บ้านที่ข้าพเจ้ามาเกิดเป็นชาติที่ ๓ นี้ความจริง ในขณะนั้นมีบ้านเรือนของคนถึง ๒๐ หลังคาเรือนแล้ว แต่ทำไมข้าพเจ้ามองเห็นเพียงหลังเดียวเท่านั้น ในชาติที่ ๓ นี้ ข้าพเจ้าเกิดในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เกิดกับ คุณพ่อฮิบ กับ คุณแม่ส้ม (ส่วนบ้านเลขที่ และ นามสกุล ข้าพเจ้าจำไม่ได้) ที่บ้านม่วง ตำบลบ้านเหล่า อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ห่างจากตัวอำเภอคำชะอี ไปทางทิศตะวันตก ๕ กม. และ ห่างจากบ้านคำบก ที่เกิดในชาติแรกประมาณ ๒๐ กม.

ส่วนรูปร่างลักษณะนั้น มีรูปร่างอัปลักษณ์มาก คือ ตัวดำ ผมก็หยิก พุงก็ยื่น ท้องใหญ่และขาลีบหัวโต ลำตัวสั้น เรียกว่าสุดที่จะบรรยายในความอัปลักษณ์ให้ฟังได้ คุณพ่อคุณแม่ใน ชาตินี้ (ชาติที่ ๓) เป็นคนยากจนมาก ข้าวก็ไม่พอกินต้องเร่ร่อนไปขอทานและขุดหาเผือกหามันกินแทนข้าว พอได้ประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น คุณพ่อฮิบเป็นคนชอบม้า ได้นำม้ามาเลี้ยงไว้ตัวหนึ่งเป็นม้าขาขวาด้านหลังพิการ จึงเป็นขาเดินได้ ๓ ขาและอานม้ากับที่เหยียบเท้า ๒ ข้าง ข้างหนึ่งเป็นสีออกขาวและอีกข้างหนึ่งเป็นสีออกทองๆ

นอกจากจะมีม้าขาพิการแล้ว ในบริเวณใกล้ๆ กระท่อมนาอันเป็นที่อยู่ของพ่อแม่ในชาติที่ ๓ นี้ ก็มีที่นาและมีหนองน้ำ ๒ แห่งไม่ใหญ่นัก ซึ่งในชาตินี้ข้าพเจ้ามาเกิดเป็นลูกคนที่ ๒ ของเขา ส่วนลูกคนแรกนั้นเป็นหญิงได้เสียชีวิตไป ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมาเกิดเพียงปีเดียวเท่านั้น ถึงแม้ครอบครัวจะยากจนแต่คุณพ่อฮิบและคุณแม่ส้มก็รักข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ในชาติที่ ๓ นี้ได้เพียง ๒ ปีกว่าๆ เท่านั้นก็เสียชีวิตลง เนื่องจากเป็นไข้หนักตัวร้อนมาก เข้าใจว่าคงเป็นไข้หวัดอย่างแรงนั่นเอง เกี่ยวกับวิญญาณนั้น ครูประสิทธิ์ มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

“ผีกับวิญญาณนั้น บางคนบอกว่าเป็น "ดวงจิต" แต่ที่แท้มันก็คือ "ความคิด" ของเรานั่นเอง”



ชีวิตหลังความตายได้พบกับวิญญาณของพี่สาวในอดีตชาติ

ครูประสิทธิ์ เล่าต่อไปว่า หลังจากสิ้นใจไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้เหาะไปเรื่อยๆ ตามความคิดในโลกแห่งความฝัน จนกระทั่งไปถึงทุ่งกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง จึงได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่เบื้องล่าง เมื่อมองดูลงไปก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ จึงได้เหาะลงไปเพื่อให้ได้เห็นชัดเจนขึ้น พอไปถึงจึงได้รู้ว่าผู้ที่นั่งร้องไห้อยู่นั้นที่แท้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่เฮ้าพี่สาวของข้าพเจ้าเอง ทั้งสองพี่น้องเมื่อได้พบกันก็ต่างเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันฟัง ทั้งเรื่องที่ได้ถูกลมพัดจนแยกจากกัน ในครั้งที่ตายไปในชาติที่หนึ่งนั้น

