ตามรอยพระพุทธบาท

เพราะเหตุใด..จึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษาทุกปี (ตอนที่ 10)
webmaster - 6/3/08 at 15:22

(Update 22 ก.ย. 51)

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »


ตอนที่ 10

หลวงตามหาบัวเล่าเรื่อง "อาจารย์สิงห์ทองกับพญานาค"

"........ ท่านอาจารย์สิงห์ทอง เป็นลูกศิษย์ของ ท่านอาจารย์มั่น ต่อมาจึงได้มาอยู่ศึกษาอบรมกับหลวงตา ท่านมีนิสัยกล้าหาญไม่กลัวอะเรง่ายๆ แต่คราวนี้ท่านไปพบเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่งเข้า ท่านจึงบอกท้าพวกที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริงให้ไปลองพิสูจน์ดู "หลวงตา" เล่าเรื่องนี้ไว้ว่า
".......แล้ว ท่านสิงห์ทอง ยังอยากจะให้พวกนักวิทยาศาสตร์เก่งๆ ว่าไม่มีผีไม่มีอะไรให้ไปอยู่ภูเขาลูกนั้น ภูเขาลูกนั้นเราก็เดินผ่านไปผ่านมาอยู่ มันเป็นตีนเขา ข้างบนมีถ้ำอยู่ ๒ ถ้ำ มีหลวงตาองค์หนึ่งอยู่ทางนั้นถ้ำหนึ่ง แล้วเป็นซอกเขาลงมาน้ำไหลลงมาตรงนี้ แล้วมีอีกถ้ำหนึ่ง ครั้นเวลามีพระมาใหม่มาเยี่ยมมาพักอยู่ถ้ำนี้ ผีนั้นก็ลงมาจากโน้นนะ จากภูเขา

บนหลังเขานั้นมีแอ่งน้ำอยู่ ไหลอยู่ทั้งแล้งทั้ฝนหากไม่มากนะ หากไหลอยู่... ทั้งแล้งทั้งฝน เขาเขียนประกาศติดไว้ว่าไม่ให้ผู้หญิงลงอาบน้ำนั้น ถ้าผู้หญิงลงอาบ น้ำนั้นจะเหม็นคลุ้งไปหมดเลย เขาห้ามเขาเขี้ยนประกาศติดเอาไว้ ถ้าต้องการก็ให้ตักเอามาดื่มมากินมาอาบ ห้ามไม่ให้ลงไปอาบ นั่นละเป็นความจริงถึงขนาดนั้นละ น้ำเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าผู้หญิงลงไปอาบน้ำนี้เหม็นคลุ้งไปหมดเลย

มีพญานาคอยู่ที่นั่น... หลวงตาองค์นั้นท่านอยู่นั้นเป็นประจำ ท่านชินกับสัตว์ตัวนี้พอแล้ว มันลงจากภูเขาเหมือนกับเราลากต้นตาลทั้งต้น เอาต้นตาลทั้งต้นลากลงมาเสียงซ่าๆ ลงมา มันค่อยลงนะ ซ่าๆ ลงมาซอกเขานี่ หลวงตาองค์นั้นอยู่ทางด้านนั้น ท่านอยู่ถ้ำนั้นเป็นประจำ แล้วถ้ำนี้คนมาพักบ่อยๆ พระน่ะ

ถ้าใครมาพัก พระมาใหม่ไม่ว่าพระองค์ไหนมาจากไหนก็ตามเถอะ ตัวนี้เขาจะลงมาถามข่าว ทีนี้หลวงตาก็เลยสั่งบอกไว้ กลัวว่าพระจะกลัว คือกลัวท่านสิงห์ทองจะกลัว ท่านสิงห์ทองเป็นพระขี้ดื้อ นิสัยกล้าหาญจี้ดื้อ จึงได้หมอบราบกับผีนั้นละซี พูดท้าทายเลยเทียวนะ ใครเก่งว่าผีไม่มีแล้ว ให้มาตรงนี้ถ้าไม่อยากเผ่นกลางคืน ทีนี้พอมาถึง ผู้เฒ่าก็บอก

