ตามรอยพระพุทธบาท

"ตายแล้วฟื้น" เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ (เรื่องที่ 11) คุณสนิท ธนรักษ์
webmaster - 10/5/08 at 10:56

เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันนี้ เรื่องที่ 11

บันทึกโดย..คุณสนิท ธนรักษ์

เรื่องบันทึก "ตายแล้วฟื้น" นี้มีเรื่องที่เล่าไว้ยาวมาก จึงขออนุญาตนำเรื่องมาเล่าแต่พอสังเขป ดังนี้ ผู้จัดทำขอพักก่อน ประเดี๋ยวจะกลับเข้าทำต่อนะ ลองอ่านเรื่องข้างล่างไปพลางๆ ก่อน นะ... :D



เรื่องนี้คัดลอกมาจากหนังสือ
วิญญาณปรากฏตัวและระลึกชาติ ตอน ๓
ของ พลโทสมาน วีระไวทยะ


นักเสาะแสวงและนำมาเขียนเรื่อง "ตายแล้วฟื้น" ท่านผู้นี้คือ "คุณสนิท ธนรักษ์" ตัวท่านเองเขียนถึงผู้อื่นที่ตายแล้วฟื้นมาหลายคนแล้ว โดยไม่ได้คิดฝันมาก่อนเลย ว่าตัวท่านเองจะเป็น "คนตายแล้วฟื้น" ด้วยอีกชีวิตหนึ่ง

ผมเองยินดีมากที่ได้อ่านเชิงศึกษาเรื่องของ "ท่านสนิท ธนรักษ์" ท่านผู้นี้ท่านชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นนักสังคมสงเคราะห์ สร้างบุญกุศลไว้มาก ฉะนั้นเมื่อท่านตายไป (ชั่วคราว) กายทิพย์ (หรือวิญญาณ) ออกจากร่างของท่าน และ "กายทิพย์" ของท่านจึงมีโอกาสล่องลอยไปสู่สวรรค์ ได้เห็นลักษณะของสวรรค์ หรือถิ่นที่เทพเขาอยู่กัน ผมผู้อ่านเชิงศึกษา และเก็บความสำคัญย่อไว้ เพื่อนำไปสู่การอ่านและศึกษาของคนที่รักการศึกษาด้วยกัน คงลำดับ และความไม่สับสน ของเรื่องดังต่อไปนี้

เมื่อปี ๒๕๒๙ เช้าวันหนึ่ง ท่านผู้รักการกุศลและสังคมสงเคราะห์ท่านนี้ เดินเข้าห้องน้ำเพื่อแปรงฟันก่อนรับประทานอาหารเช้า เดินไปถึงหน้าห้องน้ำ เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ท่านเกิดหงายหลัง ล้มศีรษะฟาดฟื้นกระดานอย่างแรง ขณะนั้นไม่มีใครเห็น ท่านหมดความรู้สึกไป

ขณะหมดความรู้สึกไปนั้น ตัวท่านเองไม่ทราบดอกว่า จะเป็นการตายหรือการสลบไป แต่ท่านรู้สึกว่า ร่างอีกร่างหนึ่งของท่าน (ร่างทิพย์) ลอยสูงขึ้นไปในอากาศ ท่านยังมองเห็นร่างเก่า หรือร่างที่ประสบอุบัติเหตุล้มลง ก็ยังนอนอยู่ที่พื้นกระดานที่ล้ม ร่างทิพย์ของท่านซึ่งมีความรู้สึกนึกคิดติดตัวไปเหมือนเดิม แต่ไม่เจ็บไม่ปวด ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เหลือบแลลงข้างล่าง ก็ยังมองเห็นร่างเก่าของตัวเองนอนอยู่ที่เดิม

ร่างทิพย์ที่ลอยไป ก็ประสบกับกลุ่มเมฆสีขาวมากมายผ่านมา ร่างทิพย์ของท่านสนิท (เป็นทิพย์เบา ไม่หนัก) จึงเกาะก้อนเมฆขาว ที่ดูคล้ายแข็งตัว เพราะกายทิพย์ของท่านสนิทไม่มีน้ำหนัก และก้อนเมฆแถวนั้น ก็คงไม่เหมือน ก้อนเมฆฝน ของเมืองมนุษย์

ร่างทิพย์ของท่านสนิท จึงขึ้นไปนั่งบนเมฆนั้น เมฆนั้นก็ลอยเรื่อยไป และลอยสูงขึ้นด้วยครู่หนึ่งก็ถึงแดนสวรรค์ ที่ว่าถึง แดนสวรรค์ก็เพราะร่างทิพย์ของท่านสนิท ได้เห็นวิมานของเทพยดาเป็นบุษบก ยอดแหลมสวยงามมาก ประดังด้วย เพชรพลอยสีต่าง ๆ งดงามแพรวพราวตาดีมาก (สีมรกต สีทอง สีเงิน สีชมพู ได้เห็นทั้งนั้น)

องค์วิมานนั้นมีมากมายหลายองค์ เมื่อท่านสนิทอ่ยากดูองค์วิมานมากขึ้น ท่านก็ไต่ก้อนเมฆขึ้นไป ๆ ก็เห็นวิมานอีกเรื่อย ๆ ไป มีเทพยดาแต่งกายงดงาม ร่างกายขนาดคนเรานี่ แต่สวย นั่งอยู่ตามวิมาน บางวิมานยังว่าง ไม่เห็นมีเทพยดานั่งอยู่ แต่ปราสาทนั้นมีรัศมีงดงาม ไม่ใช่ปราสาทชำรุดทรุดโทรม ท่านสนิทยังไปไม่ทันถึงปราสาทองค์ที่ว่างดี หมายจะดูให้ถนัด จวนจะถึงอยู่แล้ว ก็พอดีได้ยินเสียงเรียก "ตา ๆ ๆ"

มือของร่างทิพย์ของท่านสนิท ก็ดูเหมือนอ่อนลง หลุดจาก้อนเมฆแล้วตกลงมาข้างล่าง แต่ร่างทิพย์ของท่านไม่กระทบอะไร ไม่มีอะไรให้น่าตกใจ กระทั่งรู้สึกตัวที่ร่างเดิมของท่าน รู้สึกตัวที่ร่างเดิมว่า มีคนประคองและปั๊มหัวใจ และมีคนช่วยกันหาม ไปที่เตียงนอน คนที่ช่วยเหลือกับร่างเดิมก็คือ เด็กสองคน ที่มีอยู่ในบ้านเดิมกัน

คงจะมาพบร่างกาย เดิมของท่านสนิท ขณะที่ร่างทิพย์ของท่านสนิทลอยขึ้นไป สำรวจตรวจชมเทพปราสาทอยู่ทีเดียว จึงพยายามเข้าช่วยเหลือร่างเดิมของท่านสนิท แล้วร้องเรียก ตา ๆ ๆ ร่างทิพย์ของท่านจึงลอยกลับลงมาสวมเข้ากับร่างเดิม เป็นอย่างเดิม

ถ้าเด็กมาช่วย (ร่างเดิม) ช้าไป และร่างทิพย์ของท่านสนิท ขึ้นไปถึงปราสาทว่าง องค์ที่พบเห็นทีหลัง และร่างทิพย์ของท่านสนิทเกิดพอใจนิยมชมชื่น นั่งพักอยู่เสียที่ปราสาทว่างนั้นล่ะก้อ ร่างเดิมของท่านสนิทอาจไม่ฟื้นก็ได้ และร่างทิพย์ของท่านสนิทก็จะกลายเป็นองค์เทพอีกองค์หนึ่ง ประทับถาวรอยู่ ณ ปราสาทองค์ที่พบทีหลัง ไม่กลับไปรับรู้ กับร่างเก่านิวาสถานเรือนเดิม ท่านก็จะกลายเป็นตายแล้วไม่ฟื้นไปก็ได้

เคยได้ยินมาหลายครั้งแล้วว่า ท่านที่ทำคุณงามความดีไว้มาก ๆ (ร่วมตัว) ประกอบการกุศลไว้ทุกช่วงของชีวิตละก้อ จะเกิดองค์ปราสาทอันสวยงามรอท่านผู้นั้นอยู่บนสวรรค์ พอพ้นจากร่างมนุษย์ก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ เข้าพำนัก ณ ปราสาทนั้นทันที

ปราสาทงามว่างยังไม่มีเทพประทับอยู่ ที่กายทิพย์ของท่านสนิทขึ้นไปพบเห็น และกำลังพยายาม จะให้ได้ขึ้นไปดู ให้ถนัดชัดเจนอยู่นั้น อาจเป็นปราสาทที่เกิดจากบุญกุศลของท่านสนิทที่ได้ประกอบไว้ ทุกช่วงชีวิตของท่าน เพื่อรอรับท่านเมื่อ "ตายไม่ฟื้น" ก็ได้

แต่ความชัดเจนยังไม่ทันเกิดขึ้น ก็มีการช่วยเหลือร่างมนุษย์ของท่าน และมีเสียงเรียก "ตา ๆ ๆ" จากผู้ช่วยเหลือในเมืองมนุษย์ ร่างมนุษย์ในโลกยังไม่สมควรที่จะละไป ควรที่จะอยู่ช่วยสังคมมนุษย์ต่อไปก่อน "กายทิพย์" ของท่าน จึงจำต้องละเมืองสวรรค์ กลับไปเข้า (สวม) ร่างมนุษย์อยู่ตามเดิม การ "ตายแล้วฟื้น" ของท่านจึงมีขึ้นเป็นความจริง
ลักษณาการของเทพ มีคำบรรยายไว้ในเรื่องของท่านว่า

๑. เทพในวิมานนั้น รูปร่างขนาดคน ณ โลกมนุษย์เรา
๒. สวมมงกุฎ มองไม่เห็นชัดว่าเป็นชายหรือหญิง
๓. นั่งห้อยเท้าบนที่นั่งในวิมาน


มีบันทึกต่อไปอีกนิดหน่อย แต่สำคัญพอสมควร เพราะทำให้ผู้อ่านรู้ว่า ในบ้านของท่านสนิทนั้นมีโอปปาติกะอยู่ด้วย
"บางคนมาค้างที่บ้านท่านสนิท จะคุยกับเด็กสนุกสนาน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีเด็กคนนั้นอยู่ในบ้าน (โอปปาติกะเด็กนักคุย) ผู้มาค้างบางคนหลับอยู่ดี ๆ ก็มีใครไม่รู้นำผ้าห่มมาห่มให้อบอุ่น ถามคนทั้งบ้านก็ไม่มีใครไปห่มผ้าให้คนนั้น (โอปปาติกะเอื้ออารีห่มให้)"

(((( โปรดคอยติดตาม ผู้ที่ตายแล้วฟื้นอีกนับเป็น เรื่องที่ 12 ))))