ตามรอยพระพุทธบาท

ประวัติการสร้าง "สมเด็จองค์ปฐม" วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี (ตอนที่ 1)
kittinaja - 26/6/08 at 14:57

1 l 2 l 3 l 4 »


ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม


โดย... หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
เรียบเรียงโดย.. พระชัยวัฒน์ อชิโต



ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า สมเด็จองค์ปฐม ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรก องค์แรกหรือองค์ที่หนึ่ง เรียกว่า องค์ปฐม การที่จะหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐมก็มีอยู่ว่า นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์ เคยปรารภว่า หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องสมเด็จองค์ปฐมเสมอ ทำไมจึงไม่หล่อรูป จึงคิดตั้งใจจะหล่อรูปท่านขึ้นมา

ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิดหนึ่ง คือเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๑ ตอนนั้นอาตมา มาอยู่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็น นาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึก โรงเรียนการบินที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั่น

ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพาน ยืนสองแถวยาวเหยียด ไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ

จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆ ที่หลังคาต่ำๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคาก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทาน คือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้างๆ ท่านบอกว่า “คุณ ไม่ใช่ อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐม จะเสด็จมา”

อีกประมาณสัก ๕ นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งรูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆ องค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า

“ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า... ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วท่านก็บอกว่า

“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น”

ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่าวันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์

การเทศน์ของพระพุทธเจ้า มุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวัง คนทั่วไป คนจะนั่ง สักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุด เฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆ กัน

อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์หรือสอนกรรมฐาน ก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจจะเป็นเพราะท่านดลใจ ถ้าจะถามว่า เป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่า ไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่า ในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปท่านขึ้นมา




ทรงแสดงพระพุทธลักษณะ

วันหนึ่งจึงอาราธนา เมื่อเจริญพระกรรมฐานเสร็จแล้ว ท่องเที่ยวไปที่ต่างๆ ตามความพอใจ เมื่อกลับมาถึงที่ก็คิดว่า สมเด็จองค์ปฐมจริงๆ รูปร่างสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านเป็นอย่างไร ก็ขออาราธนา ขอต้องการพบท่าน ท่านก็มาปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรวดทรงสวยมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน แก้มตอนปากบุ๋มลงไป ท่านบอกว่า

รูปร่างของฉันจริงๆ เป็นอย่างนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ และต่อมาก็เปลี่ยนรูป รูปร่างของฉันสมัยนิพพานแล้ว เป็นอย่างนี้ ท่านก็เปลี่ยนให้ดู ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของท่านจะให้ปั้นแบบไหน จะให้ปั้นแบบปางนิพพานหรือแบบมนุษย์

ท่านบอกว่า ปั้นอย่างนี้ก็แล้วกัน แล้วท่านก็นั่งทำภาพให้ดู เป็นเหมือนพระพุทธรูปปั้น แล้วก็มีเรือนแก้วเป็นพระพุทธชินราช รูปจริงๆ ที่ให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริง คือไม่เหมือนกับรูปที่เป็นมนุษย์ และก็ไม่เหมือนกับรูปที่นิพพาน แต่ว่าเป็นรูปที่ท่านต้องการ ท่านมาแสดงแบบนั้นอยู่ถึง ๓ วันติดๆ กัน มานั่งให้เห็น วันหนึ่งประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็ดูจนละเอียด

ก็คิดในใจว่าเราเป็นคนเห็น แต่ช่างเขาไม่ได้เห็น เขาอาจจะปั้นได้ไม่เหมือนก็ได้ จึงขอบารมีของท่านบอกว่า เวลาที่ช่างเขาปั้น ขอได้โปรดดลใจให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ ท่านก็ยอมรับ จึงได้สั่งให้ นายประเสริฐ แก้วมณี ปั้นรูปขี้ผึ้งขึ้น บอกลักษณะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในที่สุดเมื่อเขาปั้นเสร็จ เขาเอามาให้ดูเหมือนกับ รูปที่ท่านแสดงจริงๆ นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์

