ตามรอยพระพุทธบาท

หลวงพ่อเล่าเรื่อง..ท่านจ่าพัว ชระเอม และ ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ไปนิพพาน
webmaster - 14/5/08 at 17:11

http://pantip.com/topic/34438158

สารบัญ

(เลือก "คลิก" อ่านได้แต่ละตอน)


01.
ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปนิพพาน
02. พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
03. จากบทความ " แด่การจากไปของม.จ.วิภาวดี รังสิต"
04. คุณอ๋อยกับเสด็จพระองค์หญิง
05. บทสรุปจากท่านป่อง โกษา
06. "วันวิภาวดี" โดย พ.ต.อ.สุทน วันเพ็ญ



(กด play ท่านจ่าพัว ชระเอม จ.สิงห์บุรี ชุด A)




ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปนิพพาน

โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

“..ท่านโยมพัวที่เราจะไปเผาพรุ่งนี้ เราเผาแต่ซากเท่านั้น ตัวจ่าพัวเราเผาไม่ได้ เพราะร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายของจ่าพัวไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ความจริงโยมพัวท่านไม่เคยเจริญฌานสมาบัติ ท่านจดหมายมาเสมอว่า วิตกเหลือเกินเกรงว่าตายแล้วจะตกนรก

ไอ้คนกลัวตกนรกมันตกไม่ได้ เพราะจดหมายทุกฉบับปรารภเรื่องนี้เป็นสำคัญ อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าท่านทำอะไรไว้บ้าง เมื่อกี้ท่านมานั่งคุยให้ฟังว่า สมัยที่เป็นตำรวจเอาหนักเหมือนกัน เพราะเป็นมือปราบคนหนึ่ง และมีอีกข้อหนึ่งคือว่าภาษาของโบราณ รถไฟ เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ นอกจากปราบแล้วยังเจ้าชู้อีกด้วย ท่าทางตอนหนุ่มๆ ท่านคงเป็นคนรูปหล่อและกรุ้มกริ่ม

เรื่องเจ้าชู้นี่ท่านคุยให้ฟัง เมื่อผมมีชีวิตอยู่อยากจะคุยให้อาตมาฟังมันก็ไม่ถนัด ผมวิตกเรื่องนี้มันหนัก และสมัยปราบปรามครั้งใหญ่ โจรดังบ้าง บางทีก็จับมาได้ ๔-๕ คนยิงตายเลย ปราบจริงๆ และแถมเจ้าชู้จริงๆ เสียด้วย เป็นกรรมหนักที่ท่านหนักใจ แต่ว่าก็อาศัยจิตของท่านน้อมในกุศลนับตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ เป็นต้นมาที่มาพบอาตมา

อย่าง “หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน” โยมพัวให้เงินค่าพิมพ์เป็นคนแรก และเคยเขียนจดหมายมาบอกว่า “ท่านเป็นคนตาเหล่ ไม่เหล่ก็ตาบอด เพราะเวลานี้ไม่เห็นที่อยู่ของท่านเวลาตายไปแล้ว” อาตมาก็เป็นแต่เพียงแนะนำบอกว่า “ทำใจให้เป็นสุข ให้มีความมั่นใจ” ท่านก็มีความมั่นใจพร้อมๆ กับความสะเทือนใจเพราะเกรงว่าไอ้บาปตัวนี้มันจะเข้ามายุ่ง

ตอนบั้นปลายชีวิตของท่านทำทุกอย่างเพื่อหนีบาปตัวนี้ ตอนนี้ตัวจาคะก็เกิดตัดใหญ่ ถวายเงินมาที่วัดนี้แสนกว่า ที่วัดอื่นอีก ลูกท่านก็ดีไม่มีใครขัดคอ พ่อจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ เข้าใจว่าท่านคงจัดทรัพย์สินต่างๆ ให้ลูกหมดแล้ว ตามส่วนสิทธิที่เขาจะพึงได้ ท่านก็ทำทุกอย่างในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจตัดกายได้ มาในขั้นสุดท้ายท่านป่วยหนัก

อาตมาไปเยี่ยมโยมพัว ไปครั้งแรกไปนั่งอยู่ตอนบวงสรวง พระท่านมาเตือนว่า “จะมากักเขาไว้ดาวดึงส์ได้อย่างไร ในเมื่ออารมณ์เขาจะเข้าถึงได้” ก็เลยบอกให้ท่านภาวนาว่า “นิพพานัง” จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ พอไปเยี่ยมครั้งที่สอง ท่านบอกขึ้นไปได้แล้ว ตอนนี้ตู้โต๊ะในบ้านไม่เอาไว้แล้วส่งเข้าวัดหมด

จาคะ ตัวเดียวเป็นตัวสำคัญ ในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจตัดกายได้ มาถึงขั้นสุดท้ายตอนป่วยหนักและตายไป เมื่อตายแล้วท่านมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ตอนป่วยมากใกล้จะตายก็ไม่นึกว่าตัวเองจะไปไหนได้หรอก ก็นั่งฟังเทปนอนฟังเทป ฟังไปฟังมา อารมณ์ใจค่อยละเอียดไปทีละน้อยๆ เพราะความมั่นใจยังไม่มี จนกระทั่งเวลาใกล้จะสิ้นชีพ อารมณ์ใจรวบรวมหนักเพราะทุกขเวทนามันบีบหนัก จนกระทั่งมีอารมณ์จิตเป็นสุข พอจิตเป็นสุขก็เห็นพระ พระองค์แรกที่โยมพัวเห็นคืออาตมา

ต่อมาพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมา แนะนำบอกว่า “องค์นี้เป็นพระพุทธเจ้า” เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรัศมีกายผ่องใส สวยสดงดงามมาก จิตที่เกาะอะไรทั้งหมดก็ตัดหมดทันที ท่านโยมพัวก็เข้าไปกอดพระบาทพระองค์แน่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ไปพระนิพพานกับพ่อไหมลูก ?”

ท่านตอบว่า “ไปครับ..แต่ผมกลัวไปไม่ได้ !”

พระองค์ทรงชี้ให้ดูร่างกายของโยมพัวในเมืองมนุษย์และตรัสว่า “เป็นทุกข์ไหม” ท่านตอบว่า “ทุกข์ครับ” ตรัสต่อไปว่า “ร่างกายไม่ดีอย่างนี้ยังรักอยู่อีกเหรอ” ท่านตอบว่า “ไม่รักครับ” พระองค์จึงตรัสว่า “งั้นก็ไปพระนิพพานกับพ่อ”

เพียงเท่านี้เอง ท่านก็ทิ้งร่างกายเนื้อตามพระพุทธเจ้าไปอยู่บนแดนพระนิพพานทันที เพราะจิตท่านเกาะเฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียว จึงไม่เกาะร่างกาย

ท่านบอกอาตมาว่า เมื่อเห็นร่างกายหยุดทำงานแล้ว ก็มองดูร่างกายเห็นว่าน่าเกลียดขนาดนี้หรือนี่ อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ท่านมีความสุขที่สุด คิดไม่ถึงว่าในชีวิตความสุขใหญ่ขนาดนี้จะมีกับผม คิดแต่เพียงว่าถ้าอยู่ดาวดึงส์ก็บุญตัวแล้ว ท่านขอบคุณอาตมาที่ช่วยท่าน

เป็นอันว่า เราได้บุคคลตัวอย่างคือ ท่านโยมพัว ชระเอม ก่อนตายท่านมีอารมณ์โปร่ง ท่านเกาะพระ จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด อาตมา “นึกว่าจะไปบังสุกุลท่าน” แต่ท่านโยมพัวบอกว่า เล่นแต่ซากไปเถอะ ตัวผมนี่ไม่ได้แล้ว...”

ll กลับสู่ด้านบน

************************





(ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ชุด A - B)

.


พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า “หญิงขอลาไปนิพพาน”


“..เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมาได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนทางภาคใต้กับ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คืนวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมานอนพักที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ พอ ๖ ทุ่มเศษก็ตื่นดูนาฬิกา คิดว่าเมื่อคืนที่แล้วก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษ ที่คลองปาง มีเรื่องตำรวจตระเวนชายแดนถูกยิง วันนี้ก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษอีก ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอะไรอีก

พอตื่นขึ้นมาแล้วก็นอนไม่หลับ จึงทำสมณธรรมตามแบบพระ พระมีกิจที่ต้องทำอันหนึ่งคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำสมณธรรม เมื่อทำไปจิตถึงที่สุดเวลาประมาณตี ๒ ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไสวเหมือนไฟฟ้าสักแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏรูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวยสดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย

ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพุทธศาสนา ท่านเรียกว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า

“วิภาวดี..เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก..!”

คำว่า “เสร็จกิจ” ก็หมายถึง “กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารไม่มีแล้วที่จะต้องทำ”

เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสจบแล้วภาพนั้นก็หายไป อาตมาก็คิดในใจว่า เสียงอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพยากรณ์ ก็แสดงว่าท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์ พูดกันตามทัศนะถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เมื่อเสียงหมดไปภาพหายไป อาตมาก็นอนไม่หลับเพราะไม่อยากจะหลับ ก็เจริญสมณธรรมเรื่อยไป

ปรากฏว่าเวลา ๔ นาฬิกามีภาพประหลาดเกิดขึ้น เป็นภาพดวงไฟเล็กดวงนิดเดียวมีความร้ายแรงมากร้อนจัด และมีภาพ พันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ ยืนอยู่แล้วล้มลงทับภาพดวงไฟนั้น แล้วลุกขึ้นมาจากไฟแต่ไม่ไหม้ แล้วภาพไฟก็หายไป

เมื่อเห็นภาพนี้ก็เข้าใจว่า วันพรุ่งนี้เหตุร้ายจะต้องเกิดกับเราแล้ว และก็เป็นเหตุร้ายที่เราแก้ไขไม่ได้เพราะภาพไฟที่ปรากฏร้ายแรงมาก พยายามดับเท่าไรก็ไม่ดับ ความร้ายแรงของไฟไม่สลายตัวและก็ไม่ย่อหย่อนลงไป

ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่เกาะครูเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วันผ่านไปก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษเป็น "อุพเพงคาปีติ" สามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ หลังจากนั้นท่านก็เจริญวิปัสสนาญาณ

เพราะกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ "สมถภาวนา" ด้านสมาธิจิตซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ก็เอาดีไม่ได้ เมื่อสมาธิเข้มข้นดีแต่วิปัสสนายังอ่อน ตอนหลังท่านก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต

จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็ตรัสเป็นปกติว่า “ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ความหมายของท่านก็คือ “พระนิพพาน” ฉะนั้นทรัพย์สินใดๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการสะสมไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ “ทำอย่างไรชาวไทยทั้งประเทศจึงจะมีความสุข” ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ท่านเสียสละมาก

การเจริญพระกรรมฐานของท่านเข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา “ต้องการพระนิพพาน” ก่อนสิ้นชีพิตักษัยประมาณ ๓ เดือน พบหน้าใครท่านก็พูดว่า “ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน”

แสดงว่าท่านมีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดกันตามพระไตรปิฎก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพานจริงๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่นั้น อาตมาไม่รับรองเพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พูดตามอาการที่ปรากฏ

รุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซิเมนต์ที่พักของท่านหญิงวิภาวดี ก่อนขึ้นฮ. ก็ประชุมกันก่อนว่า วันนี้เราจะไปพระแสงกับเคียนซา แต่ก่อนไปต้องไปรับตำรวจที่บาดเจ็บ ๒ คนที่บ้านหลังคลองที่ไปเมื่อวันวาน และการไปคราวนี้ขอให้คนที่ไปกับ ฮ. ลงที่กองร้อย ๓ ตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ที่จะไปรับตำรวจบาดเจ็บ ๑ กิโลเมตร

แม้แต่ท่านหญิงวิภาวดีก็ต้องลงเช่นเดียวกัน ขอให้ ฮ. ไปรับโดยเฉพาะแล้วนำตำรวจบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แวะเติมน้ำมันก่อนแล้วกลับมารับพวกเราประมาณเที่ยง หลังจากฉันเพลที่กองร้อย ๓ ตชด.แล้ว พวกเราจะไปเคียนซากับพระแสง ไปเยี่ยมตำรวจอีก ๒ จุด แต่อาตมาก็บอกทุกคนว่า

“วันนี้พวกเราสู้เขาไม่ได้ ไม่เหมือนเมื่อวานนี้เราสู้เขาได้ เราจึงกล้าลงกลางฐานที่ตั้งของเขานับจำนวนร้อยที่ติดอาวุธ เราก็กล้าลง แต่วันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นวันเปิดเราสู้เขาไม่ได้”

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า คนเราที่บอกว่าเก่ง หนังเหนียว เนื้อเหนียว กระดูกเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้าก็ตาม ทั้งๆ ที่คล้องพระอยู่ แต่วันหนึ่งก็ถูกยิงตายได้ถ้าเป็นวันเปิด เป็นอันว่าถ้าวันเปิดประสบกับใครก็ตาม คนนั้นไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ และวันนั้นความจริงอาตมาก็ทราบว่า ถ้าร่วมไปที่บ้านหลังคลองก็ดี ที่เคียนซาหรือที่พระแสงก็ดี อาตมาเองก็จะถูกยิงที่ขาต่ำกว่าเข่า ไม่ถูกกระดูกแต่ถูกเนื้อตรงน่อง

แต่ก็ตั้งใจว่าเมื่อพูดว่าจะไปแล้วก็ต้องไป ชีวิตตำรวจทหารเขาเสียสละได้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ก็ไอ้เลือดเรานิดหนึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ซีซี ที่ต้องหลั่งไหลออกจากกาย เพราะการเข้าไปเยี่ยมคนที่มีคุณ ทำไมเราจะสละไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นยอมเสียเลือดเพราะรู้แล้วว่าถ้าไปก็เสียเลือดตัวเอง จะคุ้มครองไม่ได้

สำหรับท่านหญิงวิภาวดีอาตมาก็หนักใจมาก เพราะนิมิตตอนกลางคืนบอกชัดว่าอย่างไรก็ตาม “วันนี้ท่านหญิงวิภาวดี จะไม่สิ้นชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเป็นจุดจบ” ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริง คือว่า “ตามธรรมดาฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน” การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสที่ไม่สามารถบวชเป็นพระได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบวชไม่ได้ ผู้ชายถ้าบวชทันได้ไม่เป็นไร

ฉะนั้น “การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสนี่ ก็ต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ” อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เมื่อบุคคลใดได้บรรลุอรหัตผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบว่า ถ้าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อน ถ้าพระองค์ตรัสว่า
“เอหิภิกขุ” แปลว่า “เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด”

ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ไม่มี เป็นอันว่าการบวชไม่สมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเธอจะบวช ขอให้เธอไปหาผ้าจีวรมาก่อน ได้ผ้ามาแล้วตถาคตจะบวชให้”

แล้วท่านผู้นั้นเดินไปหาผ้าทีไร ก็ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทุกที จะนิพพานโดยลักษณะนั้น สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันหาวัวแม่ลูกอ่อนไม่ได้ ถ้าจะให้รถชนตายเจ้าของรถก็มีความผิด จะให้ตกต้นไม้ตาย ท่านก็ไม่ได้ขึ้นต้นไม้ เพราะการตายของพระอรหันต์ จะต้องไม่มีโทษแก่บุคคลที่ทำให้ตาย เมื่อข้าศึกยิงมาข้าศึกไม่มีโทษเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง เมื่ออาตมาทราบอย่างนี้ก็เลยเตือนท่านว่า “ท่านหญิง วันนี้เราสู้เขาไม่ได้ ยังไงๆ ที่บ้านหลังคลองท่านหญิงจะไปไม่ได้ ต้องลงพร้อมกับอาตมาที่กองร้อย ๓” ท่านก็ตกลง

เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินส่งพวกเราลงกันหมด พอเครื่องบินขึ้นปรากฏว่าท่านหญิงวิภาวดีไม่ลง พอเหลียวไปดูถาม พระครูบาธรรมชัย ที่ไปด้วยกันว่า “หลวงปู่..ท่านหญิงไม่ลงรึ” เพราะท่านลงทีหลัง หลวงปู่บอกว่า “ท่านหญิงเขียนจดหมายใส่ย่ามมาให้” ขณะกำลังอ่านอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่วิทยุวิ่งมาแจ้งว่า “หลวงพ่อครับ เครื่องบินเราถูกยิง” พอเขาบอกเท่านั้นก็บอกเขาไปว่า “เราเสียท่าเขาแล้ว”

ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์มารับอาตมาไปที่เครื่องบินลงที่บ้านส้อง ไปถึงก็พบว่าเครื่องบินถูกยิง ๙๘ รู แต่ทะลุเพียงนัดเดียวนอกนั้นไม่ทะลุเครื่องบินเลย กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหารท่านหญิงวิภาวดี คือทะลุท้องเครื่องบินขึ้นมาทะลุหัวรองเท้าของ ผู้กำกับฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญิงวิภาวดี เมื่อรู้ว่า ฮ.ถูกยิงทุกคนก็เข้าล้อมท่านหญิงหมด แต่จุดที่คนล้อมกระสุนไม่เข้าแต่ไปเข้าจุดว่าง

เมื่ออาตมาไปถึงเห็นท่านหญิงนอนนิ่ง จึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพิธีแบบพระ “ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทนาของท่าน” เพราะทราบว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉยๆ จึงถามว่า “ท่านหญิงปวดไหม” ท่านก็ตรัสว่า “ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัดๆ”

แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า
“โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน” แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว่า “หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และทูลท่านชายปิยะให้ทรงทราบด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน”

แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า “นิพพาน..นิพพาน..นิพพาน” นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดังๆ ว่า “โอ สว่างแล้วๆ เห็นนิพพานแล้วๆ นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าท่านสิ้นลมปราณ

การที่นำเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า อาตมาทราบได้อย่างไรว่าท่านหญิงวิภาวดีจะไปไหน ความจริงรู้ได้อย่างไรนี้ตอบไม่ยาก เพราะว่าจะไปไหนนั้นก็อาศัยการเปล่งวาจาของท่านเป็นเหตุ คนถูกยิงเจ็บขนาดนั้น เสียงครางนิดหนึ่งก็ไม่มี การบิดตัวแสดงอาการเจ็บหน่อยหนึ่งก็ไม่มี นอนสงบนิ่งเป็นปกติเหมือนกับคนนอนหลับแบบสบายๆ

แต่พอไปถามเข้าว่า “เจ็บไหม” ท่านก็บอกว่า “เจ็บมากและก็มีหายใจขัดๆ” เวลาพูดเสียงก็ปกติ ก่อนจะสิ้นชีพสังขารก็เปล่งวาจาว่า “ขอไปนิพพาน” โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่พูดว่า “สว่างแล้ว สว่างแล้ว” เสียงสดใสมากแสดงอาการดีใจเหมือนคนไม่เจ็บ มีพระโอษฐ์ยิ้มแสดงความรื่นเริง หน้าตาสดชื่น พระสุรเสียงดังชัดมากแสดงอาการดีใจ เพราะเคยทำงานด้วยกันจึงรู้ว่า เวลาท่านดีใจท่านมีเสียงแบบไหนแสดงกิริยาแบบไหน วันนั้นแสดงแบบนั้นทั้งหมด

เมื่อท่านบอกว่า ท่านจะไปนิพพาน เราก็ต้องบอกว่าท่านไปพระนิพพาน เพราะท่านพูดแล้วท่านก็ตาย เราจะไปเถียงท่านไม่ได้ ท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของท่าน และก็มีคนถามว่า

“ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน”

อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤทธิ์ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรม

พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า “มันเรื่องอะไร” ก็ทราบว่า “กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง” ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสานกาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน

เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะได้ไหม

ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้..”

<< กลับสู่ด้านบน

********************


webmaster - 23/11/08 at 16:18




พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต หรือพระนามเดิม
หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต(รัชนี) นามปากกา ว. ณ ประมวญมารค
ทรงเป็นพระธิดาใน พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ และหม่อมเจ้าพิมลพรรณ วรวรรณ
ประสูติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2463
มีพระอนุชาร่วมพระบิดามารดาเดียวกันคือ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2520
พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต เมื่อ วันที่ 6 พฤษภาคม 2489
โดยได้รับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8
ทรงมีธิดา 2 คนคือ ม.ร.ว. วิภานันท์ รังสิต และ ม.ร.ว. ปรียนันทนา รังสิต




จากบทความ " แด่การจากไปของม.จ.วิภาวดี รังสิต"

ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2520


ในปี 2520 สถานการณ์การก่อการร้ายทางภาคใต้รุนแรงมาก จนพูดกันว่าภาคใต้กำลังลุกเป็นไฟ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ทรงมีกำหนดเสด็จภาคใต้เพื่อนำสิ่งของพระราชทานไปประทานแก่ตำรวจ ทหารและอ.ส. ที่ปฏิบัติการในแนวหน้า

ทั้งที่เพิ่งเสด็จกลับจากน่านและสุโขทัยก่อนหน้านี้วันเดียว ก็เสด็จลงภาคใต้ทันที ทรงนิมนต์พระภิกษุที่มีประชาชนเคารพนับถือร่วมคณะไปด้วย 2 รูป คือ พระมหาวีระเถวโร (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) วัดท่าซุง อุทัยธานี และ หลวงปู่ พระครูบาธรรมไชย วัดทุ่งหลวง อ. แม่แตง จ.เชียงใหม่

เส้นทางรถยนต์ที่จะเสด็จไปนครศรีธรรมราช ไม่ปลอดภัย และเสียเวลามาก จึงเสด็จโดยเฮลีคอปเตอร์แทน ไปที่ที่ทำการกองร้อย หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ได้แสดงธรรมและให้พรแก่ตำรวจตระเวนชายแดน ท่านได้มอบผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม และเหรียญเอกราช แก่ตำรวจทุกคน

หลวงปู่ธรรมไชย ได้ประพรมน้ำมนต์ให้ตำรวจทุกคน ทรงพักค้างแรมที่ทุ่งสง ทำสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจของสุราษฎร์ธานี ที่ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์โจมตีที่สถานีตำรวจจนเสียชีวิต รวม 5 นาย

ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ประมาณตีสอง ผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งได้เข้าโจมตีสถานีตำรวจคลองปาง เขตติดต่อกับทุ่งสง ห่างจากที่ประทับประมาณ 11 ก.ม. ปิดล้อมและระดมยิงเข้าไป พร้อมทั้งประกาศให้ยอมแพ้วางอาวุธ มอบให้ทางฝ่ายผู้โจมตี

แต่ตำรวจประจำสถานี ยิงต่อสู้ผู้ก่อการร้ายมิให้เข้าเผาทำลายและยึดอาวุธของฝ่ายตำรวจได้สำเร็จ ได้ยิงต่อสู้จนผู้ก่อการร้ายบาดเจ็บ ล่าถอยไป เมื่อตอนเช้าความทราบถึงพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีฯ ก็เสด็จไปพร้อมกับตำรวจตระเวนชายแดนเพื่อเยี่ยมเยียนสร้างขวัญกำลังใจให้ตำรวจ

