ตามรอยพระพุทธบาท

หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย จ.พิจิตร ระลึกชาติได้
webmaster - 2/12/08 at 09:20


สารบัญ...
หลวงปู่ทับ ผู้เกรียงไกร
ร่วมทางกับพระอาจารย์จันทร์
พิษไข้มาเลเรีย
ท่านสิ้นลมแล้ว
เพื่อนนำทางหลังความตาย
ฟื้นคืนชีพ


หลวงปู่จันทา ถาวโร
วัดป่าเขาน้อย อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร


หลวงปู่ท่านได้เล่าถึงเรืองนี้ให้ฟังว่า..
"........อาตมาบวชสมัยนั้น บวชบ้านนอก เป็นพระบ้านนอก อุปัชฌาย์ก็เป็นพระโบราณ ไม่ได้ถือเคร่งทางภาคปฏิบัติธรรม ท่านก็ไม่ค่อยจะสนใจอาตมา ฝ่ายอาตมาก็จำฉายาท่านไม่ได้ แม้แต่เวลาอาตมาไปขอเอาใบสุทธิ ท่านก็ไม่ยอมให้เพราะกลัวอาตมาจะหนีไปอยู่วัดอื่น ต่อมาอาตมาก็ต้องแอบหนีไปจริง ๆ จึงได้ไปธุดงค์”


หลวงปู่ทับ ผู้เกรียงไกร

ท่านพระอาจารย์จันทา จำพรรษาอยู่วัดบ้านแดง บ้านเกิด ๒ ปี ได้พยายามหัดเขียนเขียนอ่านหนังสืออย่างเต็มความสามารถ โดยมีพระเณรในวัดช่วยเป็นครูสอน แต่ก็เขียนอ่านไม่ได้เลย จำได้แต่คำสวดมนต์ไหว้พระเท่านั้น ปีต่อมา ได้ย้ายไปอยู่วัดบ้านขมิ้นใกล้ ๆ กัน ๑ พรรษา

ที่วัดบ้านขมิ้นนี้มีผู้เล่าให้ฟังว่า
หลวงปู่ทับ วัดป่าแพงศรี อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีฤทธิ์เดชเก่งกล้ามาก อยู่สายปฏิบัติกรรมฐานสำเร็จลุน แต่ตอนหลังยอมลดทิฐิมานะลงยอมรับนับถือเอาหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเป็นครูกรรมฐานสายโลกุตระ

สมควรที่พระอาจารย์จันทาจะได้ไปฝากตัวอยู่กับหลวงปู่ทับ เพื่อศึกษาเล่าเรียนเป็นพระธรรมกรรมฐาน จึงจะเจริญ อย่ามัวมาเป็นพระบ้านนอกไร้การศึกษาอยู่อย่างนี้เลย จะขาดทุนสูญโญหมด บวชแล้วก็ตายเปล่า ๆ ไม่ได้ประโยชน์ตน และไม่ได้ประโยชน์ทางเผยแผ่สืบทอดพระศาสนาเลย

พระอาจารย์จันทาได้ฟังแล้วก็เห็นจริงด้วยทุกประการ เห็นจะเป็นด้วยบุพวาสนาแต่หนหลังดลบันดาล ทำให้เกิดความร้อนใจใคร่จะได้เดินทางไปนมัสการหลวงปู่ทับเป็นที่สุด !

วันต่อมา เมื่อเตรียมเครื่องบริขารพร้อมแล้ว ก็รีบออกเดินทางจากวัดบ้านขมิ้นไปยังอำเกอกมลาไสย ข้ามทุ่งนาป่าดอนไปด้วยจิตใจอันปลื้มปีติยินดี ที่จะได้พบกับครูบาอาจารย์ผู้เป็นนักปราชญ์บัณฑิตคงแก่เรียนและทรงคุณวิเศษมีฤทธิ์เดช

เมื่อไปถึงวัดป่าแพงศรี ก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ทับด้วยความเคารพเลื่อมใสปลาบปลื้มใจจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก ดูคล้ายกับว่าหลวงปู่ทับจะรู้ล่วงหน้าแล้ว ท่านให้การต้อนรับแสดงความเมตตากรุณารับไว้เป็นลูกศิษย์ โดยไม่มีข้อแม้แต่ประการใดเลย