พี่เฮ้าได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หลังจากพลัดพรากจากกันไปแล้ว พี่เฮ้าได้ไปเกิดเป็น "ลูกวัว" อยู่ได้ไม่นานก็ได้ตายไป จากนั้นก็ได้ไปเกิดกับ คุณพ่อฮิบ กับ คุณแม่ส้ม (พ่อแม่คนเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าไปเกิดด้วย) ที่บ้านม่วง ตำบลบ้านเหล่า อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร พี่เฮ้าไปเกิดเป็นลูกคนแรก พออายุได้ประมาณ ๔-๕ ปี ก็ได้เสียชีวิตลง (ส่วนข้าพเจ้าไปเกิด เป็นคนที่ ๒ ในพ่อแม่เดียวกัน)

เมื่อพี่เฮ้าตายไปแล้วก็ได้เร่ร่อนไปในที่ต่างๆ จนกระทั่งมานั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้แห่งนี้ เพราะไม่รู้จะไปไหนอีกแล้ว และในใจก็ยังคิดถึงข้าพเจ้าอยู่ ผลสุดท้ายเราทั้งสองพี่น้องก็ได้มาพบกันจนได้

สรุปแล้วพี่เฮ้าของข้าพเจ้า ได้ไปเกิดก่อนข้าพเจ้าที่บ้านม่วง แต่ได้ตายก่อนที่ข้าพเจ้าจะไปเกิดดังกล่าวแล้ว เราจึงไม่ได้พบกัน แต่ในขณะที่ทั้งสองเราพี่น้อง ก็ยังไม่ได้เข้าใจคำว่า "เกิด" และ "ตาย" แต่อย่างใด แต่รู้เพียงว่า ได้พากันไปหาที่อยู่ใหม่เท่านั้น จากนั้น พี่เฮ้าได้พาข้าพเจ้า เดินไปเรื่อยๆ อย่างมีความสุข อยู่ในโลกที่ไม่มีดวงอาทิตย์ มีแต่แสงสว่างอันขาว นวลสดใส อันประดับไปด้วยดวงดาวที่สวยงาม ส่วนพื้นดิน ประกอบไปด้วยหญ้า ที่นุ่มนิ่ม สูงประมาณ ๑ ฟุต ส่วนป่ามีต้นไม้ใหญ่ ขึ้นอย่างสวยงาม

เราพากันเดินไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ จนกระทั่งเดินไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นลำห้วยที่ลึกและไหลแรงมาก ทั้งยังมีป่าทึบรอบล้ำหวยและมีขอนไม้หนึ่งขอนพาดไปยังฝั่งตรงข้าม พี่เฮ้าจึงเดินนำหน้าไปก่อนได้ประมาณเกือบครึ่ง ข้าพเจ้าจึงเดินตามไป พอเดินถึงตรงกลางด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ ทำให้ข้าพเจ้าพลัดตกลงไปในลำห้วยนั้น และได้ถูกน้ำพัดไปอย่างแรง ทั้งข้าพเจ้าและพี่เฮ้าต่างก็ร้องเรียกหากันจนลับตาไป

ข้าพเจ้าไม่ทราบเลยว่า พี่เฮ้าจะเป็นอย่างไรเขาจะไปเกิดหรือยังก็ไม่รู้ได้ แม้ทุกวันนี้ (ในชาติปัจจุบัน) บางคืนมีอยู่บ่อยครั้งที่ได้ฝันเห็นภาพในอดีต อันเป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งเกิด ในชาติก่อนๆ เป็นประจำและไม่ทราบว่า อีกเมื่อไรเราจะได้พบกับพี่สาวของเราได้อีก

เกิดชาติที่สี่กับพ่อแม่ในชาติแรก (ที่จำได้)


ครูประสิทธิ์ ได้เล่าถึงการสืบชาติมาเกิดในชาติที่สี่หรือชาติปัจจุบันว่า ข้าพเจ้าเมื่อถูกน้ำพลัดไหลไปไกลมากแล้วในความรู้สึกข้าพเจ้า ได้แต่เศร้าโศกเสียใจมาก เพราะคิดถึงพี่เฮ้ามาก จึงร้องไห้ลูกเดียว (ท่านเคยร้องไห้ ในความฝันบ้างไหมครับ ไม่ผิดกันเท่าไหร่หรอก) ในที่สุดข้าพเจ้าก็นึกถึง คุณพ่อพรหมา และคุณแม่จันหอม ขึ้นมา และเพียงแต่นึกเท่านั้น ข้าพเจ้าก็ได้กลับมาบ้านของคุณ พ่อพรหมา คุณแม่จันหอม ในทันที ในบ้านเลขที่ ๑ บ้านคำบก ต.คำบก อ.คำชะอี จ. มุกดาหาร

