ตามรอยพระพุทธบาท

"หลวงพ่อ" สนทนาธรรมกับ "หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก" เมื่อ 24 มี.ค.2518
webmaster - 5/3/08 at 02:07

(สนทนากันที่ วัดพระธาตุจอมกิจจิ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2518)





(หน้า A)


หน้า B




ประวัติวัดพระธาตุจอมกิจจิ

จาก..หนังสือตามรอยพระพุทธบาท เล่ม ๑




วัดพระธาตุจอมกิจจิ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เดิมเป็นพระธาตุร้าง ต่อมา หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก ได้มาบูรณะเอาไว้ พร้อมกับนิมนต์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพร้อมกับ หลวงปู่บุญทึม วัดจามเทวี มาเมื่อ วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๑๘ ครั้งนั้น ผู้เขียนยังไม่ได้บวช จึงได้มีโอกาสมาด้วย กำนันที่นั่นเล่าว่า บนดอยนี้เดิมเป็นที่รกร้าง แต่มีชาวบ้านเห็นเป็นแสงสว่างจ้าปรากฏในเวลากลางคืน ซึ่งมีคนเห็นหลายคนในบริเวณไม่ไกลจากดอยนั้น ต่างก็พูดตามที่ตนเห็นตรงกัน

ต่อมาก็มีพระธุดงค์องค์หนึ่งท่านทราบด้วยญาณว่า บนดอยแห่งนี้มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ จึงดำริที่จะสร้างวัดขึ้นบนดอยแห่งนี้ ปรากฏว่าได้รับแรงสนับสนุนจากชาวบ้านแถบนั้น ซึ่งมีกำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ ร่วมใจกันแผ้วถางทางเพื่อให้รถขึ้นบนดอยได้สะดวก และจัดการสร้างพระเจดีย์ไว้ ณ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แสงสว่างที่ปรากฏนั้น ท่านว่าเป็นเพราะปาฏิหาริย์ของพระธาตุ

พระธุดงค์ท่านเล่าต่อไปว่า สถานที่บนดอยนี้ เคยเป็นวัดมาก่อนประมาณ ๓๐๐ ปี ซึ่งจะสังเกตได้จากพื้นดินปรากฏมีเศษกระเบื้องชิ้นเล็กๆ อยู่กลาดเกลื่อน บนดอยแห่งนี้เคยสร้างเป็นวัดมา ๒ วาระแล้ว ครั้งนี้เป็นวาระที่ ๓ ซึ่งท่านมีหน้าที่จะต้องสร้างเป็นครั้งสุดท้าย

กำนันผู้นั้นเล่าให้ฟังต่อไปว่า สมัย ครูบาเจ้าศรีวิชัย ยังมีชีวิตอยู่ ได้เคยอาราธนาท่านมาสร้างวัด แต่ท่านปฏิเสธพร้อมกับบอกว่า สถานที่นี้ต้องรอเจ้าของเขามาสร้าง ซึ่งจะเป็นศิษย์ของท่านเอง โดยจะเริ่มสร้างในปี ๒๕๑๘

กำนันบอกว่าตรงกับคำทำนายไว้ทุกประการ ส่วนพระธุดงค์องค์นั้นท่านเล่าต่อไปว่า สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาสถานที่นี้หลายครั้ง เพราะพระองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่า ศาสนาของพระองค์จะมาสืบต่อ ณ ประเทศสยาม

ด้วยเหตุนี้เอง ชาวบ้านทั้งหลายโดยการนำของพระธุดงค์รูปนั้น ซึ่งมีนามว่า หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก ศิษย์ผู้ใกล้ชิด
ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย จึงได้สร้างวัดขึ้นในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และจะตั้งชื่อวัดนี้ว่า
“ วัดพระธาตุจอมกิจจิ ”

เพราะฉะนั้น หลวงพ่อพร้อมด้วยคณะ ซึ่งได้ไปดูสถานที่ด้วยตนเองแล้ว จึงให้การสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ จึงมีการเดินทางอีกครั้งหนึ่งเมื่อ วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๑๘ เพื่อไปบำเพ็ญกุศลอันยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสที่หลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติเป็นเวลา ๗ วัน