'คุณหลานเอ๊ย พี่น้องจะลงมาเยี่ยมนะตอนค่ำวันนี้ เพราะคุณหลานมาใหม่เป็นพระอาคันตุกะ เป็นแขกมาเยี่ยม แล้วไอ้ตัวอยู่ข้างบนเขามันจะลงมาถามข่าวถามคราว ไม่ต้องกลัวนะ เขาจะลงมาธรรมดา

แต่เวลาเขาลงมาก็เหมือนลากต้นตาลทั้งต้น ลากลงมาซ่าๆ เวลาขึ้นก็ซ่าๆ ลงไปตีนเขาแล้วเขาหายเงียบนะ พอไปแค่นั้นเงียบ เวลาขึ้นมาก็ซ่าๆ เวลาขึ้นมาไม่ทำก็มี แล้วแต่เขาจะทำ เขาจะทำแบบไหน เขาทำได้'

พอดีท่านสิงห์ทองมาเหนื่อยๆ เดินทางมาไม่มีรถยนต์ พอมาถึงที่นั่นก็เข้าพัก ผู้เฒ่าก็สั่งเสียไว้เรียบร้อยกลัวผีนั้นละ ทางนี้เข้าใจแล้วก็นอนประมาณ ๓ ทุ่ม คนจะตายเดินทางทั้งวันเหนื่อยมากเลยนอนเสียก่อน ถึงจะลุกขึ้นเดินจงกรม พอนอนหลับไปเสียงฮ่อๆ อยู่หัวเตียง งูเหมืองูใหญ่เรานี่ขนาดเท่าต้นสนนี่แหละ เสียงมันฮ่อๆ อยู่บนหัวเรานี่ ทางท่านสิงห์ทองนั้นก็เรียก
'หลวงพ่อๆ'
'แม่นหยัง'
'มันเสียงงูใหญ่มาอยู่นี่แล้ว'
'มันบ่แม่น เสียงที่บอกนั่นละอย่าไปกลัว'
'บ่กลัวยังไงมันจะงับผมอยู่เดี๋ยวนี้' เสียงดังฮ่อๆ น่ะซิ 'มันจะงับผมอยู่เดี๋ยวนี้ มันจะกลืนผม'
'ไม่กลืนไม่ต้องกลัว มันเคยอย่างนั้นละ จะเป็นไรไป เชื่อหลวงพ่อเถอะ เพราะหลวงพ่อเคยอยู่นั้นมานานแล้วนี่นะ'
'จะเชื่อได้ยังไงมันจะกินคนนี่'

เลยเรียกให้พระมาด้วยองค์หนึ่งนอนอยู่ทางโน้น ถ้ำมันยาวนอนอยู่ทางโน้น เรียกพระองค์นั้นให้จุดไฟใส่โคมมา แขวนมาแล้วเอาไม้ยาวๆ มา จะหิ้วมานี้ไม่ได้เดี๋ยวจะมาเหยียบงู เอาไม้ยาว ๆ แล้วเอาโคมไฟห้อยมาถือมายาวๆ คนไปเรื่อยฉายไปเรื่อย พอคนมาถึงเตียง มันก็หายเสีย เงียบเลยเสียง ฮ่าๆ ไม่ได้ยินอะไร หายเงียบ คนจึงกลับไป พอกลับไปสักเดี๋ยวขึ้น มีเสียงขึ้นอีกแล้ว
'...มาอีกแล้ว...'