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ มีกำหนดเสด็จต่อไปที่อ.เคียนซา และอ.พระแสง ระหว่างเดินทางทางเฮลีคอปเตอร์ ทรงทราบจากวิทยุว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งไปสร้างบ้านพักพระราชทานให้ราษฎร ที่ บ.เหนือคลอง ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ สุราษฎร์ธานี ได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดของผู้ก่อการร้าย อาการสาหัส ก็ทรงห่วงใยผู้บาดเจ็บ เห็นความจำเป็นที่จะต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

แทนที่จะให้เฮลีคอปเตอร์ส่งเสด็จที่เคียนซาก่อน แล้วค่อยย้อนกลับมารับผู้บาดเจ็บ อย่างที่นายตำรวจผู้ถวายอารักขาทูล ก็ทรงให้นำเฮลีคอปเตอร์ลงเพื่อแวะรับผู้บาดเจ็บกลับไปด้วยกันเสียเลย ได้ไม่เสียเวลา โดยไม่ทรงห่วงสวัสดิภาพของพระองค์เอง เนื้อที่ว่างในเฮลิคอปเตอร์ไม่พอ ก็ทรงให้คณะลงไปก่อนที่ บก.ร้อย จุดใกล้ที่เกิดเหตุ เหลือแต่พระองค์เองกับนายแพทย์ กับเจ้าหน้าที่ ใน ฮ. ไปรับผู้บาดเจ็บ



(ท่านหญิงกับพระธิดาองค์โต)

คำสั่งสุดท้าย ที่ทรงเขียนก็คือ

" เดี๋ยวให้ทุกคนลง เจ้าหญิง ( ทรงหมายถึงพระองค์เอง เป็นคำที่หลวงปู่ธรรมไชยเรียก) จะไปรับคนเจ็บ 2 คนกับหมอ กับผู้กำกับฯ หลวงพ่อ หลวงปู่ คอยสักครู่ที่โรงตำรวจ หลวงพ่อ หลวงปู่ สวดมนตร์คุ้มครองให้พวกเราปลอดภัยด้วย หมู่นี้มันยิงเรือบินเกือบทุกวัน เดี๋ยวจะมารับไปพระแสงเคียนซา"

การบินของ ฮ.ช่วงนี้เปิดประตูทั้ง 2 ด้าน ขณะที่เครื่อง ฮ.บินมาเหนือสวนผลไม้และสวนยาง นักบินมองเห็นบ้านพระราชทานซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะลงจอดรับคนบาดเจ็บ ห่างไปประมาณ 1 ก.ม.เศษ

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงปืนรัวขึ้นถี่ยิบจากเบื้องล่าง กระสุนชุดแรกพุ่งขึ้นมา ทะลุขา พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น) ผู้กำกับ ตชด.เขต 8 ผู้กำกับฯ ตะโกนสั่งให้นักบินนำ ฮ.ขึ้นสูงทันที เสียงกระสุนปืนกระทบเครื่องบินดังก้องไปหมดทั่วลำ

ในช่วงความชุลมุนวุ่นวายนี้เอง ก็ได้ยินเสียงรับสั่งว่า "ฉันถูกยิง"

ผกก.หันไปดูเห็นพระพักตร์ฟุบ พระองค์ซวนมา จึงประคององค์ไว้ ส่วนนายแพทย์และพยาบาลพยายามอุดปากแผลห้ามเลือด ขณะที่ ฮ.กำลังร่อนลง ผกก.สบตานายแพทย์ เห็นส่ายศีรษะ ก็เข้าใจทันทีว่าหมดหวัง

ผกก.สั่งฮ.ให้บินไปที่ร.พ.สุราษฎร์ซึ่งใกล้ที่สุด แต่เครื่องได้รับการเสียหายหนักจากการระดมยิงของผู้ก่อการร้าย เข็มเครื่องวัดทุกตัวไม่ทำงาน และเครื่องอาจระเบิดได้ทุกวินาที นักบินจำต้องร่อนลงที่สนามหน้าโรงเรียนวัดบ้านส้อง

เมื่อเครื่องลงถึงพื้นดินแล้ว ผกก.วิทยุสั่งการไปที่บก.ร้อยให้นิมนต์หลวงพ่อและหลวงปู่เดินทางมาโดยเร็วที่สุด ในระหว่างนี้นายแพทย์ได้ถวายน้ำเกลือ พระอาการดีขึ้นอย่างประหลาด ไม่มีอาการทุรนทุราย รับสั่งทั้งที่ยังหลับพระเนตรว่า

"ตชด.เป็นอย่างไรบ้าง เอาออกมาได้หรือยัง ให้รีบไปส่งโรงพยาบาล อย่าให้พวกมันรู้ว่าฉันถูกยิง มันจะเหิมเกริม..หนาว..ปวด..เมื่อย !"

สักครู่ก็รับสั่งต่อไปว่า
" ฉันไม่ได้เป็นไรแล้ว ตชด.มาหรือยัง ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลด่วน" รับสั่งย้ำว่า "คุณสุดินทร์..นำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลเร็วเข้า"

อาวุธที่ผู้ก่อการร้ายใช้โจมตี ฮ. เป็นอาวุธสงคราม คือ เอ็ม 16 และเอ็ม 20 สำหรับเอ็ม 20 ผู้ก่อการร้ายเคยใช้โจมตีเจ้าหน้าที่จังหวัดตากมาแล้ว มีวิถีกระสุนไกลมากถึง 2000 ฟุต

แม้ทรงรับบาดเจ็บสาหัส ก็ทรงห่วงถึงตชด.ที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่าห่วงพระอาการ นายแพทย์และพยาบาลทูลตอบให้สบายพระทัยว่า นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลแล้ว ก็ทรงรู้ทัน รับสั่งว่า "ฮ. ยังไม่ขึ้น" จนนายแพทย์ต้องแก้ตัว เปลี่ยนคำตอบว่า "ผกก.นำคนเจ็บไปไว้โรงพยาบาลบ้านส้องแล้ว" จึงหยุดรับสั่ง

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และหลวงปู่ธรรมไชยเดินทางมาถึงไล่เลี่ยกับนายแพทย์และพนักงาน อ.เวียงสระ พระองค์เจ้าวิภาวดี ฯ ยังทรงมีพระสติดีอยู่ แม้ว่าพระอาการทรุดหนักมากแล้ว รับสั่งว่า

"ร้อน..หิวน้ำ..ขอน้ำกินหน่อย หลวงพ่อ..หลวงปู่..ช่วยไปนิพพาน..ไม่เกิดแล้ว !"

หลวงปู่ตอบว่า
" การที่จะไปนิพพานน่ะดี แต่ท่านหญิงยังมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมาก"

ก็รับสั่งว่า
"ให้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว..ท่านชาย( ทรงหมายถึงหม่อมเจ้าปิยะ รังสิต) ท่านแม่" ทรงย้ำอยู่ 2 ครั้ง แล้วไม่รับสั่งอะไรอีก

ฮ.จากสุราษฎร์ธานี เดินทางมาถึง นำพระองค์เจ้าวิภาวดีฯ ไปที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ ในระหว่างทาง นายแพทย์ผู้เฝ้าพระอาการอย่างใกล้ชิด แจ้งว่า สิ้นพระทัยแล้ว ฮ.จึงนำพระศพมาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีเพื่อแต่งพระศพ และถวายธงชาติคลุมพระศพ ต่อจากนั้น เครื่องบินจากกรุงเทพ ซึ่งไปตรวจราชการทางใต้ ก็รับพระศพกลับมาสู่กรุงเทพ ?

