ตามรอยพระพุทธบาท

งานพิธีเททองสมเด็จองค์ปฐม "ทองคำ" ณ วัดท่าซุง (ตอนที่ 2)
webmaster - 4/2/09 at 19:39

« 1 | 2 l 3 | 4 | 5 | 6 »


ตอนที่ ๒

เมื่อถึงกำหนดวันงาน การเตรียมจัดสถานที่, และการหล่อหลอมทอง, เรื่องสถานที่พัก, เรื่องอาหารการกิน, ทุกอย่างพร้อมแล้ว ผู้คนแต่ละทิศก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามามากมาย จนวัดท่าซุงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนทั้งหลาย รถราจอดกันเต็มไปหมดเกือบทุกแห่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรต้องทำงานกันอย่างหนัก

ภายในวัดมีทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ต่างก็เดินกรีดรายเป็นกลุ่มๆ ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์งามวิจิตรหลายหลากสี บ้างก็มีประดับดอกไม้ไหวที่ศีรษะ เห็นชุดไทยแต่ละภาค ดูงามไม่แพ้กันเลย ส่วนผู้ชายก็แต่งกายด้วยชุดราชปะแตนโก้หรู ส่วนบางคนก็แต่งชุดพระราชทาน ผ้าไหมที่สวมใส่ดูภูมิฐานสง่างาม โดยมีผ้าคาดเอวตัดกับสีเสื้อ ทำให้ดูเด่นเป็นสง่ายิ่งขึ้น ทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้มสดใส แต่ที่น่าเห็นใจคือเจ้าหน้าที่ทำงาน แม้จะร้อนแสนร้อนก็ต้องทนใส่ เพื่อให้เป็นเกียรติแก่งาน



ครั้นถึงเวลา ๐๘.๐๐ น. ท่านเจ้าอาวาส และ ท่านอาจินต์ ได้ทำพิธีบวงสรวงเริ่มงาน ณ ปะรำพิธีหน้าปราสาททองคำ แล้วนั่งรับแขกจนกระทั่งฉันภัตตาหารเพล ตอนนี้มีผู้ร่วมทำบุญมากมาย แล้วได้รับล๊อคเก็ตสวยงามเป็นที่ระลึกด้วย พระครูสังฆรักษ์สุรจิตก็มาช่วยรับแขกด้วย

ขบวนอัญเชิญเครื่องสักการะ


ครั้นถึงเวลาบ่ายโมง เครื่องสักการะทั้งหลาย อันมี บายศรี เป็นต้น หลังจากช่วยกันทำตลอดทั้งคืนแล้ว จึงได้ช่วยกันนำมาไว้ที่ด้านหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร เพื่อเตรียมจัดขบวนอัญเชิญไปที่หน้าปราสาททองคำ ทุกคนต่างก็เร่งรีบเดินมารวมกัน บางคนก็แต่งตัวไม่ทัน คือ “บี” หลานคุณแย้ม หลานคุณประสงค์จึงต้องถือป้ายแทน แต่ส่วนใหญ่ก็พร้อมแล้ว โ ดยมี นักเรียน รร. พระสุธรรมฯ มาช่วยถือป้ายอักษรในบางภาค เพราะบางภาคก็เตรียมผู้ถือป้ายกันมาเอง


เมื่อเจ้าหน้าที่จัดรูปขบวนเสร็จแล้ว จึงเริ่มเคลื่อนขบวนออกไปด้านหน้าถนน เลี้ยวขวาผ่านโรงพยาบาลฯ และพระจุฬามณี โดยมีวงโยธวาทิตของนักเรียน ร.ร.พระสุธรรมฯ บรรเลงนำขบวนทั้งหมด อันประกอบด้วย ขบวนพระสงฆ์ เดินถือพานธูปเทียน พร้อมมีผู้เดินถือฉัตร พัดโบก และจามร เป็นต้น และมีผู้แต่งชุดราชปะแตนเดินหามคานเสลี่ยง สมเด็จองค์ปฐม ประทับอยู่ในดอกบัวสีขาว พร้อมด้วยรูป หลวงพ่อฯ ท้าวมหาราช และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น


เมื่อ ขบวนพระ ผ่านไปแล้ว ก็เป็นขบวนแถวคณะศิษย์ทุกภาคคือ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคกลาง และ คณะสายลม โดยมีนักเรียนหญิง รร.พระสุธรรมฯ แต่งชุดไทย ๒ คน เดินถือป้ายอักษรคำว่า “คณะศิษย์พระราชพรหมยาน” นำขบวนทั้งหมด จนขบวนแถวทั้งหมดยาวเป็นกิโล หัวขบวนใกล้จะถึงที่หมายปลายทาง แต่ท้ายขบวนยังเพิ่งจะออกจากต้นทาง ซึ่งมีคนยืนดูตลอดข้างทาง