และนายประเสริฐคนนี้ ก็เจริญกรรมฐานมโนมยิทธิได้แกก็ทำอะไรตามกำลังใจที่แกได้มา อาตมาก็บอกว่า ก่อนจะปั้นให้จุดธูปจุดเทียนก่อน อาราธนาบารมีของท่านก่อน ขอให้ท่านดลใจให้มือทำตามไปที่ท่านต้องการ ความจริงก็เป็นอย่างนั้น



พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม

ทีนี้ก็มานั่งนึกอีกทีว่า เรามีพระพุทธรูปทุกองค์ในสถานที่สำคัญ เราก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่พระบรมสารีริกธาตุโดยมากเป็นขององค์ปัจจุบัน สำหรับพระบรมสารีริกธาตุขององค์ปฐม จะหาได้ที่ไหน กำลังใจก็นั่งนึก คิดว่าเราจะทำอย่างไร จึงจะได้พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม ก็คิดว่าเวลากาลนานมาแล้ว พระบรมสารีริกธาตุย่อมหาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าหาไม่ได้ก็เอาขององค์ปัจจุบันบรรจุ เพราะถือว่า เป็นคนขั้นตอน เป็นคนละองค์

ต่อมาเมื่อขณะที่ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ จบ ก่อนจะนอนก็ไป......ไอ้การไปนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท การทัศนาจรไปเมืองสวรรค์ก็ดี เมืองนรกก็ดี พรหมก็ดี มันเบื่อเต็มทีแล้ว... จืด เวลานี้ไม่ไปไหน ที่ไปจุดแรกคือ เทวสภา ไปที่ตรงนั้น ก็ไปไหว้ ท่านผู้มีคุณตั้งแต่ชาติก่อนโน้นมาถึงชาติปัจจุบัน ที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์บ้าง เป็นผู้มีคุณบ้าง เป็นบิดามารดาบ้าง เป็นต้น ไหว้ท่านแล้วท่านก็แนะนำบางอย่างที่ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง ที่ไหนถูก ท่านก็บอกว่าถูก ที่ผิดท่านก็บอกให้แก้ไข

ก็เป็นอันว่า ไปอย่างนี้ทุกคืน หลังจากนั้นก็เข้า พระจุฬามณีเจดียสถาน ไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่นั่น พระอรหันต์มีเยอะก็ไหว้ท่าน ออกจากพระจุฬามณีเจดียสถานแล้ว ก็ไปนิพพาน ไปวิมานขององค์สมเด็จองค์ปัจจุบันก่อน พระสมณโคดม ไปนมัสการท่านเสร็จ ถ้ามีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็บอก ถ้าไม่มีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็เฉย ก็นั่งสบายๆ ด้วยความชื่นใจ

หลังจากนั้น ท่านก็สั่งให้ไปวิมานของเธอ ในเมื่อไปวิมานของอาตมาเอง ในที่นั้นจะพบพระอรหันต์มาก จะมีพระพุทธเจ้าหลายๆ พระองค์ มีองค์ปฐมเป็นประธาน ทรงให้โอวาทอยู่ทุกวัน เตือนทุกวัน มีอะไรผิด มีอะไรถูก มีอะไรควรทำมีอะไรควรพูด ท่านจะแนะนำ

เมื่อกลับมาแล้วก็นอน คิดว่าเราจะนอนให้หลับ พอกำลังจิตจะเริ่มเคลิ้ม ก็ได้ยินเสียงว่า

"พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม เอามาให้แล้วนะ วางไว้ที่ตลับบนเตียงข้าง ๆ หัวนอน" ได้ยินเสียงชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนเสียงขององค์ปัจจุบัน

จึงลุกขึ้นมาเปิดไฟฟ้า ปรากฏว่าที่ตรงนั้นไม่เคยวางตลับ มีแต่วางหนังสือสำหรับดูก่อนหลับ ก็มีตลับพลาสติก แบบปัจจุบันอยู่ลูกหนึ่ง ไปเปิดดูเห็น พระบรมสารีริกธาตุองค์โต ๒ องค์ ก็ดีใจว่าเป็นขององค์ปฐมแน่ เพราะเราไม่เคยวางไว้ ก็เก็บไว้ในที่สักการบูชาเอาไว้บรรจุท่าน ต้นเหตุเป็นอย่างนี้นะ