ข่าวการสิ้นชีพิตักษัยของหม่อมเจ้าวิภาวดี รังสิต เป็นข่าวใหญ่พาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เป็นเรื่องสั่นสะเทือนจิตใจของประชาชนอย่างมาก ที่พระบรมวงศานุวงศ์ และผู้แทนพระองค์พระบาทพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จเยี่ยมประชาชน โดยเฉพาะในหน่วยพระราชทาน ต้องจบพระชนม์ชีพลงด้วยน้ำมือผู้ก่อการร้ายในภาคใต้

ขณะที่ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ผู้บาดเจ็บจากการปฏิบัติงาน นายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี ได้รายงานต่อประชาชนทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 ว่า

"ม.จ.วิภาวดี รังสิต ถึงชีพิตักษัยด้วยน้ำมือของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ในวันที่เกิดเหตุคือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ศกนี้..." ตามมาด้วยรายละเอียด ตรงกับที่ดิฉันพิมพ์ไว้ในความเห็นข้างบน และลงท้ายว่า

"ม.จ.วิภาวดี รังสิต ท่านทรงเป็นผู้ทำบุญโดยไม่หวังบุญ ท่านทรงกระทำทุกอย่างโดยมีเมตตาธรรม หวังประโยชน์สุขและความเจริญที่จะให้บังเกิดกับประชาชนโดยแท้ ท่านทรงบำเพ็ญกุศลนี้มาเป็นเวลานานปี จนกระทั่งเกิดเหตุขึ้นในครั้งนี้

ท่านทรงกระทำโดยมิได้หวังอะไรเป็นส่วนพระองค์เลย ท่านทรงแนะนำอาชีพส่งเสริมหัตถกรรม การเพาะปลูก หาแพทย์ไปรักษาพยาบาลคนที่เจ็บป่วย จัดสิ่งของหยูกยาไปช่วยชาวบ้านผู้ที่ยากไร้

เมื่อท่านถึงชีพิตักษัยคราวนี้จึงเป็นเรื่องที่สลดใจอย่างยิ่ง และรัฐบาลตระหนักเป็นอันดีในวีรกรรมของท่าน ท่านเป็นสตรีผู้กล้าหาญ ท่านไม่ได้ถึงชีพิตักษัยไปโดยเปล่าประโยชน์ วีกรรมของท่านยังคงเป็นสิ่งเตือนใจเราอยู่ ผมใคร่ที่จะขออัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ มากล่าวไว้ ณ ที่นี้ คือ

" การถึงชีพิตักษัยของหม่อมเจ้าวิภาวดีฯ นั้น เป็นการปฏิบัติภารกิจของพระองค์ ซึ่งภารกิจอันนี้ พวกเราชาวไทยที่อยู่เบื้องหลังจะต้องจัดทำต่อไป"



(ท่านหญิงกับพระธิดาองค์ที่สอง)

ในท่ามกลางความรู้สึกอันสับสนของเราท่านทั้งหลาย ต่อการสูญเสียครั้งสำคัญนี้ ความรู้สึกหนึ่งที่เราทั้งหลายมองเห็นชัดร่วมกัน ก็คือ ม.จ.วิภาวดี รังสิต ต้องถึงชีพิตักษัย ก็เพราะน้ำพระทัยอันโอบเอื้ออาทรของท่านในอันที่จะเข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บเพราะน้ำมือผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ความเวทนาสงสารไม่อาจทอดทิ้งเพื่อนร่วมชาติที่ต้องการความช่วยเหลือเหล่านั้นทำให้ ม.จ.วิภาวดี รังสิต มิได้คำนึงถึงภัยอันตรายส่วนตัว

ทรงเป็นแบบอย่างของคนไทยที่เปี่ยมล้นด้วยความรัก ความเสียสละ เพื่อชาติ ทั้งที่ทรงถึงพร้อมด้วยชาติวุฒิ คุณวุฒิ ทรัพย์ศฤงคาร และแวดล้อมด้วคนรักใคร่ใกล้ชิด แต่ก็ทรงสละความสุขส่วนตัวนั้นๆ ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจให้แก่งานของประเทศชาติ โดยทรงมุ่งหมายจะผดุงรักษาความเป็นชาติไทยของเราไว้ แม้จะต้องแลกด้วยพระชนมชีพก็ตาม

..........................


การสูญเสีย ม.จ.วิภาวดี รังสิต เปรียบเสมือนดวงไฟดวงหนึ่งที่ดับวูบลง แต่เปลวไฟแห่งความรักชาติ ความกล้าหาญ ความเสียสละเพื่อชาติ ที่ ม.จ.วิภาวดี รังสิต ได้ทรงจุดนำทางไว้ จะลุกโพลงในจิตใจของเลือดเนื้อไทยชั่วนิจนิรันดร์"

◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


webmaster - 9/12/08 at 10:35


เรื่องของคุณอ๋อย (โดย ป่อง โกษา)


"คุณอ๋อย" ที่ใครๆ รู้จัก คือ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยา ของ พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ (เจ้าของบ้านสายลม) บัดนี้เธอสิ้นชีวิตไปเสียแล้ว ชีวิตของเธอเป็นนิยาย ที่พอจะจัดเข้าเป็นเรื่องจริงอิงนิยายได้ จึงคัดเอาใจความ จากหนังสืองานศพมาเรียบเรียงเสีย ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยแยกเป็นตอน ๆ ดังต่อไปนี้

คุณอ๋อยกับเสด็จพระองค์หญิง


"........เสด็จพระองค์หญิงวิภาวดีรังสิต เจ้าของนามปากกา ว.ณ. ประมวญมารค อันเลื่องลือ ได้เบนวิถีของท่าน มาพบกับ คุณอ๋อย เมื่อประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 โดย "พี่ปุ๊" หรือ แพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์ แจ้งมาว่า มีพระประสงค์จะมานมัสการหลวงพ่อที่บ้านคุณอ๋อย

.........ความจริงคุณอ๋อย พบกับท่านมานานแล้ว ในทางหนังสือ คือ อ่านหนังสือของท่านแทบทุกเล่ม แต่ไม่เคยพบพระองค์จริง เมื่อ 1 องค์ กับ 1 คนมาพบกันเข้าก็รู้สึกว่า สัมพันธภาพจะดำเนินไปด้วยดีอย่างรวดเร็ว เพราะช่างพูดด้วยกัน และใจซื่อด้วยกัน ประกอบกับความไม่ถือพระองค์ของเสด็จ ดังนั้น จึงมักจะแวะมาคุยที่บ้านคุณอ๋อยบ่อย ๆ เวลาคน จะตามหาพระองค์ท่าน บางทีก็โทรศัพท์มาพบที่บ้านนี้ เสด็จ ฯ รับสั่งว่า พวกนี้ชักรู้แกวเสียแล้วว่า หญิงหลบมุมมาอยู่นี่

.........บ้านคุณอ๋อยอุทิศเป็นบ้านฟังธรรม ไม่มีห้องรับแขก เพราะสร้างห้องรับแขกทีไร ก็กลายเป็นห้องฟังธรรม เสียทุกที ดังนั้นเวลาเสด็จมา ก็รับเสด็จกัน บนพื้นธรรมดา คือ บนเสื่อ หรือบนพรม บางทีก็เลยบรรทมลง ไปอย่างนั้นแหละ ทรงเป็นกันเองกับบ้านนี้ อย่างรวดเร็ว บางทีก็ถาม คุณเสริมว่า " พี่เสริม ทำอย่างนี้ได้ไหม " แล้วบรรทมหงายหลัง ยกพระบาทชี้ฟ้า ทำท่าถีบจักรยาน พวกลูก ๆ ของคุณอ๋อย ก็รักเสด็จกันทุกคน