ตอนที่ท่านพระอาจารย์จันทาไปอยู่ด้วยนั้น ท่านหลวงปู่ทับอายุได้ ๗๐ เศษแล้ว อายุอ่อนกว่าท่านหลวงปู่มั่น ท่านพระอาจารย์จันทาเล่าว่า

“หลวงปู่ทับมีเมตตากรุณามาก ท่านสอนกรรมฐานให้อาตมาตามแนวของท่านหลวงปู่มั่นทุกอย่าง ท่านสอนอย่างละเอียดลออจริง ๆ สอนคนบ้านนอกพระบ้านนอกอย่างอาตมาให้เกิดใหม่เป็นคนใหม่ เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่อาตมาไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

<<< กลับสู่สารบัญ

ร่วมทางกับพระอาจารย์จันทร์

ฝึกกรรมฐานอยู่กับหลวงปู่ทับ ๑ ปี เมื่อออกพรรษาแล้วได้กราบลาท่านไปแสวงวิเวกผ่านทุ่งนาป่าดอน ขึ้นภูพานไปทางสกลนคร เดินเท้าเปล่าไปตามทางสัญจรของชาวบ้าน ยังไม่กล้าบุกเข้าป่าทึบดงเสือดงช้าง เพราะความรู้ทางจิตตภาวนายังอ่อนหัดไม่ประมาทในชีวิต แสวงวิเวกไปถึงบ้านม่วงไข่ผ้าขาว เขตอำเภอสว่างแดนดิน ได้พบปะทำความรู้จักกับพระอาจารย์จันทร์ ซึ่งจาริกธุดงค์มาจากจังหวัดยโสธร

หลังจากได้สัมโมทนียกถาและแลกเปลี่ยนทัศนะความคิดเห็นในการปฏิบัติธรรม.จนเป็นที่ชอบใจสบอัธยาศัยซึ่งกันและกันแล้ว ก็ตกลงใจร่วมกันเดินธุดงค์ขึ้นไปทางเพชรบูรณ์

พระอาจารย์จันทร์ เป็นชาวบ้านขั้นใดใหญ่ จังหวัดยโสธร บวชเรียนมาได้ ๑๑ พรรษา ส่วนท่านอาจารย์จันทา เพิ่งได้ ๔ พรรษา เมื่อเดินธุดงค์ไปด้วยกันหลายวันเข้าได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมก็ค่อยได้รู้จักนิสัยใจคอและภูมิจิตภูมิธรรมกันขึ้นเรื่อย ๆ เรียกว่าเริ่มได้เห็น “หน้าตาดั้งเดิม” ได้บ้างแล้ว

ท่านพระอาจารย์จันทาติดขัดการเจริญกรรมฐานข้อใด ก็ได้สอบถามเอาจากพระอาจารย์จันทร์ แต่ปรากฏว่าพระอาจารย์จันทร์อธิบายให้ฟังไม่ได้ แถมยังแสดงความไม่พอใจอีกด้วย ลักษณะของพระอาจารย์จันทร์ดูจะเป็นพระ “นักท่องเที่ยว” มากกว่าที่จะเป็นพระปฏิบัติกรรมฐาน

เมื่อไปถึงเพชรบูรณ์ ได้จำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดบ้านเฉลียงเป็นสถานที่สัปปายะวิเวกดีพอสมควร เหมาะสำหรับบำเพ็ญกรรมฐาน ท่านพระอาจารย์จันทาได้เร่งความเพียรในพรรษานั้นเดินจงกรมและนั่งสมาธิอย่างมีมานะ เอาจริง

แทนที่จะส่งเสริม การณ์กลับเป็นไปว่า พระอาจารย์จันทร์ชอบเบียดเบียนทางกายและทางวาจา ไม่เห็นด้วยกับการเจริญกรรมฐาน พูดตรง ๆ ก็คือกลั่นแกล้งนั่นแหละ เกรงว่าท่านพระอาจารย์จันทาจะได้ดีมีความรู้เกินหน้าตน !