บัดนี้ นับเป็นโอกาสอันดี ที่จะเผยแพร่เทปบันทึกการสนทนาระหว่าง หลวงพ่อ กับ หลวงปู่ชุ่ม โดยมี หลวงปู่บุญทึม นั่งอยู่ด้วย ซึ่งคำสนทนานี้ยังไม่เคยลงหนังสือเล่มไหนมาก่อน ณ วัดพระธาตุจอมกิจจิ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๘





คำสนทนาระหว่าง หลวงพ่อ กับ หลวงปู่ชุ่ม และ หลวงปู่บุญทึม




หลวงพ่อ - “ หลวงปู่เล่าประวัติให้ฟังซิครับ ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ วันนี้อาตมาขอเจริญพรท่านพระเดชพระคุณเจ้า และทายกทายิกาทั้งหลายทุกท่าน มีท่านพระเดชพระคุณเจ้าเป็นหัวหน้า ที่ได้ออกเดินจรมา อ้า..ตามกันมาทำบุญทำทาน และปรารถนานาบุญโชคลาภอันนี้ ก็ได้เข้ามาที่ดอยกิจจินี้

อาตมามีความปลื้มอกปลื้มใจปราโมทย์ด้วยหลาย หลายอย่างหลายประการ พระบรมธาตุในสถานที่นี้อาจจะสำเร็จด้วยคราวนี้ พระเดชพระคุณเจ้านำพวกญาติโยมทั้งหลายเข้ามาในสถานที่นี้ แต่ว่าดอยกิจจิเป็นมาอย่างไร อาตมาก็ยังไม่รู้ซึ้ง อาตมาก็อยู่ในจังหวัดลำพูน คือที่นี่เป็น อำเภอสันทราย จังหวัดลำพูนก็ซ้อนกับเชียงใหม่ ก็ขึ้นมาประจำอยู่ที่นี่ในราวสักเดือนกว่าๆ แล้วก็มาได้สร้างพระบรมธาตุ สร้างศาลา และได้สร้างพระนอนอันนี้

พระบรมธาตุนี้ ปางเมื่อพระพุทธองค์เราเสด็จมาถึงที่นี้ ครั้งที่หนึ่งจะมาวางประทับเหยียบย่ำที่นี่ก็ไม่มีอันใดจัก
เกิดขึ้น พระพุทธเจ้าก็กลับไปโปรดเบื้องหน้าทิศหนึ่ง ครั้นมาครั้งที่สองก็เข้ามาในสถานที่นี้มาลูบหัวก็ไม่ได้เกศาอะไร
พระพุทธเจ้าก็เลยลอยขึ้นด้วยอิทธิฤทธิ์ แล้วก็เปล่งรัศมีออกไปสี่ทิศ มีพระพุทธรูปสี่องค์ องค์ที่หนึ่งที่สองเอาหลังเข้ามาบ
ด้วยกันแล้ว เบนหน้าไปสองทิศ คือทิศตะวันตก และทิศตะวันออก

องค์ที่สองก็เบนหน้าขึ้นเหนือล่องใต้ มีพระอินทร์มารับเอาที่พระเนรมิตนั้นแหละฝังลงในพระบรมธาตุเจ้าลึกอยู่
สิบสองศอก เป็นที่สักการบูชาแก่คนและเทวดา ในฐานะที่พระบรมธาตุเจ้านี้เป็นที่พระเนรมิตด้วย อีกอย่างหนึ่ง อาตมาก็จะสร้างพระไสยาสน์ คือพระนอน ก็ยาวสิบสองศอกเท่าพระเนรมิตด้วย

อาตมาก็สืบประวัติมาถึงแค่นี้แหละ แล้วก็มีพระอยู่ ๓ รูป รูปที่ ๑ ก็มาสร้างพระบรมธาตุนี้ก็เสร็จไปแล้วก็โทรมลง
ไปอีก ถึงครั้งที่ ๒ ที่พระมาสร้างพระบรมธาตุนี้ก็กลับมาโทรมไป พอถึงครั้งที่ ๓ ก็จะมาเป็นใครก็ไม่รู้ละ ก็จะขออาราธนาพระเดชพระคุณเจ้ามาเป็นหลักฐานอยู่ที่นี่...”

หลวงพ่อ - “ ไม่ได้น่ะ เอาคนมาเป็นหลักมันเป็นได้เหรอ..? ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ครับ ”

หลวงพ่อ - “ ก็มีอยู่แล้ว..หลวงปู่ชุ่ม นั่นแหละนะ หลวงปู่ก็เป็นหลักอยู่แล้วไม่เป็นไรครับ ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ที่พระบรมธาตุเจ้านี่ อาตมาก็ได้เข้ามาอยู่ในสถานที่นี้ มาพัฒนาอยู่ที่นี้ก็ยังไม่นานสักเท่าไหร่ ก็ได้เดือนกว่าๆ พระบรมธาตุเจ้าก็เสร็จไป และศาลาหลังหนึ่งก็เสร็จไป แล้วก็ยังอยู่พระไสยาสน์นั่นแหละ ยังไม่ลงมือทำ ก็จะทำกันวันนี้ จึงนับว่าเป็นปรารถนานาบุญโชค โชคดี พระเดชพระคุณเจ้าได้นำพวกญาติโยม ทายกทายิกา เข้ามาในจอมกิจจินี้
ก็นับว่ากระผมก็มีความปลื้มอกปลื้มใจในคราวนี้ ขออนุโมทนาสาธุการทุกสิ่งทุกประการด้วย ”

ฆราวาส - “ มีชาวบ้านที่อยู่ข้างล่างเห็นบ่อยๆ ว่ามีแสงขึ้น ”

หลวงพ่อ - “ ไอ้นั่นอาจจะเป็นไปได้ คนใกล้ๆ ก็ไม่รู้เป็นไปได้ ที่ว่าปาฏิหาริย์นี่ ท่านอาจจะแสดงให้เฉพาะบุคคลบางเหล่าเห็นนะ ”

ฆราวาส - “ เป็นแสงพุ่ง ”

หลวงพ่อ - “ เป็นแสงสว่างขึ้นเหรอ? ”

ฆราวาส - “ ครับ ”

หลวงพ่อ - เอ..ปรากฏเป็นขึ้นเฉยๆ หรือว่า จะเป็นดวงดาวลอยมีมั่งมั๊ย? ”

ฆราวาส - “ ก็..มันเป็นแสงพุ่งขึ้นไปนะครับ ”

หลวงพ่อ - “เออ..งั้นใช้ได้ เคยเห็นเหมือนกัน ที่เป็นแสงพุ่งนี่ก็เคยเห็น เคยเห็นที่ จังหวัดประจวบฯ ที่ เกาะยายฉิม
คืนนั้นไปนอนอยู่กลางดึก ฉันตื่นขึ้นมาเห็นแสงสว่างพุ่งขึ้นมา สว่างจัดนะ สว่างมาก เออ..ก็ดี ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ ก็เป็นนิมิตน่ะ ในนั้นต้องมี พระบรมสารีริกธาตุ หรือว่า จอมเกศา แน่ ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ใช่ครับ ”

หลวงพ่อ - “ ดอยนี่ก็สูง หลวงปู่ทำทางขึ้นมาเองเรอะ? ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ทำทางมาเองพวกญาติโยมเขา.. ”

เมื่อหลวงพ่อสนทนากับหลวงปูชุ่มจบ ในตอนนี้ หลวงพ่อท่านได้หันไปถาม หลวงปู่บุญทึม บ้าง (ภาพประกอบจาก หนังสือของคณะอินทราพงษ์ ตามภาพ คือ หลวงพ่อ - หลวงปู่ชุ่ม - หลวงปู่บุญทึม)



หลวงพ่อ - “ ครับๆ หลวงปู่ดีแล้วไปได้ไม้ เท้าครูบานะ (ไม้เท้าของครูบาศรีวิชัย) เอ๊ะ.. หลวงปู่ทึมได้อะไรที่ครูบาไว้ครับ..เห็นโลงตั้งข้างนี่ ”

หลวงปู่บุญทึม - “ ไม่มีอะไร ”

หลวงพ่อ - “ ไม่มีอะไร..เห็นโลงหีบตั้งข้าง ตั้งอยู่นี่..โลงฝากใคร หรือว่าโลงฝากหลวงปู่ เอาแบบครูบาไว้ได้ บ้านหลัง
สุดท้ายไว้หลวงปู่ทึม ”

หลวงปู่บุญทึม - “ ได้บ้านหลังสุดท้าย ”

หลวงพ่อ - “ เหมือนบ้านหลังสุดท้ายนั่นนะ หลวงปู่นี่ได้ไม้เท้า ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ได้ไม้เท้า ”

หลวงพ่อ - “ เลยต้องเท้าเรื่อยไปเลย ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ครับ ”

ลูกศิษย์ - “ ตอนนี้รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑๑,๔๐๔ บาทครับ ”

หลวงพ่อ - “ ความจริงนี่ พวกเราไม่ใช่พวกจนๆ นะ..พวกรวย ถ้ากลับไปนี่รวยกันใหญ่นะ ขอให้ทุกคนจงรวยกัน เพราะว่าไปวัดไหนก็ทำบุญกันทุกวัด การทำทานแก่พระอริยเจ้าอย่างหนึ่ง แล้วก็ทำทานเพื่อพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

นี่เราบูชาพระพุทธเจ้าโดยตรงกัน เพราะว่าเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จประทับ ฉะนั้น อานิสงส์ที่จะมีมากเป็นของธรรมดา นี่กลับไปนี่ก็หากว่าใครอยากถูกหวยก็ขอให้ถูกนะ ใครอยากได้ขึ้นเงินเดือนก็ขอให้ได้ขึ้น ใครอยากค้าขายให้ร่ำรวย ก็ขอให้ร่ำรวยสมความปรารถนา แต่ใครได้มากเท่าไรก็ไม่ว่า แบ่งพระครึ่งหนึ่งดีไหมครับ? ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ครับ ”

(ขณะเดินไปรับ หลวงปู่ชุ่ม ออกมาจาก "กุฏิพระสุปฏิปันโน" สมัยนั้น "ศาลาธรรมสถิตย์" ยังสร้างไม่เสร็จ)



หลวงพ่อ - “อันนี้เป็นอานิสงส์จริงๆ นี่เราทำกันนี่ไม่มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าทำบุญหวังโน่นหวังนี่ เราทำกันมาก็เพราะว่าท่านบอกว่า ที่นี่ท่านจะสร้างเป็นวิหารทาน เราก็ทราบอยู่แล้วว่า วิหารทานนี่มีอานิสงส์สูงสุดในด้าน อามิสทาน ทั้งปวง แล้วก็สำหรับผู้รับทานก็เป็นพระบริสุทธิ์ หากว่าท่านไม่บริสุทธิ์ ท่านก็ตกนรกไปเองนะ พวกเราไม่ต้องห่วง จะตายมั๊ยล่ะหลวงปู่น่ะ?”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ไม่ตายน่ะ ”

หลวงพ่อ - “ ไม่ตาย..อ้าว..แล้วไม่ตาย..นี่แสดงว่าบริสุทธิ์นะ ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ทุก..ทุกๆ วันนี่กระผมก็หนีไปจากนรก ”

หลวงพ่อ - “ หา...! ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ อยากใคร่ไปพระนิพพาน ”

หลวงพ่อ - “ หา...! ” (หลวงพ่อแกล้งงง)

หลวงปู่ชุ่ม - “ หนี..หนีไปจากนรก อยากใคร่ พระนิพพานด้วย ”

หลวงพ่อ - “ อ๋อ..อย่างนั้นเหรอ! ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ครับ ”

หลวงพ่อ - “ ระหว่างนี้หนีนรก....อยากไป...นิพพาน ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ นิพพาน ”

หลวงพ่อ - “ ไปยัง..ไปยังครับ? ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ หา...! ” (หลวงปู่แกล้งงงบ้าง)

หลวงพ่อ - “ จะไปหรือยังล่ะ? ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ อ้อ..ยังอยู่รอญาติโยมทั้งหลายมามากก่อน ”

หลวงพ่อ - “ นี่ก็จะไปนะนี่ อ้อ... ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ จะเอาพวกญาติโยมไปด้วยกัน เป็นหมู่เป็นฝูงด้วย ”

หลวงพ่อ - “ ครับ ๆ อ๋อ... ”

ลูกศิษย์ - “ สาธุ...! ”

หลวงพ่อ - “ ได้ไปแน่นะ? ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ครับ ”

หลวงพ่อ - “ นี่ก็ต้องเป็นเรื่องธรรมดา ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ใช่ ”

หลวงพ่อ - “ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การคบคนเช่นใด ย่อมเป็นเหมือนคนเช่นนั้น ถ้าเราคบพระอริยเจ้า เราก็จะได้เป็น
พระอริยเจ้าด้วย ถ้าเราคบสัตว์นรก เราก็ได้เป็นสัตว์นรกด้วย แต่นี้หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านหนีจากนรกจะไปนิพพาน
เมื่อท่านไปได้ พวกเราไปไม่ทันก็ช่วยกันดึงสบงไว้ ทำไมล่ะ..ดึงจีวรไม่แน่น่ะ พอ มีสบงไปได้นะ ถ้าพวกเราไปดึงสบง
เข้าไว้ก่อน ไม่กล้าไปล่ะ นางฟ้าตามชั้นอยู่กราว ก็เขาผ่านน่ะ ผ่านสวรรค์นะ ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ครับ ”