ในโอกาสหนึ่งทรงพบกับ หลวงปู่ธรรมไชย แห่งวัดทุ่งหลวง ท่านก็ทรงขอให้หลวงปู่ตรวจพระโรค หลวงปู่ก็บอกว่า ตาที่เป็นต้อนั้นรักษาหาย ไม่ต้องผ่าตัด จะหายใน 27-28 วัน แล้วหลวงปู่ก็ให้ยาและน้ำผึ้งมนต์ สำหรับหยอด กับทำยาเพิ่มไฟตา หรืออะไรสักอย่างเสด็จ ฯ ก็ทรงปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด จะไปเมืองนอกก็เอาไปด้วย ระหว่างเสด็จประเทศอังกฤษครั้งสุดท้าย ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงคุณอ๋อย 2 ฉบับ

                                                                                                                    Hotel Zurich

                                                                                                                    วันที่ 17 มิถุนายน 19

คุณอ๋อยที่รัก

ลูกศิษย์หลวงพ่อคนนี้ (คือหญิง) ออกจะอาการไม่สู้จะดี ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศ เมื่องฝรั่งเสียเลย เวลานี้อยู่โฮเต็ล ที่หรูที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองซูริค วิวสวยที่สุด ก็ไม่ชอบ บอกตัวเองว่า "ไม่เที่ยง" ท่าเดียว ห้องหรูหราก็ไม่ชอบ กระจกเดินหันหลังให้ตลอดเวลากลางคืน ครั้นต้องไปกินเลี้ยงก็กินไม่ลง อย่างดีซุป ก็จะจุกแอ้ด ๆ จะถืออุโบสถศีลท่าเดียว เช้าก็ตื่นเสียหัวไก่โห่ ทั้ง ๆ ที่เมืองฝรั่ง (โฮเต็ลหรู ๆ ) เขาตื่นสายกัน อาหารเช้าต้องราว 2 โมง

ไอ้เราก็อยากกินแต่โมงเช้า ! เขาคุยกันว่า หน้าร้อนนี้ ต้องไปตกปลา ที่โน่นที่นี่ หญิงก็อยากจะห้ามว่า ฆ่าสัตว์บาป ! แต่ไม่ได้ห้ามดอก เพียงแต่นึกในใจแล้วก็ปลง พรุ่งนี้จะออกเดินทาง ต่อไปเจนีวา ท่านชายจัดการ ให้รถยนต์มาคอยอยู่ ในวันที่เราเดินทางมาถึง แล้วต่อไป ก็ไปฝรั่งเศส และอังกฤษ

การปฏิบัติไม่สู้จะสำเร็จ มีนายคอยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ แล้วแม่หลานยายก็ติด (เอามาด้วย) เรียกยายทั้งวัน ที่ต้องเขียนถึงคุณอ๋อย ก็เพราะ ท่านชายอนุญาตให้เงินจำนวนหนึ่ง ไว้สร้างกระต๊อบน่ารัก ๆ ไว้ที่วัดหลวงปู่ธรรมไชย คุณอ๋อยกรุณาเรียนหลวงปู่เลย ให้ช่วยสร้างเรือนเล็ก ๆ แบบพื้นบ้าน ใต้ต้นไม้ใหญ่ใบหนา มีห้อง 2 ห้อง เล็ก ๆ กับห้องเก็บของเล็ก ๆ และมีนอกชาน

อ้อ..ถ้ามีห้องน้ำ (มีตุ่มน้ำ ส้วมซึม) สักห้องเป็นพอ หญิงจะไปอยู่กับหลวงปู่ เพื่อเขียนประวัติหลวงปู่ และเวลาว่าง เพื่อความสงบสบายใจ กลับไปนี่จะเอาเงินไปถวายค่ากระต๊อบของหญิง เฟอร์นิเจอร์ไม่ต้องมี หญิงจะนอนกับพื้น และถ้ามีชั้นไว้ใส่หนังสือก็พอ กลับจากเมืองนอกก็ต้องไปปักษ์ใต้ จากปักษ์ใต้จึงจะขึ้นไปดูการสร้างกระต๊อบ หญิงแดงอยากได้เร็ว ๆ เดือนพฤศจิกายนจะได้ไปอยู่ คุณอ๋อยต้องมาด้วยกันนะคะ

เรียนหลวงปู่อีกอย่างว่า ตาดีขึ้นมาก อ่านหนังสือ (ข้างที่เคยมัวหนัก) ก็ได้ กำลังรอให้ครบเดือนจะหายตามหลวงปู่สั่ง วันที่ 23 ยายทิพา จะไปหาหลวงปู่พาคนไข้ไปหา ถ้าคุณอ๋อยมีข่าวอะไรถึงหญิง เขียนฝากมานะคะ แกจะออกเดินทาง วันที่ 24 และจะพบกับหญิง ที่ลอนดอน ในวันที่ 26 หรือ อะไรพวกนี้ แล้วแต่นาย (ม.จ. ปิยะ) จะสั่ง

ฝากกราบหลวงพ่อหลวงปู่ด้วยค่ะ

วิภาวดี


ป.ล. กรุณาพูดกับคนรถที่ขับรถพาเราไปวัดท่าซุงวันก่อนด้วยว่า ช่วยหาคนรถให้ด้วย กลับไปจะขอจ้างเขาเลย



อีกฉบับหนึ่ง เขียนจากอังกฤษดังนี้

                                                                                                                     23 Walpole St. London S.W. 3

                                                                                                                    วันที่ 24 กรกฎา 19

คุณอ๋อยที่รัก

ท่านชาย และหญิง พาหลานขับรถ มาจากฝรั่งเศส ถึงบ้านเราที่ลอนดอนเมื่อค่ำวันที่ 2 นี้เอง จึงเพิ่งได้รับ จ. ม. ต่าง ๆ ที่ฝากทิพามา ขอบอกด้วยความยินดีว่า หลวงปู่รักษาตาหญิงหาย ก่อนปลายเดือนจริงๆ พอ วันที่ 27 ก็ร้สึกว่า มันใสจ้าขึ้นมา หมอตาต่าง ๆ จะต้องงงเต้กไปหมด

กรุณาเรียนหลวงปู่ด้วยว่า ตาทั้ง 2 ข้าง เห็นดี แต่แสง เป็นสีคนละสีกัน ข้างดี (ข้างซ้าย) เป็นสีขาว ธรรมดา แต่ข้างขวา ออกเป็นสี คล้ายใส่แว่นตาสีชา แต่เมื่อหลวงปู่ให้ยาซึ่งหลวงปู่เรียกว่า ยาไฟตา หญิงก็รีบกิน และล้างตามคำสั่ง คงจะเป็นปกติในไม่ช้า

หญิงได้ข่าวว่า หลวงปู่ท่านยังไม่มีกุฏิอยู่เลย ที่ วัดทุ่งหลวง ของท่าน ท่านอยู่ในวิหาร หญิงเลยอยากจะสร้างกุฏิถวายท่าน เป็นตึกหรือเรือนไม้ 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับท่าน อยู่กับเครื่องยา มีห้องน้ำชั้นล่าง เป็นห้องเปล่า ๆ สำหรับรักษาคนเจ็บ ส่วนเรือนของหญิงเป็นเรือนเล็ก ๆ ชั้นเดียว นอกนั้นจะชวนพรรคพวกไปด้วย เวลาหญิงไม่อยู่ก็ให้หลวงปู่ใช้ได้ เรือนหญิงขอให้อยู่ใกล้ ๆ กับหลวงปู่ อยากให้สร้างเสร็จที่จะไปเดือนพฤศจิกา

หญิงคิดจะกลับ ก.ท. ราววันที่ 20 พอพักพอหายเหนื่อย อยากจะชวนคุณอ๋อยไปเชียงใหม่ด้วยกัน เพื่อไปดูที่ทางที่จะสร้างบ้าน 2 หลังนี้ งบประมาณ เป็นแสนก็ได้ เวลานี้หญิงสนใจแต่จะเข้าทำประโยชน์ กับพระอริยสงฆ์ทั้งปวง เพื่อช่วยให้ท่านช่วยคน และทำบุญเมืองฝรั่งนี้ เบื่อแทบสิ้นสติ ทนอยู่เพื่อปลง ๆ ไปงั้นเอง เพื่อนฝูงมี มากมาย จะทิ้งเขาปุบปับ ก็น่าเกลียด แกรู้ว่าหญิงมา แกก็เลี้ยงกันเสียจริง ๆ ดัทเชสอะไรต่าง ๆ