เสียงกลองและดนตรีบรรเลง ฟังแล้วให้ตื่นเต้นเร้าใจ เห็นคนเดินอย่างเรียบร้อย โดยมีพานพุ่มดอกไม้สวยงามอยู่ในมือ แม้อากาศจะร้อนเล็กน้อย แต่ทุกคนก็อดทนได้ด้วยความเคารพ หวังจะเดินแห่แหนเพื่อเป็นเกียรติแก่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทุกคนมิได้เดินเพื่ออวดหรือเพื่อโชว์ เหมือนกับที่เขาจัดกันโดยทั่วไป แต่ทุกคนเดินน้อมจิตเพื่อประกาศคุณความดีของพระองค์ไปทั่วทุกหนทุกแห่งว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ประเสริฐอย่างสูงสุด ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณหาประมาณมิได้ และเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า


บัดนี้ ลูกหลานของท่านทุกคน ยังไม่ลืมคุณความดีที่ท่านมีให้ตลอดชีวิตของท่าน มีแต่เสียสละเพื่อลูกๆ ทุกคน แม้แต่ความตายจะเข้ามา ท่านก็ยังหาสนใจไม่ หวังจะดำรงชีวิตจนถึงวาระสุดท้าย ก็เพื่อจะสงเคราะห์บุตรธิดาของตนให้ได้ดีมีความสุข ถ้าลูกทุกคนไปพระนิพพานได้ ท่านคงจะมีความสุข มีความสมหวัง สมความปรารถนา ที่อุตส่าห์ลงมาเพื่อลาพระโพธิญาณ หวังจะขนบรรดาลูกหลาน ให้เข้าสู่แดนอมตมหานิพพาน ไม่ต้องกลับมารับทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารอีกตลอดไป


ดังที่ท่านเคยพูดไว้ที่บ้านสายลม เมื่อประมาณ ๒๐ กว่าปีก่อน แม้ คุณศุภาพร ที่ทำบายศรีให้กับวัดก็ยังจำได้ว่า ท่านได้ชี้มาที่คนกลุ่มหนึ่งแล้วบอกว่า
“ถ้าข้ายังไม่ลาพุทธภูมิ พวกแกต้อง ตามข้าไปอีก ๗ ชาติ..!”


ในโอกาสนี้ที่พวกเราได้มารวมตัวกันครบทั้ง ๖ ภาค (ความจริงไม่ใช่ ๔ ภาค) หลังจากที่ท่านได้ละสังขารจากลูกหลานไปแล้ว ทุกคนก็ได้กลับมาช่วยบูรณะวัดท่าซุง ที่ท่านได้อุตส่าห์สร้างไว้ตลอดชีวิต นับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ อันเหมือนเป็นจุดนัดพบ ทุกอย่างคงจะจบเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าจะนับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ท่านก็ได้มาสร้างความเจริญให้วัดนี้มาแล้ว ๒ วาระ ส่วนครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ ๓ อันเป็นครั้งสุดท้าย หวังจะให้เป็นจุดรวมตัวกันเพื่อสร้างบารมีต่อ หลังจากได้ลงมาเกิดกระจัดกระจายไปทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งในต่างประเทศอีกมากมาย

เมื่อถึงกาลเวลากุศลความดีให้ผล พร้อมทั้ง ท่านปู่พระอินทร์ ก็ได้จัดเทวดาทั้งหลายลงมาช่วยนำทางให้เข้าสู่มรรควิถี อันเป็นหนทางที่ดีที่พ้นทุกข์ หลังจากบางคนจะต้องประสบกับชะตาชีวิตอย่างแสนสาหัส เพราะพิษของการเกิดมาเป็นคน แต่ทุกคนก็น้อมจิตระลึกถึงบุญเก่าได้ เพราะบางคนก็เคยร่วมอุทร บางคนก็เคยเกิดเป็นญาติพี่น้องติดตามกันมากับท่านหลายแสนชาติ เคยร่วมสร้างบุญบารมี ในฐานะที่ผู้เป็นพ่อหวังพระโพธิญาณ ต้องการที่จะฟังธรรมตอนที่พ่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะได้เข้าถึงธรรม บรรลุซึ่งบรมสุขพร้อมกัน ทั้งพ่อและแม่รวมทั้งลูกๆ ของท่านทุกคน