แต่ท่านพระอาจารย์จันทาก็วางเฉย ใช้ขันติดวามอดกลั้น ไม่แสดงปฏิกิริยาขัดเคืองแต่ประการใด คงให้การเคารพนับถือพระอาจารย์จันทร์เสมอต้นเสมอปลายและให้อภัยในการเบียดเบียนที่ท่านจงใจเจตนากระทำต่อตน

<<< กลับสู่สารบัญ

พิษไข้มาเลเรีย

ที่วัดบ้านเฉลียงปีนั้น ตรงกับเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญ หลังจากฉันข้าวเข้าแล้ว เวลาประมาณ ๗ โมง อากาศหนาวเย็นไม่มากนัก พอสบาย ๆ ท่านพระอาจารย์จันทากำลังยืนห่มคลุมผ้าให้เรียบร้อยเป็นปริมณฑลเตรียมตัวจะไปฟังเทศนาธรรมซึ่งเป็นวันธรรมสวนะ

ทันใดนั้น โรคไข้มาลาเรียทีซุ่มซ่อนอยู่ในสังขารร่างกายก็กำเริบขึ้นกะทันหัน พิษไข้มาลาเรียแล่นขึ้นสู่สมองอย่างแรงกล้าทำให้ท่านพระอาจารย์จันทาปัสสาวะหลั่งไหลเรี่ยราดออกมาพร้อมกับล้มตึงลงทั้งยืนสิ้นสติสัมปชัญญะ !
“ครูบาเป็นอะไร?”

สามเณรน้อยรูปหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ร้องขึ้นด้วยความตื่นตระหนกตกใจ ท่านพระอาจารย์จันทาได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ให้ผู้เขียนฟังว่า

“อาตมาไม่รู้เรื่องเลย พิษไข้มาลาเรียมันกำเริบวูบขึ้นมาแล้วทำให้หมดสติไปเฉย ๆ ก่อนจะหมดสติล้มลงนั้น ไม่มีอาการหนาว ไม่มีอาการสั่นแต่อย่างใดทั้งสิ้น มันเป็นมาลาเรียประเภทร้ายแรงขึ้นสมอง ทำให้สมองหยุดทำงานทันทีทันใดเหมือนเราดับเครื่องยนต์ของรถยนต์ทำนองนั้นแหละ พอสมองหยุดทำงานอาตมาก็ล้มตึงเหมือนต้นไม้ถูกโค่นให้ล้มลง ไม่รู้สึกตัวเลยจริง ๆ ”

อุบาสิกานวลจันทร์ ภราดรเสรี เป็นพยาบาลระดับปริญญา ที่นั่งบันทึกเทปอยู่นั้นได้นมัสการเรียนให้ท่านพระอาจารย์จันทาทราบว่า

“ตามหลักวิชาการแพทย์ คนเป็นไข้มาลาเรียขึ้นสมอง ถ้าหากไปอาบน้ำจะเกิดอาการกำเริบขึ้นฉับพลันทันที ล้มลงหมดสติไปเลยเจ้าค่ะ”

<<< กลับสู่สารบัญ

ท่านสิ้นลมแล้ว

ท่านพระอาจารย์จันทาเล่าต่อไป
“เมื่ออาตมาล้มลงไปแล้วเณรได้วิ่งไปตะโกนบอกพระ บอกญาติโยมที่ศาลาว่า ครูบาจันทาล้มหมดสติ ไม่รู้เป็นอะไร ทั้งพระทั้งญาติโยมก็พากันวิ่งมามุงดู ตกอกตกใจไปตามกัน โยมคนหนึ่งวิ่งไปตามหมอมาดูอาการ หมอยาคนนี้เป็นตำรวจเก่าอยู่ในหมู่บ้านนั้นเอง รักษาโรคฉีดยาได้พอสมควร จะเป็นหมอเถื่อนหรือเปล่าไม่รู้

พระเณรและญาติโยมเล่าให้อาตมาฟังทีหลังว่า หมอตำรวจเก่าตรวจดูอาการ เอาหูฟังเสียงหัวใจเต้นแล้วบอกว่า ครูบาจันทาถูกมาลาเรียขึ้นสมอง เล่นงานเอาเสียแล้ว หัวใจเต้นอ่อนแทบไม่ได้ยิน ยังอีกประมาณ ๕ นาที ก็จะหมดลมถึงแก่มรณภาพอย่างแน่นอน

โยมอาวุโสคนหนึ่งบอกหมอว่า ไหน ๆ ก็จะหมดลมถึงแก่มรณภาพอยู่แล้ว จัดการฉีดยาเลย ลองเสี่ยงดู บางทีอาจจะไม่ตายก็ได้พระเณรก็สนับสนุนให้ฉีดยา หมอก็ลงมือฉีดยาให้อาตมา

พอฉีดยาปั๊บ..อาตมาก็หมดลมเลย หมอเอาเครื่องฟังตรวจดูก็บอกว่าหัวใจหยุดเต้นแล้ว พอหมดลม หัวใจหยุดเต้นแล้ว แต่ดวงใจหรือจิตของอาตมายังอยู่ในร่างกาย จิตยังไม่ได้ออกไปจากร่าง จิตมันยังห่วงอาลัยจะกลับคืนร่างอีก


เพื่อนนำทางหลังความตาย

ทีนี้ไม่นานมีเพื่อนคนหนึ่งมาจากไหนไม่รู้ มายืนอยู่ใต้กุฏิกุฏินี้ไม่สูงไม่ต่ำ เป็นกุฏิ ๒ ห้องเพื่อนที่มายืนอยู่ข้างล่างนี้ รูปร่างเขาสวยงามมาก เพื่อนรูปร่างสวยงามคนนี้ได้ร้องบอกอาตมาว่า เพื่อน ๆ ออกจากเรือนไฟไหม้ มันจะไหม้ทับหัวอยู่แล้ว รีบ ๆ ออกมา !

พอได้ยินเช่นนี้ ดวงใจหรือกายทิพย์ก็ออกจากร่างอาตมาปั๊บเลย กายทิพย์ของอาตมาออกไปยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อนรูปร่างสวยงามคนนั้นแหละ เพื่อนคนนั้นบอกว่า ร่างกายนี่แหละคือเรือนที่เราอาศัยอยู่มาตั้งแต่วันแรกเกิดจนถึงวันนี้ ตอนนี้มันถูกไฟไหม้แล้ว หมดที่พึ่งพิงอาศัยต่อไปไม่ได้แล้ว เรือนกายนี้ถูกไฟพยาธิเผาไหม้เอา

ตอนนี้เอง กายทิพย์ของอาตมาก็ได้เห็นว่า พวกญาติโยมชาวบ้านช่วยกันจัดการกับซากศพของอาตมาที่นอนตายอยู่นั้นพวกเขาได้เอาสบงจีวรออกแล้วอาบน้ำให้ศพ เอาน้ำหอมน้ำขมิ้นมาชโลมลูบไล้ และทำอะไรต่ออะไรตามวิธีทำศพนั่นแหละ กายทิพย์ของอาตมาก็ยืนมองดูอยู่อย่างนั้นแหละ ความรู้สึกตอนนั้นเฉย ๆ

พวกชาวบ้านหามศพอาตมาออกจากกฏิ เอาไปนอนที่บนศาลาเอามุ้งมากางให้หนึ่งหลังป้องกันแมวไม่ให้เข้าไปรบกวนศพ กายทิพย์ของอาตมาได้ถามเพื่อนรูปร่างสวยงามนั้นว่า เราจะไปไหนอีกล่ะ?

เพื่อนผู้นั้นก็บอกว่า เราพากันไปเที่ยวชมภูมิประเทศตามยถากรรมกันดีกว่า อาตมาก็ตกลงไป รู้สึกว่าไปสบาย เดินสบายกายไม่หนัก กายเบาว่องไว ไม่เหนื่อย ไม่หิวโหย ไม่ร้อนไม่หนาว

ไปถึงระหว่าง ๒ หมู่บ้านทางโน้นเป็นภูเขาด้านหนึ่ง ทางนี้เป็นดงเป็นป่าบ้านหนึ่ง แต่มีสนามเล่นอยู่ตรงกลางกว้างมาก เพื่อนบอกอาตมาว่า เราหยุดเล่นกับเขาที่สนามนี้เสียก่อนเถอะ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปที่อื่นเลย

อาตมาก็เล่นกับพวกเขา ซึ่งก็คือพวกผีนั่นแหละ เล่นสนุกกันไปจนถึงตี ๓ ตี ๔ ของเมืองผี กลางวันของเราเป็นกลางคืนของเขากลับเรือนเก่า พวกเขาบอกว่าเล่นมาจนจะค่ำแล้วเลิกเถอะ เขาก็เลิกกันกลับไปหมด อาตมาก็ถามเพื่อนว่า ทีนี้เราจะไปไหนกันอีกดีล่ะ?