หนังสือหลวงพ่อ หญิง edit ให้เสร็จ ไปเล่มแล้ว เล่มที่ยังไม่พิมพ์ คือ กรรมฐาน 40 นี่ก็ กำลังทำอยู่ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง ก็เอาออกเสียบ้าง และสำนวนคุย ก็ไม่น่าจะออกมา เป็นตัวหนังสือเท่านั้น ไม่ยากและชอบทำมาก ส่วนทางหลวงปู่ หญิงก็วางแผนจะเขียนประวัติท่านนี่แหละ ถึงคิดจะ ไปอยู่วัดเพื่อหาเวลาคุยกับหลวงปู่ (เวลาว่างก็จะปฏิบัติพระกรรมฐานตามที่หลวงพ่อสอน)

รับรองว่าเรื่องหลวงปู่จะฮิตใหญ่ คุณอ๋อยจะต้องขายสนุกเทียว โดยเฉพาะ ต้อจากตาหญิง ซึ่งหมอทั่วโลกรวมทั้งหมออุทัยกับหมอสำราญต่างก็รักษา และก็เห็นว่า ต้องรอจนกว่าจะแก่แล้วผ่า นี่กลับไปให้ส่อง คงงงพิลึก ไอ้ขาว ๆ ที่ปิดตาดำอยู่ก็หายไป ทุกคนจะเห็นด้วยตาเปล่าว่า ตา 2 ข้าง เหมือนกันแล้วต้อหายไปเฉย ๆ

คุณอ๋อย ช่วยนัดหลวงปู่ นะคะว่า ราววันที่ 24 เราจะไปหา ไม่ต้องให้ท่านลำบาก เราไปอยู่รินคำได้ พอดูที่ทางแล้ว ก็จะให้ลงมือสร้างได้พร้อมกันทั้ง 2 หลัง ว่าแต่หลวงปู่จะให้สร้างแน่ไหม หญิงกลับจากเชียงใหม่ ก็จะวิ่งไปเฝ้าที่นราธิวาส และเพื่อตามเสด็จสงขลา หลังวันที่ 12 คือ ทรงบรรจุพระบรมธาตุ อยากจะชวนหลวงพ่อ หลวงปู่ไปทอดผ้าป่าพ่อหลวงจ้อย จะได้หมดหนี้สิ้นเสียที หญิงให้ท่านรอง วางแผนเรียบร้อยแล้ว ราวกลางเดือนสิงหา

มีข่าวอะไรตอบด่วนค่ะ ลูกชายคุณยุทธศิลป์เป็นยังไงบ้าง ขอบใจหลานและทุกๆ คนที่ทำยาให้

รักและคิดถึงจาก

วิภาวดี


◄ll กลับสู่ด้านบน

((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


webmaster - 4/1/09 at 15:58


[Update ตอนจบ 4/1/2009]

บทสรุปจากท่านป่อง โกษา



(พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์)


นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เสด็จ ฯ ยังเห็นเรื่องอัศจรรย์ อีก 2 อย่าง คือ ตอนที่ท่านฝึกนั่งกรรมฐานครั้งแรก ท่านเล่าว่าเห็น หลวงพ่อปาน อยู่ตั้งชั่วโมง เห็นได้ ทั้งหลับตา และลืมตา

ท่านก็เลยมุทำเป็นการใหญ่ ทำไม่ขาดด้วย แม้จะเสด็จไปปฏิบัติภารกิจ ในแดนกันดาร ต้องเหน็ดเหนื่อย ในเวลากลางวัน ต้องเขียน รายงานในตอนกลางคืน ดึกดื่น เสร็จแล้ว ท่านก็ไม่เว้นที่จะต้องนั่งกรรมฐานอีก

อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการเดินทาง ในคราวนั้น "คุณอ๋อย" กับลูก คือ "หน่า" กับ "หน่อง" เดินทางไปด้วย ในระยะหลังๆ นี้ จะเสด็จไปไหนมักจะชวนคุณอ๋อย คุณอ๋อยก็ไม่ขัด คราวที่กล่าวถึงนี้ เป็นการเดินทางไป บ้านแม่สาน อำเภอศรีสัชนาลัย

หลวงพ่อเดินเท้าไม่ไหว เพราะเป็นการเดินขึ้นเขาลงห้วย คือ ลุยไปในห้วย หรือ ไต่ไปตามหินในห้วยจริงๆ ด้วย ดังนั้นจึงจัด ฮ. ให้นำหลวงพ่อไป หลวงพ่อท่านก็สั่งว่า เวลาเดินทางให้ท่องชื่อ ท่านทรงเดช เทวดาเจ้าของถิ่นไปด้วย จะได้เบาตัวและไม่เหน็ดเหนื่อย คณะเดินก็ปฏิบัติ ซึ่งปรากฏว่า เมื่อเที่ยวก่อน เสด็จฯ เคยใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง คราวนี้กลับใช้เวลาเดินไม่ถึง 3 ชั่วโมง ขากลับก็เช่นกัน



คราวที่ไปสิ้นชีพิตักษัยที่สุราษฎร์ธานีนั้น "คุณอ๋อย" ก็ไปด้วย ข่าว ฮ. ถูกยิงทำเอาพวกที่บ้านใจหาย นึกว่าตามเสด็จไปเสียแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่ได้ไปกับ ฮ. และโดยสารเครื่องบินมากับพระศพ

ซึ่งหลังจากนั้น หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่า สัมภาษณ์ นางเฉิดศรี ณ นคร ภรรยา ผบ.ทบ. ผู้มีน้ำตาอันนองหน้าว่า อย่างนั้นอย่างนี้ คุณเฉิดศรีบอกว่า ไม่เห็นมีใครมาถามอะไรนี่ ร้องให้ก็ไม่ได้ร้อง คุณเสริมบ่นว่า ย่องไปเป็นภรรยา ผบ.ทบ. ตั้งแต่เมื่อไหร่ ระวัง "คุณหญิงแสงเดือน" ท่านจะฉีกอกเอานะ

(หมายเหตุ : สมัยนั้น พล.อ.เสริม ณ นคร เป็น ผบ.ทบ โดยมีคุณหญิงแสงเดือน ณ นคร เป็นภรรยา)

เกี่ยวกับการสิ้นชีพิตักษัยของเสด็จฯ ในครั้งนี้ มีคนต่อว่ามากว่า เสียแรงไ กับหลวงพ่อหลวงปู่ทั้ง 2 องค์ ทำไมเรื่องอย่างนี้จึงเกิดได้ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า คนจะตายเสียอย่าง จะไปห้ามได้ยังไง ความจริงเรื่องนี้ หลวงพ่อได้รับคำสั่งจากพระว่า อย่าแยกเครื่องนะ หลวงพ่อก็คอยระวังอยู่

แต่สำหรับท่านเอง ในวันนั้นก็เป็นวันมรณะ ท่านบอกว่า วันนั้นท่านจะยิง แล้วจะยิงออกเสียด้วย จะถูกที่ขา แต่เมื่อนัดกันแล้วก็ไป ตายก็ตาย ท่านกำชับว่า เมื่อถึงโรงเรียนให้ลงให้หมดนะ ปล่อย ฮ ไปรับคนเจ็บ ส่งโรงพยาบาลก่อน แล้วให้ขากลับมารอที่โรงเรียนอีก แต่เสด็จฯ แอบไปเสียกับ ฮ. โดยไม่บอกให้ทราบ ก่อนไปฝากโน๊ตถึงหลวงปู่ให้ช่วย หลวงปู่ก็ไม่ได้อ่าน เพราะไม่ได้เอาแว่นไป เลยไม่รู้เรื่องกัน