คนนั้นเลยจุดไฟมาหางูทั้งคืน จุดไฟมาแบบนั้นละ กลัวจะมาโดนงูเข้า เพราะเสียงใหญ่เสียงโตมากนี่นะ พอมาก็ไม่เห็นมีอะไร อยู่ได้คืนเดียวเท่านั้นละท่านสิงห์ทอง
'ทำไมล่ะ?'
'กลัวละซิ ยอมรับว่ากลัว กลัวจริงๆ โห เหมือนมันจะกลืนเราทั้งคนนี่นะ ตัวมันจะขนาดเท่าลำตาล'
งูตัวนี้ "พญานาค" พอตื่นขึ้นมาไปลาหลวงตา 'ว่าอย่างไรล่ะลูก?'
'โอ๊ย กลัวงูอยู่ไม่ได้แล้ว'
'ไปกลัวมันทำไม? หลวงพ่ออยู่นี้มานานแสนนานรู้เรื่องของมันหมด ไม่มีอะไรแหละ อย่าไปกลัวเลย'
'โอ๊ย กลัวๆ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว'

ใครเก่งว่าผีไม่มีให้มา ถ้าไม่อยากเผ่นกลางคืน เอาจริงๆ นี่ นั่นละ เสียงมันเป็นอย่างนั้นเวลามันแสดง...พญานาค มาเล่าให้อาจารย์หมออวย (ศ.นพ.อวย เกตุสิงห์ อาจารย์แพทย์ศิริราช) ฟัง โอ๊ย..ตั้งใจฟังสนใจฟังอยากจะไปด้วยนะ อยากจะไปดูสภาพเป็นยังไง อยากไปดูเป็นกำลัง แต่ไม่มีเวลาพอที่จะไปดูได้ ไปดูถึงที่เลย ไปดูเหตุการณ์จริงๆ เป็นยังไง ไปดูก็เห็นจริงๆ นั่นแล้ว เพราะเป็นอย่างนั้นมาเป็นประจำ ว่าขอแต่แขกคนมาที่นั่น พอตกกลางคืนเขาจะลงมา เขาก็ไม่ทำไมละ ลงมาถามข่าวธรรมดา

แต่เสียงมัน...ทำได้แปลกๆนะ แบบงูก็ได้ แบบเสือก็ได้ แบบไหนได้หมดไม่ใช่มีแบบเดียว ที่มันน่ากลัวคือมันหลายแบบนั่นเอง บางทีเหมือนเสือ เห่อๆ ใกล้ๆ ข้างถ้ำ 'เสือมายังไง' ว่าอีกละ 'มันไม่ใช่เสืออันนั้นละ' ว่าอันนั้นก็เข้าใจกัน

อาจารย์หมออวยอยากไปเป็นกำลัง โฮ้..ซักท่านสิงห์ทองใหญ่เลยเทียวนะ ท่านสิงห์ทองเล่าให้ฟัง ทีนี้ท่านสิงห์ทองก็เป็นพระกล้าหาญด้วยไม่ใช่เป็นพระออดแอดพระโกโรโกโสนะ ท่านพูดมันน่าฟัง เราเองก็เชื่อเพราะเชื่ออยู่ก่อนนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้ 'โห มันน่ากลัวจริงๆ นะ' ท่านว่า

'ตัวมันขนาดเท่าลำตาลแล้วมันขู่ฟ่อๆ อยู่บนหัวเราใกล้ๆ ฝ่ามือเดียวเท่านั้น มันเหมือนจะกลืนเอาเลย เสียงฮ่อ ๆ แต่มองหาตัวไม่เห็น ครั้นเวลาจุดไฟมาหาไม่เห็น ไปไหนก็ไม่รู้ พอดับไฟสักเดี๋ยวขึ้นมาอีกแล้ว'
เขาเรียก "ภูทอก" เราเคยผ่านไปผ่านมา เราเที่ยวกรรมฐาน แต่ไม่เคยขึ้นพักถ้ำที่ว่า..."