การกลับมาเกิดกับคุณพ่อพรหมาและคุณแม่จันหอมนี้ เป็นพ่อแม่คนเก่าที่เคยได้เกิดมาในครั้งแรกและครั้งที่สอง ส่วนในครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งที่ ๓ แล้วกับครอบครัวนี้ ซึ่งถ้ารวมกับชาติที่ไปเกิดที่บ้านม่วงก็นับเป็นชาติที่ ๔ ซึ่งการจะเกิดในแต่ละครั้งนั้น ก็จะเป็นในลักษณะมาอยู่กับพ่อแม่ และแม่ก็อุ้มกับกอดเอาไว้ แต่จะนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ จนในที่สุดก็รู้สึกตกจากที่สูงลงสู่เบื้องต่ำอย่างรวดเร็วเช่นเคย ข้าพเจ้าจะตั้งสติไว้อย่างมั่นคงในทุกครั้ง ที่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้าพเจ้าเกิดมาดูโลกอีกครั้งนับเป็นครั้งที่ ๔ (เท่าที่ระลึกได้)

เมื่อประมาณ ๒ ทุ่มตรง ของวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๔๙๔ ข้าพเจ้าได้เกิดมาดูโลกอีกครั้ง คือปัจจุบันชาตินี้เป็นลูกคนที่ ๕ ของ คุณพ่อพรหมา และ แม่จันหอม สลางสิงห์ ซึ่งขณะนั้นมีพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมด ๖ คนด้วยกัน คือ นางวิไล, นายซุน, นางวาด, นางทองใบ, นายประสิทธิ์ และ นายประเสริฐ ตั้งแต่ข้าพเจ้าเติบโตมาในชาติที่ ๔ นี้ ข้าพเจ้าได้ฝันถึงเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ชาติที่ ๑ ถึง ชาติที่ ๓ อยู่เป็นประจำ และเป็นเรื่องเดียวกันทุกครั้ง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ขณะที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ ป.๔ ครอบครัวถูกโจรปล้นได้เงินไปประมาณหมื่นกว่าบาท คุณพ่อคุณแม่จึงได้ย้ายไปทำการค้าขายที่ตัวอำเภอคำชะอี

จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๕๑๑ ต้นเดือนกรกฎาคม ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.๓ โรงเรียนสมประสงค์วิทยา ซึ่งตั้งอยู่ในตัวอำเภอคำชะอี ในอำเภอคำชะอีมีเด็กคนหนึ่งอายุประมาณ ๓ - ๔ ปี ได้เสียชีวิตลง คุณพ่อได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าไปร่วมงานพิธีฝังศพเด็กที่ตายร่วมกับชาวบ้าน และจากการที่ข้าพเจ้าได้เห็นศพของเด็กที่ตายนี่เอง ทำให้ข้าพเจ้านั่งคิดประกอบกับความฝันบ่อยๆ เกี่ยวกับอดีตชาติแต่ครั้งก่อนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าอยากไปเยี่ยม คุณพ่อฮิบ คุณแม่ส้ม ที่บ้านม่วง ต. บ้านเหล่า อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ขึ้นมา

เมื่อข้าพเจ้ากลับจากฝังศพเด็กที่ตายแล้ว ตกค่ำข้าพเจ้าได้บอกขออนุญาตจากพ่อแม่ เพื่อจะเดินทางไปเยี่ยมพ่อแม่เก่าในอดีตชาติ เมื่อครั้งไปเกิดกับเขาในชาติที่ ๓ ที่บ้านม่วง แต่คุณพ่อคุณแม่ในปัจจุบันไม่อนุญาตให้ไปอย่างเด็ดขาด ข้าพเจ้ารู้สึกอยากไปที่บ้านม่วงทั้งๆ ที่บ้านม่วงแห่งนั้น ตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาจนกระทั่งมีอายุย่างเข้า ๑๗ ปีแล้ว ยังไม่เคยได้ไปเห็นมาเลย

พอตื่นนอนในวันต่อมา ซึ่งตรงกับวันศุกร์ ของเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๑ หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ข้าพเจ้าก็แต่งตัวไปโรงเรียนในชุดลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ เมื่อไปถึงโรงเรียนแล้ว ได้เอาสมุดหนังสือวางไว้ที่โต๊ะ และไม่ได้บอกกับครูหรือเพื่อนให้ทราบว่าข้าพเจ้าจะไปไหน เพราะกลัวคุณพ่อคุณแม่ไม่ให้ไป จึงขโมยหนีไปเพื่อไปค้นหาความจริง จากเรื่องราวในความฝันที่ฝันติดต่อกันมา ตั้งแต่อายุประมาณ ๔-๕ ขวบจนกระทั่งอายุ ๑๗ ปี ว่า ข้าพเจ้าได้เคยไปเกิดที่บ้านม่วงแห่งนี้จริง เหมือนในความฝันหรือไม่ และอยากทราบว่าคุณพ่อฮิบคุณแม่ส้ม พ่อแม่ในชาตินั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

ข้าพเจ้า เริ่มเดินออกจากโรงเรียนเวลา ๐๘.๐๐ น. โดยการเดินไปตามแนวเขา ตามที่คิดว่าความฝันคงเป็นจริง การเดินทางนั้นเป็นการสำรวจและคิดทบทวนมากที่สุด มีการนั่งพักอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็ไปถึงลำห้วยก่อนที่จะเข้าไปยังหมู่บ้านม่วง ซึ่งลำห้วยอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๓๐๐ เมตร ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันพอดี แต่ข้าพเจ้าก็ยังจนใจที่ยังไม่สามารถเข้าไปยังหมู่บ้านม่วงได้ เพราะมองดูสภาพบริเวณใกล้หมู่บ้านได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะเวลาได้ล่วงเลยมาเป็นเวลาถึง ๑๗ ปีแล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นคือเดินกลับไปกลับมานั่งบ้าง เพราะต้องใช้ความคิดอย่างหนัก

จนกระทั่งข้าพเจ้ามองเห็นต้นตาลสามต้นที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน จึงทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเหตุการณ์ในอดีตชาติ ตอนที่คุณแม่ส้มเคยพาไปเก็บลูกตาลอยู่บ่อยๆ ข้าพเจ้าจึงเดินไปที่ต้นตาลสามต้นนั้น ขณะนั้นเป็นเวลาบ่าย ๓ โมงเย็นแล้ว จากนั้นจึงต้องใช้ความคิด เพื่อทบทวนถึงเหตุการณ์ในอดีตชาติอย่างหนักอีกครั้ง เพื่อให้ความจำกลับคืนมา ข้าพเจ้าใช้เวลาคิดนานพอสมควร จึงคิดได้ว่ายังมีวัดอยู่วัดหนึ่ง ซึ่งในอดีตชาติข้าพเจ้าเคยไปวิ่งเล่นในสมัยที่ยังเป็นเด็กๆ

วัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของบ้าน คุณพ่อฮิบ คุณแม่ส้ม ส่วนที่นาของคุณพ่อคุณแม่ก็อยู่ติดกับบ้าน ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน พอนึกขึ้นได้แล้ว ข้าพเจ้าจึงเดินไปตั้งต้นที่วัดก่อน ขณะนั้นเป็นเวลา ๖ โมงเย็นแล้ว แล้วเดินกลับมายังบริเวณที่จำได้ว่าเป็นบ้านของพ่อแม่ จากนั้นก็มองเห็นบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ฟากถนน สภาพของบ้าน เหมือนบ้านของข้าพเจ้าในอดีตชาติ (ชาติที่ ๓) ทุกอย่าง

พ่อในอดีตชาติไม่เชื่อว่าเป็นลูกสืบชาติมาเกิด


ครูประสิทธิ์ เล่าต่อไปว่า ข้าพเจ้าเดินไปยังบ้านหลังน้อยๆ หลังนั้นทันที เพราะเวลาเกือบจะมืดค่ำเข้ามาทุกขณะ เมื่อข้าพเจ้าเดินขึ้นไปบนบ้าน สายตาก็พบ คุณพ่อฮิบ กำลังนั่งฟั่นเชือกอยู่ ข้าพเจ้าจึงตรงเข้าไปกราบและกอดคุณพ่อฮิบพร้อมกับ พูดว่า "พ่อ ลูกเฮ้ากลับมาหาพ่อแล้ว" แต่ตอนนั้นคุณพ่อฮิบไม่ยอมเชื่อว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกของท่านที่เสียชีวิตไปแล้วมาเกิดใหม่เลย ข้าพเจ้าพยายามอธิบายอยู่ตั้งนานพ่อก็ไม่ยอมรับ ว่าข้าพเจ้าเป็นลูกชายของท่านในชาติปางก่อนสักที

ในที่สุดคุณพ่อฮิบจึงกล่าวขึ้นว่า "เจ้าจำอะไรได้บ้างในครอบครัวพ่อแม่ จำอะไรได้บ้างให้บอกมา"

ข้าพเจ้าก็บอกกับพ่อไปว่า "ที่นาของเรา อยู่ติดบ้านของเรา ทางทิศตะวันตกของบ้านเรานี่แหละ และมีหนองน้ำไม่ใหญ่นักอยู่ ๒ แห่ง ผมพูดถูกมั้ยครับ..?"

ฝ่ายคุณพ่อฮิบไม่ตอบอะไร สักครู่ท่านก็เอ่ยถามต่อไปอีกว่า "มีอะไรอีก"

ข้าพเจ้าจึงบอกต่อไปว่า "ครอบครัวของเรายากจนมาก ต้องไปขอทานในที่ต่างๆ มีอยู่คืนวันหนึ่ง ชาวบ้านเขาได้เอาสิ่งของเครื่องใช้ในครอบครัวมาทำพิธีบังสุกุลให้ เหมือนเราเอาเครื่องสังฆทานไปถวายพระ คือเขาจะจุดธูปเทียนและตีฆ้อง แล้วคุณพ่อก็ลงไปรับเอาของพร้อมกับให้พรแก่พวกเขา...พ่อ จำได้ไหม"

เมื่อพูดจบคุณพ่อก็ไม่ตอบอะไรแต่ถามขึ้นมาอีกว่า "มีอะไรอีก"

ข้าพเจ้าจึงบอกต่อไปว่า “แต่ก่อนคุณพ่อมีม้าอยู่ตัวหนึ่ง ขาหลังพิการ มันจึงวิ่งได้เพียง ๓ ขาเท่านั้น และที่เหยียบอานม้าทั้งสองข้างนั้นก็ต่างกัน คือ ข้างหนึ่งเป็นสีขาว อีกข้างหนึ่งเป็นสีทอง พ่อได้เล่าให้แม่ส้มและลูกฟังว่า พ่อขี่ม้ามาจากหมู่บ้านนาบอน ม้าได้ลื่นพลาญหิน ม้าจึงล้ม พ่อโกรธมากถึงกับจะฆ่าม้าทิ้งเสีย ที่พูดมาทั้งหมดนี้ผมพูดถูกมั้ยครับ..?

คุณพ่อฮิบกล่าวตอบเบาๆ ในลำคอคล้ายจะร้องไห้ว่า "ที่ลูกพูดมานี่ ลูกพูดถูกหมดเลยลูก" พูดจบพ่อก็โอบกอดข้าพเจ้าพร้อมกับร้องด้วยความดีใจ พร้อมกับลูบคลำตัวข้าพเจ้า แล้วพูดขึ้นว่า "ลูกโตขนาดนี้แล้วหรือ..!"

จากนั้น คุณพ่อฮิบจึงคลานคว้าผิดคว้าถูก เข้าไปในห้องที่กั้นฝาใบตาลไว้ แล้วลากดึงอานม้าออกมาจากในห้องนำมาให้ข้าพเจ้าดู เมื่ออานม้าถูกลากมาถึง ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจมากที่ได้เห็นที่เหยียบเท้าของอานม้าเป็นจริง ตามที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังทุกอย่าง

ข้าพเจ้าพูดออกมาว่า "ตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ..!"