เกิดอัศจรรย์ตรงสถานที่สร้างมณฑป

ต่อมาท่านก็บอกว่า จะทำมณฑปฉันที่ไหน ก็ถามท่านว่าสถานที่ไม่มีแล้ว ด้านหน้าวัดเต็มไปหมด ที่มองเห็นได้ไม่มี มีแต่หลังวัด หลังวัดก็ไม่สมควร ท่านก็บอกว่า มีที่สำคัญอยู่ที่หนึ่ง เวลานั้นกำลังป่วยมาก ก็พยายามให้พระขับรถไ ป ไปดูสถานที่ ค่อยๆ ลงจากรถ เดินมันก็จะล้ม

แต่ญาติโยมพุทธบริษัทไม่มีใครเข้าใจ เพราะเวลารับแขกเห็นท่าทางพูด ท่าทางแข็งแรง ความจริงไม่ใช่ เป็นกำลังพระท่านช่วย หลังจากรับแขกแล้วก็ป่วย อาเจียน ลุกไม่ขึ้น เดินไม่ไหว นี่เป็นอำนาจพุทธานุภาพ และสถานที่ตรงนั้น ท่านบอกว่าเอาตรงนี้ สถานที่ตรงนั้นมีความสำคัญ ท่านบอกว่ามีพระบรมสารีริกธาตุสำคัญมาก แต่ความจริงก็เป็นความจริง มีคนเห็นอยู่เสมอว่า มีดาวดวงใหญ่ขึ้นจากที่ตรงนั้น มีแสงสว่างมาก ลอยไปเหนือยอดไม้น้อย ๆ วนไปวนมาในวัดแล้วก็กลับที่เดิม

มีคราวหนึ่ง มี พ.ต.พงษ์เทพ เธอมาอยู่เป็นเพื่อน เธอเห็นเข้า เธอก็นั่งรถกวดว่าดาวดวงนี้จะลอยไปไหน เธอก็วิ่งตามไป วนไปวนมาอยู่พักก็กลับที่เดิม เธอก็มาบอกว่า เมื่อคนนี้แปลก เห็นดวงดาวขึ้นจากแผ่นดิน ก็เลยบอกเธอว่า นั่นไม่ใช่ดวงดาว เป็นพระบรมสารีริกธาตุ ท่านให้สร้างมณฑปตรงนั้น จึงสั่ง ลุงชิด แก้วแดง เป็นนายช่างทำการก่อสร้าง



วัสดุที่จะใช้สร้าง

โดยเฉพาะเรือนแก้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์ปฐมสร้างหน้าตัก ๔ ศอก เป็นพระหล่อด้วยโลหะ แล้วก็ผสมทองคำ เฉพาะ “เพชร” ที่ประดับเรือนแก้ว หรือว่าผ้าทิพย์ เท่าที่เราเห็นมีราคา ๗๗๐,๐๐๐ บาทเศษ แต่ความจริงไม่ใช่เพชรจริงๆ อย่าขโมยไปนะ ถ้าแกะมาหนึ่งเม็ด ราคาเต็มของเขาจะประมาณ ๑๒-๑๓ บาทเท่านั้นเอง

ที่นี้ซื้อมาก เพื่อประดับเรือนแก้วให้สวย เพราะว่าคนใกล้จะตาย คืออาตมาเองใกล้จะตาย อายุครบอายุขัยแล้ว ครบอายุขัยก็เป็นอายุที่ควรตาย ก็ทำทิ้งทวน แล้วก็มีคนมาช่วยมาก มีใครบ้างจะไปขอบัญชีเขามาดู ถ้าเขาคัดไว้ก็จะมาพิมพ์ท้ายหนังสือ มีพล.ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์กับคณะ ช่วยมา ๑ ล้านบาทเท่าที่จำได้นะ นอกนั้นมีใครบ้างก็ไม่ทราบ องค์ปฐม นี่ช่วยกันมามาก

สำหรับพื้น ทีแรกคิดว่าจะใช้แกรนิต หรืออะไรไม่ทราบ มันสวยๆ แต่ว่าพระท่านบอกว่า มันแข็งมาก ต้องสั่งให้เขาตัดให้พอดี ก็เลยล้มความตั้งใจ ก็พอดี พ.ท.นายแพทย์นพพร กลั่นสุภา พร้อมด้วย คณะชาวจังหวัดกาญจนบุรี

พ.ท. นายแพทย์นพพรนี่ เป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ กองพลที่ ๙ สนใจเรื่องบุญกุศลมาก ได้ทำตาดำตาขาวของพระ พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกมาถวาย ประมาณ ๖๐๐ คู่เศษ และนำนิลก้อนเล็กๆ นำมาให้ทำพื้น ก็เลยตัด สินใจว่า ในเมื่อมีผู้ศรัทธานำนิลมาให้ตั้ง ๑ ตันกว่า เราก็ไม่ควรใช้อย่างอื่น ใช้ขัดพื้นด้วยนิล แทนที่จะเป็นหินขัด หรือว่าจะเป็นหินอ่อน จะเป็นแกรนิต ไม่เป็นแล้ว ใช้นิลเป็นพื้นขัด ถ้านิลไม่พอจริงๆ ก็เอาอย่างอื่นผสม

ก็รวมความว่า ความสำคัญเนื่องในการสร้างองค์ปฐม คือ ว่าคนไม่เคยคิด หรือว่าอาจจะคิดบ้างก็ไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าจริงๆ ที่มีความลำบากมาก คือ องค์ต้น เพราะไม่เคยมีพระพุทธเจ้าเป็นครูมาก่อน ต้องลำบากบุกมาทั้งๆ ที่ไม่มีแบบ เป็นเหตุดลใจให้ตั้งใจคิดจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาถึง ๔๐ อสงไขยกัปเศษ จึงจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ

ถ้าถามว่า รู้ได้อย่างไร ก็ต้องขอตอบว่า ถามท่านซิ คนฟังหรือคนอ่านจะคิดไหมว่า พูดอย่างนี้เป็นคนบ้าหรือคนดี บางท่านจะบอกว่า พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว มีสภาพสูญ จะไปคุยกันได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า ก็ต้องเป็นคนสูญเหมือนกัน ก็ท่านสูญไปแล้ว เราก็สูญบ้าง ถ้าสูญกับสูญพบกัน ก็ต้องเป็นสองสูญสองสูญก็มีสภาพกลมเหมือนกัน แต่โตเล็กกว่ากันเท่านั้น เมื่อสูญต่อสูญคุยกันก็รู้เรื่องกัน ถ้าท่านสูญ เรายังไม่สูญ เราก็คุยกับท่านไม่ได้

ก็รวมความว่า อาตมาก็เป็นคนสูญเพราะ ๑ สูญจากความเป็นหนุ่ม ๒ สูญจากความเป็นคนปกติ มีอาการป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ และก็ ๓ สูญจากความเป็นคนที่คิดว่าไม่สูญ นั่นคือ ความหวังมีอย่างเดียว คิดว่าเราจะต้องตาย เวลานี้อายุ ๗๕ ปี ตามใบสุทธิเป็นอายุขัย ควรตายแล้ว ไหนๆ จะตายก็ทำทิ้งทวนเฉพาะสมเด็จองค์ปฐม ราคาเท่าไรไม่ทราบ เฉพาะเพชรที่ประดับราคา ๗๗๐,๐๐๐ บาทเศษ แล้วก็มณฑปทั้งหมด ก็จะบุแก้ว ปิดแก้วทั้งข้างนอกและข้างใน ให้คล้ายๆ กับวิมานของท่าน ทำแบบคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือน เพราะวิมานของท่านสวยมาก

เดี๋ยวจะถามว่า รู้ได้ยังไง ก็ตอบตามเดิมว่า คนสูญก็รู้อย่างคนสูญ ที่เขาบอกว่า นิพพานมีสภาพสูญ อาตมาขอย้อนว่านิพพานมีสภาพไม่สูญ นิพพานจะสูญไปจากความชั่ว จะทรงไว้แต่ความดี ถ้าหากจะมีคนคัดค้านว่า ตายแล้วมีสภาพสูญ ก็ต้องตอบว่า เป็นเรื่องของท่าน ต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างมีความเห็นจะให้เหมือนกันไม่ได้ ถ้าหากว่านิพพานมีสภาพสูญจริงๆ ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวอ้างอิงถึง พระพุทธเจ้าองค์นั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้ อย่างคำว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ท่านทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง กุสะลัสสูปะสัมปะทา จงทำแต่ความดี สะจิตตะปริโยทะปะนัง จงทำใจให้ผ่องใสจากกิเลส เอตัง พุทธานะสาสะนัง พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้ เหมือนกันหมด

พระพุทธเจ้าท่านรู้ได้ยังไง ถ้านิพพานมีสภาพสูญ ทำไมจึงจะรู้ว่า พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด ก็แสดงว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ เฉพาะของคนไม่สูญ นิพพานมีสภาพสูญ เฉพาะของคนที่สูญจากนิพพาน

รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การหล่อรูปองค์ปฐมนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท นำทองมาถวายกันมาก เป็นกรณีพิเศษ และการหล่อรูปนี้จะหล่อ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕ มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธานจับสายสิญจน์ในการหล่อ

ความจริงหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นี่ บางท่านอาจจะไม่รู้ ท่านเป็นพระสูญเหมือนกัน คือ สูญจากการยึดตัว ยึดยศฐาบรรดาศักดิ์ ท่านเป็นสมเด็จฯ ท่านไม่เคยแสดงองค์เป็นสมเด็จฯ เลย ไม่เคยถือเนื้อถือตัว ถือเป็นกันเองทุกอย่างกับทุกคนที่ไปหา ไม่มีมานะทิฏฐิ และมีความเข้าใจเรื่องของคน มีความเข้าใจในเรื่องของใจคน อย่าง พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน เคยไปกับหมอลัดดา ไปหาท่าน ท่านจำวัดอยู่บนกุฏิทั้งสองคนก็ไปคอย พอถึงเวลาท่านยังไม่ลงมา ทั้งสองคนก็บอกว่าในเมื่อท่านจำวัดเราก็กลับเถอะ พูดเบาๆ เท่านั้นแหละ เสียงกระแอมเปิดประตูหน้าต่าง แล้วท่านก็ลงมา

อาตมาเคยปรึกษากับ มหาวิจิตร เรื่องที่จะทำบุญวันเกิดของท่าน ปรึกษากันที่ซอยสายลมว่า เราคิดจะทำอย่างนี้ และไปกราบเรียนให้ท่านทราบ ถ้าหากว่าอันไหนท่านตัด เราก็ตัดตามท่าน อันไหนท่านให้เติม เราก็เติมตามท่าน เสร็จแล้วก็ไปหาท่าน ท่านนั่งรอรับอยู่ ท่านยังไม่ขึ้นกุฏิ เมื่อกราบพอเงยหน้าขึ้นมา ท่านก็บอกว่า ปีหน้าจะให้ทำอะไรก็บอกนะ ทำตามทุกอย่างแหละ นั่นคุยกันที่ซอยสายลม ท่านอยู่ที่วัดสามพระยาทำไมจึงรู้

ก็เป็นอันว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์องค์นี้มีความสำคัญมาก เป็นประธานการหล่อพระคราวไร ไม่เคยเสีย คราวหนึ่งลมแรงจัด ช่างบอกว่า ถ้าลมแรงแบบนี้ การเททองลำบากยังไงๆ พระต้องเสียแน่ ต้องมีเว้า มีโหว่ มีแหว่ง แต่เธอก็พยายามทำไปด้วยความลำบากจนเสร็จ

นี่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จับสายสิญจน์นะ ช่างรีบไปทุบหุ่นไม่อยากให้คนอื่นเห็น คิดว่าถ้าเสียจะรีบเก็บแต่ที่ไหนได้บรรดาท่านพุทธบริษัท พระทุกองค์เรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง ช่างดีใจจนน้ำตาไหล นี่ ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความเข้าใจว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นพระที่มี สภาพสูญเช่นเดียวกัน

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ก็เล่าสู่กันฟังก็แค่นี้ ขอจบเพราะเวลาหมด เหลือเวลาประมาณครึ่งนาที ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังก็ตาม ผู้อ่านก็ตาม จงมีแต่ความสุขปรารถนาสมหวัง รวยตลอดชาติ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ถ้าใครต้องการหวังนิพพาน ขอให้ได้นิพพานสมความปรารถนา ใคร ไม่อยากไปนิพพาน ก็ขอให้รวยตลอดทุกชาติ สวัสดี

l 1 l 2 l 3 l 4 l »