ที่มา - เว็บ goldfish.wimutti.net



พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
พบพญานาคที่แม่น้ำหลังสวน จ.ชุมพร

".......การธุดงค์ครั้งที่ 2 มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์เปลี่ยน ได้ไปพักอยู่ วัดอาจารย์เฮ้ง อ.เมือง จ.ชุมพร กางกลดอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ได้เห็นวิธีการสอนกัมมัฏฐานของอาจารย์เฮ้ง ซึ่งใช้ธูปจุดไฟติดดีแล้ว ก็นำไปแกว่งที่หน้าของผู้มาฝึกปฏิบัติทุกคน ต่อมาก็นำไฟออกจากโคมไปแกว่างที่หน้าของผู้มาฝึกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ได้เห็นแสงสว่างหรือนิมิตได้เร็วขึ้นเมื่อเห็นแสงแล้วจิตจะรวมลงได้เร็วขึ้น

..........พระอาจารย์เปลี่ยนและคณะได้ธุดงค์ต่อไปถึง วัดโพธิ์ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ซึ่งท่านภาวนาได้ดีขึ้น เห็น พญานาค มาเฝ้าดูท่านอยู่ในแม่น้ำ (แม่น้ำหลังสวน) หลังจากนั้นได้ไปพักอยู่ถ้ำเขาทอง
อ.หลังสวน ซึ่งมี ค้างคาวมาก ได้ 4 วัน มีชาวบ้านแถวนั้นบอกว่ามีเหล็กไหลอยู่ในถ้ำชี ก็ได้ไปสำรวจเหล็กไหลที่ถ้ำชีซึ่งอยู่ใกล้กันแต่ไม่พบ จึงธุดงค์ต่อไปถึงวัดนาบุญ (วัดนาบอน) สถานีคลองขนาน
จ.ชุมพร แล้วตรงไป จ.สุราษฎร์ธานี พักที่วัดแห่งหนึ่งในเมือง เป็นวัดมหานิกาย แล้วธุดงค์ต่อไปถึงวัดโคกสะท้อน อ.ทุ่งสง
จ.นครศรีธรรมราช

การออกธุดงค์ครั้งที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์เปลี่ยนได้ชวนสามเณรองค์หนึ่ง เดินธุดงค์ไปพักปฏิบัติธรรมอยู่วัดป่าสะลวง บ้านสะลวงนอก ต . สะลวง อ . แม่ริน จ . เชียงใหม่ จนกระทั้งถึงเดือนกุมภาพันธ์ ท่านนึกถึงพระพุทธบาทสี่รอยซึ่ง หลวงปู่ตื้อ เล่าให้ฟัง จึงอยากจะไปกราบนมัสการ พระพุทธบาทสี่รอย ต . สะลวง อ . แม่ริม จ.เชียงใหม่ (สมัยนั้นยังเป็นวัดร้าง และถนนก็ยังเป็นทางธรรมชาติอยู่)

เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว จึงสะพายบาตรแบกกลด พร้อมอัฐบริขาร ออกเดินทางกับสามเณรองค์หนึ่ง จาก อ . แม่แตง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ผ่านบ้านกาวฮาว บ้านหนองแหวน บ้านหนองกาย แล้วเดินเข้าป่า ขึ้นเขาลงห้วยไปตามความสูงของเขาที่ผ่าน อาศัยด่านสัตว์และทางม้าต่างโคต่างของชาวบ้าน ที่เดินกันอยู่ในขณะนั้น เขาบางลูกสูงมากต้องพักกัน 3 ครั้ง ครั้งที่ 4 ต้องต่อยๆ เหนี่ยวกิ่งไม้ขึ้นไป บางครั้งต้องช่วยกันฉุดขึ้นไปสามเณรที่ติดตามไปด้วย เกิดท้อถอย