คุณพ่อฮิบก็บอกกับข้าพเจ้าว่า คุณแม่ของลูกได้ตายไปนานแล้ว จากนั้นคุณพ่อฮิบก็ได้เรียกบรรดาญาติๆ ของท่านมาฟังเรื่องราวในอดีตชาติที่ข้าพเจ้าย้อนระลึกให้ฟังอีก ข้าพเจ้าพูดคุยอยู่นานนับชั่วโมง จึงกราบลาพ่อฮิบแล้วรีบวิ่งกลับมาที่บ้านในตัวอำเภอคำชะอี เพราะตอนนั้นเป็นเวลา ๑ ทุ่มซึ่งค่ำมืดแล้ว

วันนั้น เมื่อครูประสิทธิ์หรือเด็กชายประสิทธิ์ในขณะนั้น วิ่งกลับไปถึงบ้านที่ตัวอำเภอคำชะอี ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านม่วงประมาณ ๕ กิโลเมตร ก็เป็นเวลา ๒ ทุ่มกว่าแล้ว พอไปถึงบ้าน พ่อพรหมาท่านโกรธมาก เพราะท่านไม่รู้ความจริง เนื่องจากเพื่อนนักเรียนและครูมาบอกกับท่านว่า ไอ้สิทธิ์มันไปจีบสาวที่บ้านม่วง พ่อพรหมาท่านด่าว่าต่างๆ นานา ด้วยความโมโหและไล่เด็กชายประสิทธิ์ออกจากบ้าน

เด็กชายประสิทธิ์ซึ่งขณะนั้นทั้งเหนื่อยทั้งหิว เพราะวิ่งมาจากบ้านม่วงเป็นระยะทางร่วม ๕ กิโลเมตร แล้วยังมาถูกพ่อด่าและไล่ออกจากบ้านอีก เด็กชายประสิทธิ์จึงวิ่งอกจากบ้านที่ตัวอำเภอคำชะอีไปยังบ้านคำบก อันเป็นบ้านเก่าที่เคยอยู่มาก่อนในค่ำคืนนั่นเอง

ครูประสิทธิ์ เล่าว่า ตอนนั้นข้าพเจ้าหนีมาอยู่กับพี่สาวซึ่งกำลังทำนาอยู่ที่บ้านคำบก ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ไปโรงเรียนถึง ๗ วัน พอคุณพ่อคุณแม่ ท่านทราบความจริง จึงได้มาตามให้ข้าพเจ้ากลับไปบ้านที่อยู่ในตัวอำเภอ จากนั้นทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็ได้ไต่ถามถึงเรื่องราว และความเป็นอยู่ของพ่อแม่เก่าในอดีตชาติที่บ้านม่วงเป็นอย่างไร

ข้าพเจ้าบอกว่าครอบครัวของ พ่อฮิบ แม่ส้ม ทุกข์ยากมาก และขณะนี้คุณแม่ส้มก็ได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ในวันต่อมา คุณพ่อพรหมา และ แม่จันหอม จึงได้จัดแจงเอาข้าว สาร ๑ กระสอบกับเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น ให้ข้าพเจ้านำไปมอบให้พ่อฮิบที่บ้านม่วง สมัยนั้นหนทางยังไม่เจริญ สิ่งของต้องบรรทุกใส่เกวียน โดยมีญาติพี่น้องของข้าพเจ้าได้ติดตามไปดูด้วย

ต่อจากนั้นเรื่อยมาข้าพเจ้าได้เดินทางไปเยี่ยมพ่อฮิบถึง ๘ ครั้งด้วยกัน จนทำให้พ่อพรหมาแม่จันหอม ซึ่งเป็นพ่อแม่ในชาติปัจจุบันไม่ค่อยจะพอใจนัก อาจเป็นเพราะพวกท่านคิดว่าพ่อฮิบซึ่งเป็นพ่อเก่าในอดีตชาติ มาแบ่งแย่งความรักจากลูกชายของท่านไปก็ได้

ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ ข้าพเจ้าไปเรียน ม.ศ.๔ ที่โรงเรียนอินทรศึกษาที่กรุงเทพฯ จากนั้นก็กลับไปเรียนสำเร็จ ป.ก.ศ. ที่วิทยาลัยครูอุบลราชธานี ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ช่วงปีนี้ คุณพ่อฮิบ ได้เสียชีวิตไปแล้ว และในปีเดียวกันนี้ คุณแม่จันหอม ก็ได้เสียชีวิตลงเช่นเดียวกัน และอีก ๕ ปีต่อมา ตรงกับ ปี พ.ศ.๒๕๒๐ คุณพ่อพรหมา ก็ได้เสียชีวิตลงไปอีก

ครูประสิทธิ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า...

“ การที่ข้าพเจ้าได้เปิดเผยเรื่องราวของข้าพเจ้า ตั้งแต่อดีตชาติในชาติที่ ๑ จนกระทั่งชาติที่ ๔ คือในชาติปัจจุบันนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าหากได้บันทึกไว้ให้เพื่อนร่วมโลก ได้รู้ได้พิจาณากันว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ที่ตายแล้วเกิด ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ท่านเชื่อโดยไม่ได้พิจารณาเสียก่อนตามเหตุและผล ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แม้จะไม่ละเอียดนัก แต่ก็เป็นเรื่องจริงทุกอย่าง

แม้แต่ในทุกวันนี้ข้าพเจ้าเองก็ยังนำมาพิจารณาไตร่ตรองดูอยู่เสมอว่า มันมีสิ่งที่ลี้ลับยิ่งกว่านี้อีกไหมในโลกมนุษย์ของเรา เมื่อท่านได้อ่านแล้วจงได้ช่วยพิจารณาดูเถิด เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นครู การเป็นครูจึงควรถ่ายทอดวิชาความรู้ ที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์จริงไหมครับ

ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะขอสรุปข้อคิด จากการที่ข้าพเจ้าได้ระลึกชาติได้ถึง ๓ ชาติที่ผ่านมา นั้นว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะได้ยกระดับจิตและวิญญาณให้สูงขึ้น ในขณะที่เรา กำลังยังเป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิต และละจากโลกนี้ไปสู่โลกแห่งความคิด ที่จะเป็นแนวทางไปสู่แหล่งเกิดใหม่ให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ต่อไป "

ข้าพเจ้าขอให้ข้อคิดควรพิจารณาดังนี้คือ

1. ท่านเคยฝันซ้ำบ่อย ๆ และเป็นเรื่องเก่า จะสั้นหรือยาวก็ตาม ก็ขอให้ท่านได้ตระหนักเถิดว่า ท่านได้เกิด ณ สถานที่แห่งนั้น ท่านอาจจะเกิดเป็นสัตว์หรือเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นได้

2. การตายเป็นอย่างไร? การตายก็คือ ตอนแรกๆ จะมืด จากนั้นจะสว่าง และมองเห็นตัวเองเป็น 2 คน อีก คนหนึ่ง พ่อแม่ ญาติพี่น้องกำลังรุมล้อมและร้องไห้ แต่เราผู้ตายจะถามเขา แต่เขาจะไม่ได้ยินเสียงที่เราพูด จนทำให้เรานี่แหละ เป็นฝ่ายต้องหลบหลีกเขาเป็นประจำ และเราก็ร้องไห้เสียใจเหมือนกัน

3. การเกิดเป็นอย่าไร? เราไม่รู้หรอกว่า เราไปหาที่เกิดเรารู้แต่เพียงว่าเราไปอยู่กับเขาและในที่สุดจะมีความรู้สึกว่า "เราได้ตกจากที่สูงลงสูที่ต่ำ" ซึ่งในช่วงนี้ ถ้าหากใครมีจิตที่ไม่มั่นคง หรือควบคุมสติไม่ได้ ก็จะลืมเรื่องราวทั้งหมด ในอดีตหรือ จดจำไม่ได้เท่าที่ควร

4. เราจะเลือกที่เกิดไม่ได้เลยอย่างเช่นข้าพเจ้าเป็นตัวอย่าง คือ ขณะที่ข้าพเจ้าไปเกิดบ้านม่วง แท้ที่จริงหมู่บ้านม่วง มีหลังคาบ้านเรือนเป็นจำนวนมาก แต่ทำไมข้าพเจ้ามองเห็นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น บ้านที่ข้าพเจ้ามองเห็นก็เป็นบ้านหลังที่ใหญ่โต และเจ้าของบ้าน ก็ภูมิฐานเหมือนเศรษฐีมีเงิน แต่เมื่อเกิดมาแล้ว สภาพได้กลายเป็นกระท่อม แถมยังยากจน อีกต่างหาก

5.ไปเพียงนิดเดียวในโลกของวิญญาณ (ความนึกคิด) แต่เวลาในโลกมนุษย์นานเป็นเวลาถึง 4 - 5 ปีก็น่า คิดอยู่มาก

6. ในโลกของวิญญาณไม่มีดวงอาทิตย์ แต่มีแสงสว่างอันนวลใย และไม่รู้สึกหิว ไม่พบฝูงสัตว์แต่อย่างใด ข้าพเจ้าคิดว่า คงเป็นอีกภพหนึ่งเป็นแน่แท้

7. ใครที่สามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นได้ เช่น การประกอบไปด้วยคุณธรรม และสร้างความดี ย่อมไปเกิดในหมู่มนุษย์ ที่มีคุณธรรมสูงเช่นเดียวกัน คือ จะไปเกิดในตระกูลที่ดี ร่ำรวยมีศีลธรรม เพราะ ความดีที่เราได้ทำไว้ จะติดตามตัวไป ในความคิดของเราตลอดไป แต่ถ้าหากใครทำไม่ได้ ตามที่กล่าวนี้ ก็ย่อมตกต่ำ ทั้งในชาตินี้ ทั้งในโลกวิญญาณ และในชาติหน้าเป็นแน่แท้

8. การทำบุญ หรือความพอใจจึงจะได้บุญ และมีความสุข ถ้าจะเปรียบไปคล้ายกับว่า เมื่อเราเห็นน้ำเต็มโอ่ง เมื่อเราโยนก้อนหินลงไปในโอ่ง น้ำในโอ่งก็จะล้นออกมาเท่ากับเนื้อที่ ที่โยนก้อนหินลงไปในน้ำนั้น แต่ถ้าหากเรามองเห็นน้ำในโอ่งไม่เต็มซึ่งน้ำอาจจะมีมากหรือมีน้อยก็ตาม เมื่อเราโยนก้อนหินลงไปใน โอ่งน้ำนั้น น้ำจะไม่ล้นออกมาให้เราได้เห็น ถ้าจะพูดกันให้ชัดเจนก็คือ การจะทำบุญ (การให้) เมื่อเราเห็นบุคคลที่เราควรจะให้นั้น สมควรที่เราเต็มใจให้หรือไม่ให้เพื่อจะ เอาหน้าเอาตา ลักษณะที่กล่าวมานี้เปรียบเสมือนโยนหินลงโอ่งน้ำฉันใดก็ฉันนั้น

9. คนเรามีกาย 2 กาย (ร่างกาย) คือ กายหยาบกับกายละเอียด กายหยาบ คือ กายนอก มีเนื้อหนังกระดูก ทุกอย่างที่เรายืน เดิน นั่ง นอนได้ ส่วนกายละเอียดนั้น คือ กายใน (ความคิด และ จิตใจ) กายในนี้มีโอกาส สวยงามกันได้ทุกคน ถ้าหากต้อง การเช่นอย่างน้อยให้มีศีล 5 ประจำยู่ในจิตใจ หรือให้มีคุณความดี อยู่ใน จิตใจ เมตตา กรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยกว่าเรา

ข้อคิดเห็นของข้าพเจ้า ทั้ง 9 ข้อนี้ได้ประโยชน์ หรือ ไม่ได้ประโยชน์อย่างไร ก็ขอให้ท่าน ช่วยพิจารณา ดูเถอะครับ เพราะข้อความทั้งหมดนี้ เป็นความจริงทุกอย่าง เนื่องจากว่า ข้าพเจ้าต้องการที่จะยกระดับจิตใจ และ แนวความคิดให้สูงขึ้น จะได้ไม่ตกอับ ทั้งในชีวิตการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และไม่ใช่โลกของมนุษย์ อันเป็นโลกของวิญญาณ ก็ขอให้เป็นวิญาณที่สูง มิใช่วิญญาณที่หาที่เกิดไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงได้เร่งกระทำความดีไว้ และชักชวนให้ท่านได้กระทำความดีด้วย ครูประสิทธิ์ กล่าวในที่สุด

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับ ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว ซึ่งท่านเคยเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านห้วยลำโพง และโรงเรียนบ้านคำบก อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ถ้าหากปัจจุบันนี้ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะมีอายุได้ ๕๘ ปี เท่าที่ทราบข้อมูลล่าสุด น้องชายของท่าน คือ ครูประเสริฐ วังโคตรแก้ว อดีตครูใหญ่โรงเรียนบ้านคำบก ปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๒) ท่านเป็น นายก
อบต.คำบก อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


ที่มา - http: //sites.google.com/site/reincarnationthailand/phu-ca-xdit-chati-di-ra-yxun-ni-prathesthiy/prasiththi-wang-khotr-kaew