เพื่อนก็บอกว่า ไม่รู้ซี เรามาใหม่ไม่รู้ทางไป ถ้าไปข้างหน้าก็ปีนป่ายเป็นดง ไปข้างหลังก็เป็นภูเขาใหญ่ เรากลับคืนสู่เรือนหลังเก่าเดี๋ยวนี้ดีกว่า เพราะเรือนหลังเก่ามีบุญก้อนหนึ่งรักษาไว้ ไม่ให้เรือนเน่าเปื่อย เหมือนเกลือเค็มหมักเนื้อสดไว้ไม่ให้เน่านั่นแหละ

แต่เราหนีมาเที่ยวไกลมากนะ ถ้าเดินกลับไปจะไม่ทัน เพราะชาวบ้านเขาจะเอาไฟเผาเรือนของเราหรือฝังเสียก่อน เอ้า ! เรารีบวิ่งกลับไปกันเร็วเข้า อาตมาก็วิ่งตามเพื่อนกลับไปรู้สึกยิ่งไม่หนักเลย ตัวเบาหวิวเหมือนปุยนุ่นถูกลมพัดปลิวไปเร็วที่สุด แล้วข้ามดงข้ามภูเขาเลากามาแบบลมพัด

พอมาถึงซากศพที่นอนอยู่ในมุ้งบนศาลาวัด เพื่อนก็บอกอาตมาว่า เข้าไปนั่งใกล้ ๆ เรือนกายซิ ตั้งสติให้นึกถึง "พุทโธ ธัมโม สังโฆ" ตลอดจนคุณของบิดามารดา อุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ ขอให้ช่วยให้เข้าเรือนกายได้สำเร็จ ให้นึกถึงบุญเก่าด้วย บุญเก่าที่เคยสร้างสืบมาแต่ปางก่อนด้วยนะ

นึกถึงบุญเก่าให้ดี ๆ บุญเก่าที่เราเคยสร้างไว้ในครั้งสมัยศาสนาพระพุทธเจ้าสิขี นั่นเป็นบุญกุศลก้อนแรก หรือปฐมครั้งแรกของเราได้สร้างบารมีเป็นสัตว์โลก ได้ถือบวชเนกขัมมะบารมีตลอดจนวันตาย ชาวบ้านช่วยกันห่อศพของเราด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ เข้ากองไฟเผาไหม้ไป

เราสร้างสมบารมีไว้เต็มเปี่ยมในชาติโน้น มารวมกันเข้ากับชาตินี้ที่ได้บวชเป็นพระอีกได้ ๕ พรรษานี้แล จะช่วยให้เราเข้าสู่เรือนร่างเดิมได้ อาตมาก็ตั้งสติระลึกตามที่เพื่อนผู้นั้นบอก พอตั้งสติได้ก็เข้าร่างไปปั๊บเลยทีเดียว เรียกว่ากายทิพย์กลับเข้าสู่ร่างเดิมที่ปฎิสนธิ

ตอนที่ "กายทิพย์" ของอาตมาเข้าร่างเดิมแล้ว ก็ได้หันมาทางข้างหลังดูเพื่อนผู้นั้น ปรากฏว่าเพื่อนได้หายวับไป ความรู้สึกบอกว่า เพื่อนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน หากคือบุญก้อนเก่าและบุญก้อนใหม่ของอาตมานั่นเอง

บุญก้อนที่ว่านี้ได้เนรมิตเป็นรูปเพื่อนขึ้นมา จะเรียกว่าเป็นภูตเทียมอีกกายหนึ่งของอาตมาก็ได้เพราะจิตเป็นธาตุรู้อันมหัศจรรย์มันย่อมจะทำอะไร ๆ ได้แปลกประหลาดมหัศจรรย์ได้เสมอ

เพื่อนผู้นั้นหรือภูตเทียมได้หายวับเข้ามาอยู่ในเรือนกายหยาบของอาตมานี้เอง โดยที่เพื่อนได้แปรเปลี่ยนเป็นเตโชไฟธาตุสำหรับเผาเรือนกายให้เกิดความอบอุ่นขึ้น บุญกุศลทั้งเก่าและใหม่ได้ช่วยกันโยงใยไม่ให้ร่างเปื่อยเน่า

บุญกุศลที่เราสร้างไว้จึงสำคัญยิ่งนัก เมื่ออาตมาล้มตายไปบุญก็ได้เนรมิตภูตเทียมขึ้นร่างหนึ่งให้เป็นเพื่อน พาเที่ยวไปให้ความรู้ และบุญอีกส่วนก็ทำหน้าที่รักษาร่างกายที่หมดลมแล้วให้สดชื่นไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย”