หลวงพ่อ - “ เอ้อ..ถ้าฉะนั้น..เป็นอันว่าการบำเพ็ญกุศลวันนี้นะ ตอนนี้รู้สึกว่าอันนี้เรา จะพูดอานิสงส์ ต้องจัดเป็นอานิสงส์ใหญ่มาก เพราะว่าเราไม่มีเจตนาเดิมไว้ก่อน การทำบุญนี่ ถ้าราตั้งท่าทำ..เตรียมการทำนี่..เขาบอกว่าอานิสงส์ที่จะพึง
ได้นั้น ก็คือได้ด้วยกิจปกติเกี่ยวกับการ งาน

ถ้าบุญประเภทใด ทำด้วยอาการฉับพลัน โดยไม่มีการเตรียมการไว้ก่อน ท่านบอกว่าจะเป็นบุญได้ลาภลอย อย่างพวกถูกล็อตเตอรี่ หรืออยู่ๆ ชาวบ้านเขาเอาเงินมาให้ บอกลาภให้ บอกการค้าให้ อย่างนี้ไม่คิดขึ้น นี่เป็นผล เคยสังเกตมาตั้งแต่เด็ก หลวงพ่อปาน เคยบอกมา บางทีเห็นหน้าขอท่านก็ไม่เห็น

ขอทานไม่เข้ามาขอก็เรียกเข้ามารับ หนักๆ เข้าเวลาเราจะไปทางไหนมันจะอดตาย กลับได้มากกว่าที่คิดว่าจะพึงได้ ผลไม่ได้ตั้งใจ จะได้มันเอง นี่ก็เป็นอานิสงส์ นี่ก็เหมือนกัน สถานที่นี้ก็ดี ที่อื่นใดก็ดี ที่เรามาตั้งใจนมัสการ เราไม่ได้คิดว่าจะมาทำบุญกันเท่าไหร่

โดยเฉพาะสถานที่นี้ เราไม่เคยตั้งใจกันมาเลยว่าจะมา แล้วเมื่อมากันแล้ว ทุกคนก็มีศรัทธาด้วยกำลังจิตที่ศรัทธาแท้ เพราะว่าในฐานะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่แสดงว่าพวกเรานี่ เคยพบกันมาก่อน เป็นญาติมิตรกันมาก่อน และเคยร่วมบำเพ็ญบารมีกันมาในกาลก่อน..ใช่ไหมหลวงปู่? ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ใช่ ”

หลวงพ่อ - “ถึงได้มาพบกันเข้าแล้วก็ตั้งใจ บำเพ็ญกุศลอย่างนี้เรียกว่า “ทำบุญกุศลด้วยอาการของการฉับพลัน” ฉะนั้น อานิสงส์ที่จะพึงได้ ก็ได้ในฉับพลันเหมือนกัน เข้าใจว่าไปคราวนี้ ทุกท่านถูกหวยหมด ถ้าไม่ถูกมาบีบคอหลวงพ่อชุ่มก็แล้วกัน..! ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ เอาเป็นประกันที่ดี ”

หลวงพ่อ - “ อ้า..ถือว่าเป็นอานิสงส์ใหญ่ นี่เป็นเรื่องจริงนะ การทำบุญฉับพลัน ให้ผลฉับพลันจริงๆ การฝืดเคืองใดๆ
จะปรากฏ ให้สังเกตดูไว้ ถ้าทำบุญแบบนี้ การหา..ความเป็น อยู่จะคล่องตัวขึ้นมาทุกทีๆ แล้วหนักๆ เข้า เราไม่คิดว่าเรา
จะพึงได้ขนาดนี้ เราไม่คิดว่าจะเคยพบ เราก็จะได้พบ