ฉะนั้น นับตั้งแต่หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน เริ่มออกมาแพร่หลายเมื่อปี ๒๕๑๕ ท่านก็จะขอลาเข้าสู่พระนิพพาน แต่พระบิดาของท่านผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ ได้ลงมาขอร้องและระงับการละสังขารว่า

“คนของคุณก็ยังมาไม่ครบ คนของโยมก็ยังมาไม่ครบ คนของสมเด็จฯ คนของหลวงพ่อปาน ก็ยังมาไม่ครบเช่นกัน (เวลา นี้ยังมีคนของ พระศรีอาริย์ อีก ๓ แสนเศษ) ไหนคุณสัญญาก่อนที่จะลงมาเกิดว่า จะขนบรรดาลูกหลานให้ได้อย่างน้อยไปดาวดึงส์...?”

หลวงพ่อบอกว่าก็รออยู่ตั้งนานแล้ว ทำไมไม่มาสักทีละ ท่านปู่ก็บอกว่า ต่อไปนี้โยมจะเกณฑ์กันเข้ามานะ หลวงพ่อก็บอกว่าคนนอกไม่ต้องเอาเข้ามานะ เอาเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกันเท่านั้น เพราะมีเวลาไม่มากแล้ว หลังจากนั้นวัดท่าซุงก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มุ่งความดี มีความปรารถนาแต่คุณของ พระนิพพาน ตามที่ท่านมุ่งสอนทุกคนตั้ง ใจทำความดีด้วยความสามัคคี แต่ท่านก็เตือนจิตสะกิดใจไว้เมื่อคืน วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒ ๕๒๒ ณ ศาลานวราช เนื่องจากใกล้ "วันคล้ายวันเกิด" ของท่านว่า

โอวาทของท่านหลวงพ่อ

“...บรรดาลูกๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่มีความเจตนาดี และลูกพวกนี้ก็ดี และพวกท่าน (พระ) ก็ดี ที่ติดตามกันมาแล้วทั้งหมด ถ้าเราจะใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณกำหนด ก็ถือว่าเราติดตามกันมาแล้วอย่างน้อยก็ ๑๖ อสงไขย กับแสนกัป เป็นการบำเพ็ญบารมีร่วมกันมานาน ฉะนั้น ในชาตินี้คณะพวกท่านทั้งพระภิกษุสามเณร และลูกหญิงลูกชายทั้งหมด ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในชาติก่อนๆ ต่างคนต่างก็มารวมกันมาช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนา

จงถือว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของพวกเรา จำไว้ให้ดีนะ แต่ว่าใครจะเกิดอีกต่อไป ก็ตามใจเถิด เป็นอันว่าเราก็เลิกเกิดกันเสียที ความจริงถ้าหากว่าจะว่ากันโดยบารมี บรรดาลูกๆ ก็เหมือนกัน การบำเพ็ญมานี่ มันก็เกินไปเสียแล้ว...มันล้น เขาเรียกว่า “บารมีล้น” ฉะนั้น หากว่าเวลานี้ บรรดาลูกหญิงก็ดี ลูกชายก็ดี ภิกษุสามเณรก็ดี ยังเห็นภารกิจในพระพุทธศาสนามีความสำคัญ ผมก็คงจะอยู่ได้อีกหลายวัน ถ้าหากว่าพวกท่านไม่เห็นความสำคัญเมื่อไร..ผมก็ไม่อยู่!

แต่ว่ามีความหวังอยู่อย่างหนึ่ง ที่สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสให้ซื้อที่ และสร้างห้องสำหรับเจริญกรรมฐานขนาดใหญ่ นี่ก็แสดงว่าถ้าหากผมยังไม่ตาย หรือตายไปแล้วก็ดี ภารกิจหน้าที่อันนี้ บรรดาพวกท่านทั้งหมดต้องช่วยกันรักษาไว้ แต่ว่าขอไว้อย่างหนึ่ง มันจะตายหรือไม่ตายก็ไม่เป็นไร ผมจะตายหรือผมจะมีชีวิตอยู่ ขอพวกท่านทั้งหมดให้ตั้งใจไว้ว่า เราเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จงอย่าทำตนเหมือน “ภิกษุโกสัมพี”

ในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์ยังทรงมีชีวิตอยู่ ต่างคนต่างก็อวดเลว แตกกันเป็นสองพวก อย่างนี้เป็นการทำลายตัวเอง การศึกษาของบรรดาท่านทั้งหลาย นอกจาก คันถธุระ วิปัสสนาธุระ เรื่องวิปัสสนาธุระนี่ เป็นเรื่องยืนยันว่าพวกเราจะดี ว่าจะทรงวิปัสสนาธุระไว้ได้หรือไม่ได้ ก็อาศัย ความสามัคคี เป็นเหตุ

ฉะนั้น ขอทุกท่านถ้าเห็นแก่ชีวิตผมก็ดี และเห็นแก่องค์สมเด็จพระชินสีห์ บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผมรู้ตัวว่ากำลังกายมันไม่ดี แต่ว่าได้พยายามสร้างทุกอย่าง เพื่อวางพื้นฐานไว้ให้แก่พวกท่าน เพราะว่าสถานที่นี้ก็ได้รับพยากรณ์ว่า จะเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อไปในเบื้องหน้า วัดนี้ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ต้อง พ.ศ.๔๕๐๐ ปีเศษ วัดนี้จึงจะสลายตัว

ฉะนั้น ในวันฝังลูกนิมิต (๒๔ เม.ย. ๒๕๒๐) องค์สมเด็จพระธรรมสามิตรก็ทรงตรัสว่า แดนของวัดนี้ เป็นแดนของพระอริยเจ้ามาในกาลก่อน แต่ก็มาสิ้นแสงของพระอริยเจ้าลงไปประมาณ ๔๐ ปีนะ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลังจากฝังลูกนิมิตในปี พ.ศ.๒๕๒๐ แล้วท่านบอกว่าจากนี้ไป ๓ ปี วัดนี้จะมีพระอริยเจ้าประจำตลอดไป จนถึงพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๔,๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจึงจะขาดพระอริยเจ้า...”

นั่นเป็นโอวาทของท่านนานแล้ว จึงได้นำมาเพื่อเป็นการย้อนรำลึกถึงความเมตตาของท่าน ซึ่งยังมีรายละเอียดอีกมาก ถ้าท่านผู้อ่านสนใจแจ้งมาได้ จะลงให้ครบถ้วนเลย และยังมีที่ท่านเทศน์ไว้อีกนานแล้วเช่นกัน คิดว่ายังไม่เคยลงหนังสือเล่มไหนมาก่อน อันเป็นโอวาทคล้ายวันเกิดของท่านที่บ้านสายลม เมื่อ วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๑๘

ถ้าจำไม่ผิดคิดว่า น่าจะเป็นครั้งแรก ในการจัดงานคล้ายวันเกิดของท่าน ซึ่งในขณะนั้นผู้เขียนยังไม่ได้อุปสมบท จึงได้มีโอกาสฟังโอวาทของท่านเป็นครั้งแรก เพราะมีความข้องใจในเรื่องบางอย่าง แต่ไม่กล้าถามท่าน จนกระทั่งท่านเทศน์ออกมา ทุกอย่างจึงหายข้องใจ โดยมิต้องคิดถามท่านในใจอีกต่อไป เป็นอันว่า ระหว่างที่ขบวนแถวกำลังเดินเข้าสู่หน้าปะรำพิธี จึงไม่รู้ว่ามีใครกำหนดดูว่า เบื้องบนนภากาศนั้น จะมีบรรดาเหล่าเทพอัปสรลงมาร่วมขบวนด้วยหรือไม่

เนื่องจากใน ตำนานพระธาตุพนม กล่าวว่า อย่าว่าแต่ในเมืองมนุษย์เลย แม้แต่เทวดาและนางฟ้าทั้งหลาย อันมี ท้าวสักกเทวราช ทรงเป็นประธาน ต่างก็แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดขาวอย่างอลังการ จัดขบวนแถวเพื่ออัญเชิญเครื่องสักการะมาร่วมงานฉลอง พระอุรังคธาตุ (กระดูกหน้าอก) กันอย่างมโหฬาร


ขบวนแถวของพวกเราก็เช่นกัน งานครั้งนี้ที่ทุกคนรอคอยมานาน เมื่อดูภาพโดยรวมแล้ว นับว่าสวยงามตระการตา ทั้งฉัตร ทั้งธงทิว และผ้าตุงที่โบกสะบัด รวมทั้งผู้ที่แต่งกายพร้อมด้วยเครื่องประดับมาร่วมงานก็ดี ทั้งปะรำพิธี ตลอดถึงเจ้าหน้าที่ของงานทุกคน สวยงามกลมกลืนกันไปทั้งหมด แต่เมื่อจะเข้าไปนั่งในเต็นท์ ที่เตรียมจัดไว้สำหรับผู้ที่เดินขบวน ปรากฏว่ามีผู้ที่มิได้ร่วมขบวนนั่งเต็มไปหมดก่อนแล้ว เรื่องนี้ผู้เขียนต้องขอโทษเป็นอย่างมาก ทั้งต้องขออภัยบางท่าน ที่ห้ามมิให้เข้าไปในปะรำพิธี

ท่านที่มีการกระทบกระทั่งกันในวันนั้น หรือในงานที่แล้วๆ มาทั้งหมด (รวมทั้งคนที่ร่วมงานกับผู้เขียนด้วยนะ) ถ้าเห็นแก่คำเตือนของหลวงพ่อเป็นสำคัญ ตามที่นำมาให้อ่านนี้ ขอให้ปรับความเข้าใจกันเสียใหม่ โปรดได้ยกโทษและอโหสิกรรมกัน เพื่อจะได้ไม่เป็นเวรเป็นภัย ที่จะเป็นอันตรายต่อการบรรลุมรรคผล ในขณะที่จิตใกล้จะดับ

ทั้งนี้ ขอร้องเฉพาะท่านที่ปรารถนาจะไปพระนิพพานในชาตินี้เท่านั้นนะ ส่วนท่านที่ยังอยากเกิดอีก ก็จงอาฆาตจองเวรต่อไป จงอย่าให้อภัยซึ่งกันและกัน จงถือตัวถือตน ด้วยมานะทิฏฐิที่หยาบกระด้าง จงอย่าพูดจาไพเราะ จงอย่าช่วยเหลือการงานผู้อื่น และจงสร้างความเลวทุกอย่างให้เต็มที่

คงจะเป็นเหมือนอย่างที่หลวงพ่อเคยพูดว่า ข้าเกิดมาหวังสงเคราะห์คน ๒ ทาง ผู้เขียนได้ฟังก็มีความสนใจ ปรากฏท่านบอกว่า ไม่สงเคราะห์คนให้ไปนิพพานก็ไปอเวจีเลย เพราะถ้ามันชั่วแล้วก็ให้มันลงไปให้หนัก

จึงขอให้ทุกคนอย่าประมาท คิดว่าเราจะไปได้ในชาตินี้ คิดว่าตอนต่อๆ ไป ถ้ามีจังหวะจะนำ “มรดกธรรม” ของท่าน ตามที่ท่านเคยบอกไว้ตั้งแต่สมัยยังมีชีวิตอยู่ว่า ถ้าข้าตายไปแล้ว แม้แต่ลายเซ็นก็ยังมีค่า

แต่ว่านี่มีความสำคัญยิ่งกว่าลายเซ็น คิดว่าจะนำมาอภินันทนาการแด่ผู้อ่านทุกท่าน เนื่องในวาระถิดีขึ้นปีใหม่ ๒๕๔๔ ซึ่งชาวไทยต่างก็ผ่านพ้นวิกฤตการณ์มาได้ นับตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ เป็นต้นมา ทั้งนี้ ด้วยคำพยากรณ์ต่างๆ ที่บอกว่าโลกจะเกิดภัยพิบัติทั้งหลาย บางประเทศจะจมหายไปจากแผนที่โลก

ฉะนั้น การที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ได้ แม้จะต้องผ่านกับเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองมาตั้งแต่ ปี ๒๕๔๐ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ด้วยความดีแห่ง พระคาถาเงินล้าน ก็ดี ด้วยผลบุญที่กระทำต่อเนื่องกันมาก็ดี ประกอบกับอานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัย เทพไท้เทวาทั้งหลาย ตลอดถึงพระบารมีของพระมหากษัตริย์เจ้า และคุณความดีที่เรามีความกตัญญูต่อผู้มีอุปการคุณทั้งหลาย จึงทำให้รอดปลอดภัยมาได้ถึงทุกวันนี้

แต่จะรอดตลอดไปหรือไม่ก็ยังไม่แน่ เพราะว่าทุกคนหนีกฏของกรรมไปไม่พ้น แต่จงอย่าสร้างกรรมที่เป็นอกุศลใหม่ให้เกิดขึ้น แล้วเราจะมีความสุขอย่างแน่นอน หลังจากดับสิ้นสังขารไปจากโลกนี้แล้ว...สวัสดี.

« 1 | 2 l 3 | 4 | 5 | 6 »