แต่พระอาจารย์เปลี่ยนพูดปลุกปลอบใจว่า เรามุ่งหน้ามาหาความสงบ ต้องการพ้นจากทุกข์ทั้งปวง จึงต้องอดทนไม่ท้อถอย ครุบาอาจารย์ท่านยังทำได้ เราเป็นศิษย์ต้องทำให้ได้อย่างอาจารย์ ทำให้สามเณรเกิดกำลังใจ เมื่อเดินพ้นเทือกเขาที่สูงที่สุดแล้ว มองลงมาเห็นหมู่บ้านแม่แตงลิบๆ การเดินทางลงเขาก็ต้องระมัดระวังเท่ากับการขึ้นเขาเหมือนกัน ถ้าพลาดพลั้งตกเขาก็จะบาดเจ็บได้ เมื่อลงมาถึงข้างล่างได้พบลำธารซึ่งมีน้ำใสไหลเย็น จึงหยุดพักผ่อน เติมน้ำจนเต็มกระติก แล้วเดินทางต่อไป

การเดินทางในช่วงหลังนี้ ค่อนข้างจะง่ายกว่าช่วงแรก ๆ เขาทีต้องเดินข้ามไม่สูงชันนัก บางครั้งเดินผ่านสวนเมี่ยงของชาวไร่ บางครั้งเดินเลียบลำธาร แต่เป็นทางเดินสะดวกจากบ้านสะลวงจนถึง "พระพุทธบาทสี่รอย" เมื่อเวลา 6 โมงเย็นวันเดียวกัน รวมเวลาเดินทางทั้งสิ้น 9 ชั่วโมง ปรากฏว่าอากาศที่นั่นเย็นมาก และเริ่มมืดลง เมื่อนั่งพักใต้ต้นไทรหน้าวิหารจนหายเหนื่อยแล้ว จึงสำรวจพระพุทธบาทสี่รอยอย่างคร่าว ๆ

เชื่อว่าเป็น "พระพุทธบาทสี่รอย" จริงของพระพุทธเจ้า

เชื่อกันว่าพระพุทธบาทสี่รอยเป็นรอยพระพุทธบาทองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ตรัสรู้ในภัทรกัปนี้ แต่ละองค์ได้มาประทับรอยไว้ เพื่อให้ประชาชนในยุคหลังได้กราบไหว้ รอยพระพุทธบาททั้งสี่ซ้อนกันอยู่บนแท่นหินสูงจากดิน รอยใหญ่อยู่ข้างบน รอยขนาดย่อมกว่าจะอยู่ลึกลงไปเป็นชั้น ๆ นับได้สี่รอย มีวิหารหลังใหญ่ปลูกคร่อมพระพุทธบาทสี่รอยไว้ ( ซึ่งครูบาศรีวิชัยได้สร้างขึ้น ขณะท่านไปก่อสร้างและบูรณะวัดต่างๆ ที่เชียงใหม่ )

วิหารมีสภาพทรุดโทรมมาก ไม่มีคนดูแลและบำรุงรักษา เนื่องจากความเมื่อยล้าและอากาศหนาวเย็น พระอาจารย์เปลี่ยนจึงงดสรงน้ำ และได้ขึ้นไปทำวัตรสวดมนต์เย็นในวิหารตรงรอยพระพุทธบาท นั่งทำความเพียรแล้วก็ต่างเข้ากลดในบริเวณวิหารนั่นเอง ตกดึกอากาศหนาวเย็นมากขึ้นต้องใช้มุ้งกลดมาคลุมห่อร่างกาย ส่วนสามเณรต้องลุกขึ้นมาก่อไฟสู้กับอากาศหนาวพระอาจารย์เปลี่ยนจึงจำวัดได้เพียงชั่วโมงเศษ ก็ต้องลุกขึ้นมาปฏิบัติความเพียรต่อ ที่พระพุทธบาทสี่รอยในปีนั้น เป็นปีที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุด ที่ท่านได้พบมาในชีวิตการเดินธุดงค์