อย่างนี้อาตมาเองประสบมากับตัวเอง คือตั้งแต่บวชพรรษาแรก เขาเรียกว่าทำบุญล่อนจ้อนทุกปี เหลือไตรชุดเดียว แล้วก็ของทุกอย่างออกพรรษาแล้วไม่ให้มันเหลือ ต่อมาในระหว่างนี้ สวดมนต์เย็นก็ไม่ไหว เทศน์ก็ไม่ไหว แต่ก็ไม่อดตาย บรรดาญาติโยมสงเคราะห์ นี่ก็เพราะอาศัยอานิสงส์ปัจจุบันที่ทำ ก็ทำบุญอาการฉับพลัน

ฉะนั้น บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านที่มากันในคราวนี้ หรือคราวก่อนก็ดี การกระทำทุกอย่าง อาตมารู้สึกว่าเป็นที่พอใจมาก เพราะปฏิบัติเป็นปฏิปทาเดียวกันอย่างที่อาตมาได้ทำมา ฉะนั้น ผลบุญอันใดที่อาตมาได้ทำมาแล้ว ได้รับผลในปัจจุบันคือว่าไม่อดตายนี่ฉันใด อาตมาก็หวังอย่างยิ่งว่า บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ก็คงมีการคล่องตัวเช่นเดียวกัน ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ วันนี้อาตมาก็มีความปลื้มอก ปลื้มใจกับพวกญาติโยม ทายกทายิกาทั้งหลาย ได้เดินสัญจรมาทำบุญในคราวนี้ เพราะพระเดชพระคุณเจ้าเป็นหัวหน้าพวกทายกทายิกา ทั้งหลายเข้ามาที่ดอยจอมกิจจิ และได้เอาจตุปัจจัยมาถวายพัฒนาทางขึ้น

คราวนี้ขอคุณพระศรีไตรรัตนะทั้ง ๓ ประการ ตั้งอยู่กระหม่อมจอมขวัญแห่งบรรดา ทายกทายิกา เพื่ออยู่ชุ่มเนื้อเย็นใจ คิดหาอันใดก็สมบูรณ์ทุกสิ่งทุกประการ ทำการทำงานอันใด ก็ขอหื้อสมดังคำปรารถนาทุกอย่างทุกประการเทอญ ”

ลูกศิษย์ - “ สาธุ..! ”

หลวงพ่อ - “ เวลานี้ก็ปรากฏว่าเหลืออีก ๕ นาที ๑๖.๐๐ น. เห็นจะลาหลวงปู่กลับได้แล้วสินะ สตุ้ง..สตังค์..หลวงปู่เอาหมดแล้ว นี่ขืนอยู่.. ดีไม่ดีก็ต้องแก้กางเกงไว้ให้อีกทีละยุ่งเลย.. ที่นี่มีความสำคัญ...”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ใช่ครับ ตอนกระผมมาพักอยู่ นี้ ได้อยู่เดือนกับสิบหกวันครับ ”

หลวงพ่อ - “ สงสัยว่า พระมหากัจจายนะ จะมานะ ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ อะไร? ”

หลวงพ่อ - “ สงสัยว่าพระมหากัจจายนะจะมาบ่อย ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ใช่ ”

หลวงพ่อ - “ เมื่อกี้เห็นผ่านไป ตอนมาแล้ว พระมหากัจจายนะท่านเป็นนักเทศน์อยู่นี่ ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ใช่ ”

หลวงพ่อ - “ นะครับ..ก็เพราะเป็นพุทธภูมิเก่า ไปไหนมักจะเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ เป็นแดนเก่าแน่ เพราะว่าตอนที่หลวงปู่ให้พร ผ่านมาให้เห็นหลายองค์ องค์หนึ่งรู้สึกขาวใหญ่ ใส..สวยดี สงสัยจะเป็นพระมหากัจจายนะ ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ครับ ”

หลวงพ่อ - “ ความจริงก็จะเริ่มเป็น ปฏิรูปเทสจริงๆ (คำว่า “ปฏิรูปเทส” คือเป็นสถานที่อันเหมาะสม) ถึงได้มองเห็นเพราะเป็นรัศมี จริงๆ คิดถึงไหว้พระพุทธเจ้าที่ไหนก็ถึง ไหว้ในส้วมก็ถึง..ถึงไหมครับ? ”

หลวงปู่ชุ่ม - “ ใช่ครับ ”

หลวงพ่อ - “ เออ..เจริญสุขๆ นะ เป็นอันว่าการเดินทางในวันนี้ ทำบุญแล้วทั้งหมดเกือบแสนบาท...”


(คำสนทนาก็ต้องจบไว้เพียงนี้ และแถมท้าย "จดหมาย" ของท่านด้วย)