<<< กลับสู่สารบัญ

ฟื้นคืนชีพ

“เมื่อภูตเทียมเข้าร่างกายกลายเป็นเตโชธาตุเผากายให้อบอุ่นแล้ว อาตมาก็เริ่มรู้สึกทางกายหยาบว่า ตรงปลายเท้าทั้งสองข้าง เกิดอาการคันยุบยิบซู่ซ่าคล้ายตะคริวหรือเหน็บชากำลังจะคลายออกอย่างนั้นแหละ อาการนี้แผ่ไปทั่วร่างกาย เริ่มเคลื่อนไหวร่างที่เป็นซากศพได้

ลืมตาขึ้นพบว่า เป็นเวลารุ่งอรุณของวันใหม่ ท้องฟ้ากำลังรุ่งสางสว่างแจ้ง เสียงนกแซงแซวมันร้องว่า สายแล้ว..แจ้งแล้วสว่างแล้ว ตื่นเถอะ..ตื่นเถอะ..สว่างแล้ว !

อาตมารู้สึกประหลาดใจที่นกแซงแซวร้องเป็นภาษาคนได้มารู้ตอนหลังว่า ฟังภาษานกออกเพราะเกิดญาณรู้ขึ้นเองในตอนนั้น”

อาตมาหัวใจหยุดเต้น สิ้นลมหายใจตายไปเมื่อวานนี้ เวลาเช้า ตอน ๗ โมงเศษ ได้ตายมา ๑ วัน ๑ คืนหย่อน ๆ

ขณะที่อาตมานอนฟังเสียงนกแซงแซวร้องนี้ก็เป็นเวลาเดียวกับพวกโยมชาวบ้านหลายคน ที่อยู่เฝ้าศพคบงันเล่นหมากรุกหมากเสือกินหมูกันมาทั้งคืน ได้ปรึกษากันเอ็ดอึงว่า สว่างแล้วจะเผาศพหรือจะฝังลงหลุมดี

ญาติโยมชาวบ้านส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่า ต้องรอให้พระอาจารย์จันทร์กลับมาจากธุระเสียก่อน เมื่อพระอาจารย์จันทร์สั่งให้เผาก็เผา สั่งให้ฝังก็ต้องฝัง เพราะอาจารย์จันทร์กับอาจารย์จันทาธุดงค์มาด้วยกัน อาจารย์จันทร์เป็นชาวยโสธรส่วนอาจารย์จันทาเป็นชาวร้อยเอ็ดไม่รู้อยู่บ้านไหน ญาติพี่น้องเป็นใครก็ไม่รู้

อาตมา ฟื้นแล้วนอนฟังญาติโยมปรึกษากันเรื่องจัดการศพของอาตมา ก็ให้นึกขำเกือบหัวเราะ แล้วก็นึกคิดต่อไปว่า อัศจรรย์จริงหนอ เราหมดลมตายไปตั้งแต่เมื่อเช้าวานนี้ จิตวิญญาณออกจากร่างไปเที่ยวกับเพื่อน ซึ่งเป็นภูตเทียมหรือกายทิพย์อีกร่างหนึ่ง ไปเที่ยวทั้งวันทั้งคืนเพิ่งจะกลับมาเข้าร่างแล้วก็ฟื้นขึ้น

การที่เราสามารถกลับมาเข้าร่างเดิมได้ ก็เป็นด้วยอำนาจลึกลับมหัศจรรย์ของบุญกุศลที่สร้างไว้แท้ ๆ นอกจากบุญกุศลแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดจะพาจิตวิญญาณของเรากลับคืนเข้าสู่ร่างได้อีกเลย ! บุญจึงมีความสำคัญยิ่งใหญ่มหาศาลด้วยประการฉะนี้ !

ต่อไปนี้เราจะทำแต่บุญกุศลจะไม่ทำบาปด้วยประการทั้งปวงอย่างเด็ดขาด เพราะได้เห็นอานิสงส์ของบุญกุศลมากมายถึงปานนี้ อาตมาได้ตั้งจิตปฏิญาณในใจว่า

ข้อ ๑ ต่อแต่นี้ไปเราจะถวายชีวิตพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาตลอดวันสิ้นลมปราณ

ข้อ ๒ ขึ้นชื่อว่าความชั่วใด ๆ เราจะละเว้นให้หมดสิ้น

ข้อ ๓ ความดีใด ๆ อันที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้คนอื่นและตนเอง ได้รับแต่ผลดีงามถูกต้องในศีลธรรม เราจะแนะนำพร่ำสอนเขาละเราเองให้กระทำ

ข้อ ๔ เราจะทำแต่บุญกุศลเท่านั้นในชีวิตนั้นไม่ทำสิ่งอื่นอย่างเด็ดขาด เพราะเราได้เห็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของบุญกุศลแล้วจนหมดสิ้นความสงสัยใด ๆ

ข้อ ๕ ชาวโลกเขาว่าโลกเจริญพัฒนาสูงสุดอย่างไร และโลกเสื่อมทรามลงอย่างไร เราจะไม่ตื่นเต้นในธรรมคู่คือเจริญและเสื่อม จะวางเฉยด้วยตปธรรม


เราจะปีติปราโมทย์สาราญเบิกบานใจ ในการสร้างสมบุญกุศลในศีลวินัยนี้เท่านั้น เมื่อสร้างสมได้เต็มเปี่ยมแล้วเราก็จะปล่อยวางบุญกุศล ดำเนินภาวนาเข้าสู่พรมแดนโลกุตรธรรม

เมื่ออาตมาอธิษฐานปฏิญาณเสร็จแล้ว จึงลุกขึ้นนั่งอย่างโงกเงกตามแบบคนเพิ่งฟื้นไข้บ่มีแรงนั่นแหละ อาการลุกขึ้นนั่งของอาตมาทำให้มุ้งไหวยวบ เท่านั้นเองใครคนหนึ่งก็ร้องขึ้นว่า.. "ผีครูบา !.."

ญาติโยมที่คุยกันเอ็ดอึงอยู่นั้นคงจะเหลียวมาดูพร้อมกัน ตอนนี้แหละเสียงตึงตังบนศาลาแย่งกันวิ่งหนีกระโจนโครมครามลงจากศาลา หลายคนร้องไม่เป็นภาษาด้วยความตกใจกลัว วิ่งกันสนั่นหวั่นไหวไปทั่วลานวัด

"ผีครูบาจันทาเฮี้ยนโว้ย ลุกขึ้นเป็นผีดิบ !.."

พวกญาติโยมที่วิ่งตาแหกแตกตื่นหนีเข้าหมู่บ้านไปก็มี ที่วิ่งขึ้นกุฏิปิดประตูเงียบก็มี ที่วิ่งไปตั้งหลักอยู่ตรงประตูวัดก็มี นานเกือบครึ่งชั่วโมงนั่นแหละถึงได้มีโยมใจกล้าคนหนึ่งเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้ามาใกล้ศาลาแล้วร้องเรียกอาตมาว่า ครูบา ๆ เป็นคนหรือเป็นผี.

"อาตมาก็ออกจากมุ้งยืนขึ้นบอกไปว่า เป็นคนน่ะซี่ !.."

โยมร้องถามเสียงสั่น ๆ อีกว่า ครูบาสบายดีแล้วหรือ? อาตมาก็ตอบว่า เออ ! สบายดีแล้ว ฟื้นขึ้นมาแล้ว บ่แม่นผีดิบผีสุกอีหยังดอก !

โยมยกมือไหว้ปลก ๆ ร้องว่า แหม ! ผมใจหายหมดเกือบตาย กลัวผีครูบามากเกือบจะวิ่งหนีเข้าบ้านแล้วซี ไปอย่างไรมาอย่างไรกันเนี่ย? ตายไปวันหนึ่งคืนหนึ่งตัวเย็นเหมือนน้ำแข็งแบบนี้ไม่เคยเห็นมีใครฟื้นคืนชีพได้เลย ครูบาเป็นผีไปแล้วกลับมาได้อย่างไรกัน?

"บุญกุศลน่ะซี..พากลับมาส่งจากเมืองผี"

เมื่อท่านพระอาจารย์จันทาบอกอย่างนั้น โยมแกก็ยกมือขึ้นเหนือเกล้าโมทนาสาธุด้วยความปีติยินดี ตอนนี้เองญาติโยมที่พากันแตกตื่นวิ่งหนีแทบเหยียบกันตายเริ่มทยอยกลับมา ต่างก็หัวร่อขบขันซึ่งกันและกันที่ตาแหกแตกตื่นกลัวผีท่านครูบา

เมื่อท่านพระอาจารย์จันทาตายไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาในปีนั้น เป็นที่โจษขานเล่าลือกันมากในเพชรบูรณ์..

****************************

<<< กลับสู่สารบัญ