รุ่งขึ้นเช้าได้ออกบิณฑบาตใกล้ ๆ กับพระพุทธบาทสี่รอย มีชาวบ้านใส่บาตรเพียง 3 บ้าน ได้กล้วยมา 2 ลูก และข้าวเหนียวเล็กน้อย ด้วยความสงสารสามเณรที่ยังต้องเจริญเติบโต ต้องการอาหารมากว่า พระอาจารย์เปลี่ยนจึงแบ่งข้าวเหนียวและกล้วย 1 ลูกครึ่งให้สามเณร ตัวท่านเองฉันกล้วยเพียงครึ่งลูกเท่านั้น

เมื่อฉันอาหารเสร็จและปฏิบัติกิจของสงฆ์แล้ว ได้สังเกตดูเห็นว่า พระพุทธบาทสี่รอยเต็มไปด้วยใบไม้และหญ้า จึงคิดจะทำความสะอาดรอยพระพุทธบาท แต่มีป้ายติดห้ามคนลงไป ท่านจึงได้ยกเหตุผลต่าง ๆ ขึ้นมาพิจารณา แล้วกราบลงข้างรอยพระพุทธบาทอธิษฐานว่า ท่านมีความปรารถนาจะลงไปทำความสะอาดรอยพระพุทธบาททั้งสี่รอยนี้ให้แลดูสวยงามขึ้น ขออย่าให้การล่วงละเมิดครั้งนี้ต้องเป็นบาปกรรมเลย และขอให้งดโทษและอโหสิกรรมแก่ท่านด้วย

อธิษฐานเสร็จแล้วจึงก้มลงกราบแล้วปีนขึ้นไปที่รอยพระพุทธบาทรอยเล็กซึ่งอยู่ล่างสุด เก็บเศษใบไม้ ใบตอง หยากไย่ และเช็ดถูจนสะอาดแล้ว จึงปีนลงมาข้างล่างก้มกราบอีกครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นท่านได้พิจารณาบริเวณโดยรอบซึ่งมีต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด จึงได้ขอยืมขอบก ( จอบ ) จากชาวบ้านมาให้สามเณรดายหญ้าจนเสร็จในตอนเย็น แล้วพระอาจารย์เปลี่ยนก็ใช้บริเวณข้างวิหารเป็นที่เดินจงกรม

ขณะเดินจงกรมจะมีงูตัวแดง ๆ ยาวประมาณ 75 เซนติเมตร มีหงอนด้วย ( ทราบภายหลังว่าเป็นงูเห่าไฟ ) มานอนอยู่ในทางเดินจงกรมเกือบตลอดเวลา บางตัวนอนอยู่ บางตัวก็เลื้อยข้ามไป ท่านไม่กลัวจึงเดินข้ามและได้แผ่เมตตาให้งูเหล่านั้น

พระอาจารย์เปลี่ยนพักอยู่ที่พระพุทธบาทสี่รอยได้ระยะหนึ่งก็มีหลวงแก่ๆ จากบ้านหนองกาย มาพักปฏิบัติธรรมด้วยวันหนึ่ง ท่านได้ไปสนทนากับหลวงตาและสามเณร ปรากฏว่ามีงูสองตัวเลื้อยตามไปขดตัวอยู่ในซอกหิน และยกหัวขึ้นฟังคำสนทนาจนกระทั่งเลิกเป็นเวลาถึง 3 ชั่วโมง

เป็นที่น่าสังเกตว่างูจะมาอยู่ในทางเดินจงกรมของท่านเพียงองค์เดียว ไม่ไปขวางทางเดินจงกรมของหลวงตาหรือของสามเณรเลย และตั้งแต่สามเณรทำความสะอาดบริเวณพระพุทธบาทแล้ว มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ว่าจะไปธุดงค์ที่ใดไม่เคยเจ็บป่วย ซึ่งคงจะเป็นอานิสงค์จากการทำความสะอาดครั้งนี้ก็ได้..."

ที่มา - เว็บ khwunchai.is.in.th

« | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
| 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | »