ตามรอยพระพุทธบาท

การ์ตูน..พุทธประวัติ (เวอร์ชั่นใหม่)
webmaster - 14/4/08 at 22:51

การ์ตูน..พุทธประวัติ (เวอร์ชั่นใหม่)



(คลิกชม "คลิปวีดีโอ" ด้วยโปรแกรม Flash Player รวม 40 ตอน)


ความเป็นมาการ์ตูน "พุทธประวัติ" (The Life of Buddha )


...คิดว่าคงมีหลายคนที่เคยได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนไทยเรื่องยิ่งใหญ่ เรื่อง ประวัติพระพุทธเจ้า หรือ The Life of Buddha ที่มีท่าน ว.วชิรเมธี เป็นประธานในการจัดสร้างมาบ้างแล้ว โดยจะเป็นงานสร้างแบบ 2 D โดยทีมงานคนไทยที่เคยทำงานให้กับ Walt Disney มาแล้ว

...การ์ตูนเรื่องนี้จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชวโรกาสที่จะทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในปีนี้ โดยจะนำออกเผยแพร่แก่สาธารณชนทั่วไป

โดยเฉพาะแจกจ่ายตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งงบจัดทำนั้นสูงถึงกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้สร้างไปแล้วมากกว่า 50% หมดเงินไปแล้วกว่า 70 ล้านบาท

กลุ่มธรรมะการ์ตูน ๘๐ พรรษามหาราช ซึ่งมีท่านว.วชิรเมธีเป็นประธานกรรมการ ได้สนับสนุนโครงการภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง “ประวัติพระพุทธเจ้า” (The Life of Buddha)

และมีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการ เป็นภาพยนตร์การ์ตูน 2 มิติ ที่สร้างจากฝีมือคนไทยทั้งเรื่อง โดยกลุ่มคนที่เคยสร้างผลงานร่วมกับ WALT DISNEY

ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระราชวโรกาสที่จะทรงมีพระชนมายุครบ ๘๐ พรรษา ในปี ๒๕๕๐

ซึ่งภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ เมื่อนำออกเผยแพร่สู่สาธารณชนแล้ว จะเกิดประโยชน์ต่อบุคคล สังคม และประเทศชาติหลายประการ


...เนื้อหาของเรื่องจะแบ่งออกเป็น ๔ ตอน ได้แก่ ส่วนแรกทรงถือปฏิสนธิ ส่วนที่สองประสูติ ส่วนที่สามตรัสรู้ ส่วนสุดท้ายทรงสั่งสอนธรรมะและปรินิพพาน รวมเวลาทั้งสิ้น ๙๐-๑๐๐ นาที ใช้งบประมาณทั้งหมด ๑๐๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยแปดล้านบาท)


แต่จุดมุ่งหมายของผู้จัดทำได้มีความตั้งใจให้เป็นภาพยนตร์ที่ทรงคุณค่าของคนไทยทุกคนจึงตัดสินใจไม่ขายให้ต่างชาติ แม้จะติดภาระหนี้สินจากการผลิตอยู่มาก แต่ขอมุ่งมั่นดำเนินการให้สำเร็จโดยเร็ว

เพื่อให้ทันกำหนดการฉายวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ นี้ รายได้ส่วนหนึ่งจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล

ที่มา - popcornmag.com

การ์ตูน..พุทธประวัติ (เวอร์ชั่น Animation ของคนไทย)

ตอนที่ ๑


ตอนที่ ๒


ตอนที่ ๓


ตอนที่ ๔


ตอนที่ ๕


ตอนที่ ๖



พุทธประวัติ

• อัญเชิญจุติ

เมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ณ ดินแดนทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย เป็นที่ตั้งของแคว้นสักกะ เมืองหลว งของแคว้นนี้มีชื่อว่า กรุงกบิลพัสดุ์ ซึ่งปกครองโดยพระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์ศากยะพระนามว่า “พระเจ้าสุทโธทนะ”

พระองค์ทรงมีพระมเหสีพระนามว่าพระนางสิริมหามายา ครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบารมีทั้ง ๓๐ ประการ บริบูรณ์ ในชาติที่เป็นพระเวสสันดร ครั้งสิ้นพระชนม์แล้วก็ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรมีชื่อว่า สันดุสิตเทวราช สถิตอยู่ใน สวรรค์ ชั้นดุสิต (ดุสิตเทวโลก)

เมื่อถึงกำหนดที่จะต้องจุติ ท้าวมหาพรหมและเทพยดาทั้งหลายจึงอาราธนาอัญเชิญ จุติบนโลกมนุษย์ เพื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมโพธิสัตว์หรือในขณะนั้นทรงเป็นสันดุสิตเทวราช จึงได้ ทรงพิจารณาเลือกมาปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา

• ทรงพระสุบิน

ในคืนวันที่สันดุสิตเทวราชปฏิสนธิ พระนางสิริมหามายาทรงพระสุบิน เห็นดวงดาวหกเหลี่ยมที่มีแสงสุกสกาว และพญาช้างเผือก ๖ งา ลงจากสุวรรณคีรี (ภูเขาทอง) แล้วขึ้นมายังหิรัญคีรี (ภูเขาเงิน) ที่พระนางประทับอยู่ ชูงวงซึ่งถือดอกบัวขาวเข้ามาภายในกนกวิมานที่ประทักษิณ (เวียนโดยรอบ) พระนาง ๓ รอบ เสมือนหนึ่งเข้าไปสู่ พระครรภ์ของพระนาง

• ประสูติ

เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงมีพระครรภ์ล่วงเข้าเดือนที่ ๑๐ ใกล้จะถึงเวลาประสูติ มีพระทัยปรารภจะเสด็จ กรุงเทวทหะเพื่อไปประสูติพระครรภ์ที่พระราชวังของพระราชบิดาตามธรรมเนียม จึงกราบทูลขอพระบรมราชานุญาต จากพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อพระนางได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว พระนางจึงทรงออกเดินทางในตอนเช้า วันวิสาขปุณณมี (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ คือ วันวิสาขบูชา)

พอถึงเวลาใกล้เที่ยงวันก็เสด็จถึงสวนลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ ระหว่างพระนครทั้งสอง พระนางปรารถนาจะเสด็จประพาสชมสวน ครั้นพอพระนางเสด็จยังต้นสาละ ทรงจับกิ่งสาละ พอพระหัตถ์ถึงกิ่งสาละก็บังเกิดลมกัมมชวาตประชวรพระครรภ์ ข้าราชบริพารทั้งหลายก็ช่วยกันผูกม่านแวดวงภายใต้ ต้นสาละ

พระนางทรงประทับยืนหันพระปฤษฎางค์ (หลัง) อิงกับต้นสาละ พระหัตถ์ขวาเหนี่ยวกิ่งสาละผันพระพักตร์ไปทาง ทิศบูรพา ประสูติพระราชโอรส โดยปราศจากความเจ็บปวดใดๆ พระราชกุมารภายหลังประสูติได้พระราชดำเนินไป ๗ ก้าว โดยมีดอกบัวผุดจากพื้นดินมารองรับพระบาททุกก้าว

• สำเร็จปฐมฌาน

เมื่อพระราชกุมารมีพระชนม์ได้ ๕ วัน พระเจ้าสุทโธทนะทรงเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน มาทำพิธีและตั้ง พระนามให้พระราชโอรสว่า “สิทธัตถะ” จากนั้นทรงคัดเลือกพราหมณ์จาก ๑๐๘ คนให้เหลือ ๘ คน เพื่อให้ทำนาย ลักษณะ

พราหมณ์ ๗ คน ทำนายว่าถ้าพระราชโอรสอยู่ในเพศฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าทรงครองเพศ บรรพชิตก็จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่พราหมณ์อีกคนที่เหลือชื่อ โกณฑัญญะ ทำนายว่า พระราชโอรสจะต้อง ออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน

ครั้นพระนางสิริมหามายาประสูติพระราชโอรสได้ ๗ วัน พระนางสิริมหามายาก็สิ้นพระชนม์ พระเจ้าสุทโธทนะได้ให้พระนางปชาบดีโคตรมี พระน้องนางของพระนาง สิริมหามายาซึ่งเป็นพระมเหสีอีกพระองค์ของพระเจ้าสุทโธทนะให้ทำหน้าที่เลี้ยงดูพระราชโอรส พระนางทรงดูแล พระราชโอรสดุจพระโอรสของพระนางเอง

เจ้าชายสิทธัตถะถึงแม้อยู่ในวัยเด็กก็สามารถประทับนั่งขัดสมาธิเจริญ อานาปานสติกัมมัฏฐาน จนได้ปฐมฌานโดยมิได้สนใจของเล่นเช่นพระกุมารอื่นๆ พระราชบิดารู้สึกไม่สบายพระทัย เมื่อเห็นอาการของพระกุมารเช่นนั้น

• อภิเษกสมรส

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัยมีพระชนมายุได้ ๑๖ ชันษา พระราชบิดาทรงสร้างปราสาทขึ้น ๓ หลังสำหรับ ให้เจ้าชายประทับในฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว จากนั้นพระองค์ก็ทรงสู่ขอ เจ้าหญิงพิมพา หรือ "ยโสธรา" พระราชธิดา ในพระเจ้าสุปปพุทธะ กับ พระนางอมิตาแห่งกรุงเทวทหะมาอภิเษกกับเจ้าชายสิทธัตถะ

ในพระราชพิธีอภิเษกสมรสของ พระนางยโสธรา ได้มีการทดลองพละกำลังและสติปัญญาระหว่างเจ้าชายทั้งหลาย ในการประลองครั้งนี้เจ้าชาย สิทธัตถะได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นผู้ที่มีความสามารถเหนือเจ้าชายอื่นๆ ไม่มีผู้ใดเทียบได้ในการใช้กระบี่บนหลังม้า

พระองค์ทรงมีความสามารถใน “ลักษาเวทะ” คือสามารถยิงถูกเป้าหมายอย่างแม่นยำ โดยใช้ “สิงห์ธนู” ซึ่งไม่ต้องโก่งธนูให้เชือกตึง และพระนางยโสธราทรงคล้องพวงมาลัยที่พระศอของเจ้าชายสิทธัตถะผู้ได้รับชัยชนะด้วยความภูมิพระทัย

พิธีอภิเษกสมรสได้จัดขึ้นหลังจากผ่านข้อแม้ต่างๆ อย่างสมพระเกียรติ และเจ้าชายสิทธัตถะทรงอยู่กับ พระนางยโสธราอย่างมีความสุข จนกระทั่งเจ้าชายสิทธัตถะทรงมีพระชนมายุ ๒๙ ชันษา พระนางยโสธราก็ทรงพระครรภ์

• เทวทูต ๔

พระเจ้าสุทโธทนะได้จัดให้พระราชกุมารอยู่บนพระราชวังที่ใหญ่โต ปราศจากคนสูงอายุหรือคนป่วยที่นั่น ไม่มีการพูดถึงเรื่องเศร้า ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เจ้าชายสิทธัตถะเกิดความเบื่อหน่ายในการครองเรือน วันหนึ่งเจ้าชาย สิทธัตถะมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จประพาสอุทยาน

ขณะที่ประทับราชรถไประหว่างทางได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ ผมหงอก ถือไม้เท้าเดินสวนมาทำให้ทรงรู้สึกเศร้าสลดหดหู่ วันต่อมาพระองค์ก็เสด็จประพาสอุทยานเป็นครั้งที่ ๒ ครั้งนี้ได้ทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บที่ร่างกายเต็มไปด้วยแผลเน่าเปื่อย ร้องครวญครางอยู่ข้างถนน เป็นที่น่าเวทนาและ พระองค์ได้ช่วยพยุงคนเจ็บให้ลุกขึ้น

อีก ๑๕ วัน ต่อมาเสด็จเลียบพระนครเป็นครั้งที่ ๓ โดยราชรถก็ทอดพระเนตรเห็นคนตายถูกหามไปยังป่าช้า มีญาติเดินร้องรำพันด้วยความอาลัยรัก ครั้นเสด็จออกไปเป็นครั้งที่ ๔ ก็ทรงพบกับนักบวชนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ (ผ้าย้อมฝาด) มีกิริยาน่าเลื่อมใส

• เสด็จหนีบรรพชา

การที่เจ้าชายสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็น เทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ทำให้ทรงตระหนักว่าทุกคนจะต้องแก่ชราและมีโรคภัยไข้เจ็บมาทำลายความสวยความงาม บั่นทอนพละกำลังและร่างกายทุกคน จะต้องตายในวันใดวันหนึ่งไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้ อันเป็นความทุกข์กังวลอย่างใหญ่หลวงของมนุษย์

เมื่อความจริงประจักษ์แก่พระองค์ พระองค์ทรงรู้สึกตัดขาดจากความเพลิดเพลินในทางโลกอย่างสิ้นเชิง ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ ที่จะเสด็จออกบวชเพื่อหาหนทางพ้นจากความทุกข์ ทำอย่างไรถึงจะบรรลุอมตธรรม จากวันนั้นเป็นต้นไป พระองค์ ทรงยึดในความคิดนั้นเพียงอย่างเดียว

และในคืนวันหนึ่ง พระองค์ทรงตัดสินพระทัยเสด็จออกจากพระราชวัง โดย พระองค์เสด็จเยี่ยมพระนางยโสธรากับพระราชโอรสซึ่งกำลังบรรทมหลับอยู่ แม้จะทรงอาลัยแต่ก็หักพระทัยทิ้ง พระนางยโสธราและพระราชโอรสที่เพิ่งประสูติใหม่ชื่อ ราหุล ไว้เบื้องหลัง เสด็จออกมาทรง ม้ากัณฐกะ หนีออกจากพระนครพร้อมกับนายฉันนะ

• ทรงตัดพระโมฬี

เจ้าชายสิทธัตถะทรงม้ากัณฐกะมาจนกระทั่งใกล้รุ่ง ก็เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำอโนมาจึงเสด็จลงจากหลังม้า ทรงใช้ พระขรรค์ตัดพระโมฬี (จุก) ออกเหลือเส้นพระเกศายาวประมาณ ๒ องคุลี (๑ องคุลีจะเท่ากับข้อปลายของนิ้วกลาง) ม้วนไปทางขวาเป็นวงกลมซึ่ง

พระเกศาไม่มีการยาวออกมาอีกจนกระทั่งพระองค์ปรินิพพานแล้วเปลี่ยน ฉลองพระองค์ เป็นนักบวช จากนั้นทรงอธิษฐานขอบรรพชาเป็นนักบวช จากนั้นพระองค์ทรงรับสั่งให้นายฉันนะนำม้ากัณฐกะ และฉลองพระองค์ (เสื้อผ้า) เดิมของพระองค์กลับพระนคร เพื่อไปถวายพระเจ้าสุทโธทนะที่พระราชวัง

((( โปรดติดตาม ตอนต่อไป )))


webmaster - 25/7/14 at 16:00

.


webmaster - 18/5/18 at 07:59

.