พวกที่ไปด้วย มาเล่าในภายหลังว่า เมื่อ ฮ.ถูก ยิง ครั้งแรกก็รู้แล้ว ดังนั้นทุกคน ก็เข้าล้อมท่านหญิงไว้แต่ การยิงในระลอกสอง กระสุนสังหารนัดนั้น ทะลุท้อง ฮ. ถูกหัวรองเท้านายตำรวจ แล้วแฉลบไปถูกเหล็กพนักที่นั่ง แล้วแฉลบเข้าด้านหลังของเสด็จฯ อีกทีหนึ่ง เรียกว่าป้องกันยังไงก็ไม่ไหว ถ้าหากคนจะตายเสียอย่าง

ที่ว่าคนจะตายเสียอย่างนี้ มารู้ในภายหลังว่า เสด็จทรงจบกิจพระศาสนา ตั้งแต่ตี 2 ของคืนก่อน และเมื่อฆราวาสจบกิจพระศาสนาแล้วก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ ถึงพระอาทิตย์ตกในวันรุ่งขึ้น

ตามคติของชาวโลก การตายเป็นของน่ากลัว น่าเศร้า น่าเสียดาย แต่สำหรับพระแล้ว การตายโดยเฉพาะตายเมื่อจบกิจพระศาสนา ก็ไปเสวยสุขในพระนิพพาน เป็นเรื่องน่ายินดีด้วยซ้ำ ดังนั้นสองฝ่ายนี้ จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นคนละภาษาเลยที่เดียว

เรื่องฆราวาสจบกิจพระศาสนา คือ ตัดกิเลสได้นั้น หลวงพ่อเคยชักตัวอย่างจากพระไตรปิฎกให้ดูหลายองค์ว่า จะมีนางผีเสื้อยักษ์แปลงตัวเป็นโคแม่ลูกอ่อน มาขวิดตายเสียเป็นส่วนมาก

เคยมีผู้ตั้งปัญหาถามหลวงพ่อว่า ทำไมฆราวาสสำเร็จอรหันต์จึงตาย แต่ทีพระทำไมอยู่ได้ หลวงพ่อตอบว่า เพราะเพศฆราวาสบริสุทธิ์ไม่พอ ครองความเป็นอรหันต์ไม่ได้ คำตอบนี้ยังไม่เป็นที่พอใจ เพราะคล้ายๆ กับจะแย้งได้โดยมีเหตุผลว่า ถ้าทำตัวอย่างพระแต่ไม่บวช ก็ควรจะได้อยู่ได้ซี

นึกไปนึกมา แล้วยังมีอีกแง่หนึ่ง ที่น่าจะใช้อธิบายได้ คือ เมื่อบุคคลสำเร็จอรหันต์แล้ว ความจำเป็นที่จะทรงชีวิตอยู่ไม่มี ควรรีบไปอยู่นิพพานตามสภาพทันที หรือโดยเร็วที่สุด แต่ที่พระยังอยู่ได้นั้นก็เพราะ พระยังทำประโยชน์แก่โลกได้ คืออยู่เพื่อสอน กับอยู่เพื่อให้คนทำบุญ คนที่ทำบุญกับพระอรหันต์นั้น จะได้ผลตอบแทนมากกว่าทำกับคนธรรมดานับล้านๆ เท่า

แต่ฆราวาสที่เป็นพระอรหันต์นั้นสอนใคร เขาก็ไม่ค่อยเชื่อแล้วก็ไม่มีใครเขาทำบุญด้วย เพราะเห็นเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่พระ ถ้าอยู่ไปกลับจะเป็นอันตรายแก่ชาวบ้าน เช่น ค่อนขอด ด่าว่า ล่วงเกิน ถ้าเป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นนายจ้าง เขาก็จะใช้งานท่าน แล้วเลยลงนรกไปเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ฆราวาสที่เป็นอรหันต์จึงกล่าวได้ว่าไม่มีประโยชน์กับใครอีกแล้ว ไปนิพพานดีกว่า คำอธิบายนี้รู้สึกว่าพอจะไปได้ แต่จะถูกหรือไม่ถูกไม่ทราบ

สำหรับท่านหญิงนั้น คนที่ไม่ค่อยจะทราบประสบการณ์ทางศาสนาของท่าน อาจจะนึกว่าเป็นไปได้หรือ ที่เสด็จ ฯ จะจบกิจพระศาสนา แต่ตามจดหมาย ถึงคุณอ๋อยนั้น แสดงว่าท่านก้าวหน้าไวมาก หลวงพ่อเคยบอกว่า พระอนาคามีนั้น จะถือศีล 8 เองโดยอัตโนมัติ ในจดหมายท่านก็รับสั่งท่านอยากจะถือ 8 ท่าเดียว เช่นนี้ควรแสดงว่า ท่านใกล้แล้ว

นอกจากนี้สำหรับผู้ใกล้ชิดจะเคยได้ยินท่านทรงกล่าวเสมอว่า ทรัพย์สมบัตินั้น ท่านเลิกกังวลมานานแล้ว เมื่อมาได้รับคำสอนถูกทาง ได้มีศรัทธาเพิ่มเติม จากประสบการณ์เกี่ยวกับหลวงพ่อและหลวงปู่ ก็อาจเป็นได้ว่าท่านจะสามารถตัดไปได้เลย

ความจริงจะเป็นอย่างไร คนธรรมดาไม่สามารถทราบได้ แต่อย่างไรก็ดี ขอเตือนให้ระลึกว่า ที่หลวงพ่อชี้แจงมานี้ เป็นการชี้แจงแก่ศิษย์ใกล้ชิด เพื่อการศึกษา โปรดอย่าเข้าใจว่าหลวงพ่อประกาศแก่คนทั่วไป ประเดี๋ยวจะไปหาว่า ท่านโฆษณาตัวเองเข้าอีก แล้วข้าพเจ้าผู้เขียนจะพลอยเป็นจำเลยไปด้วย

แต่โดยเฉพาะศิษย์วงในแล้ว เสด็จฯ นับเป็นองค์แรกในบรรดาพวกเขา ที่แสดงให้เห็นว่าแนวทางที่หลวงพ่อสอน ให้ทำจิตนี้ทำได้สำเร็จจริง เป็นการเพิ่มพูนกำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ กำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังมาก ความมุ่งมั่นในพระนิพพานก็แน่นแฟ้นขึ้นไปอีกมาก.

◄ll กลับสู่ด้านบน

*********************


webmaster - 17/2/09 at 17:03

(Update 17/02/09)


เนื่องจากข้อเขียนต่อไปนี้ เป็นการบันทึกของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริง คือ พ.ต.อ.สุทน วันเพ็ญ ท่านมีข้อมูลที่บอกเล่าไว้ละเอียด ควรที่จะได้นำมาให้อ่านกัน ซึ่งพวกเราคนไทยภายหลัง จะได้รู้ซึ้งถึงความเสียสละอย่างใหญ่หลวงของ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต แม้ชีวิตก็ยังไม่ทรงห่วงใย เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2520 จึงขอให้ทุกคนได้น้อมรำลึกถึงคุณงามความดีของท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย


"วันวิภาวดี"


โดย พ.ต.อ.สุทน วันเพ็ญ

"........จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ ล้มตาย เดือดร้อน เกิดความไม่ปลอดภัยกันทั่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า ผู้พิพากษา ประชาชนทั่วไปก็ไม่เว้นที่ถูกทำร้ายถึงชีวิต

.......การประกอบอาชีพแทบทุกประเภทได้รับความเดือดร้อน เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว การค้าขาย การกรีดยาง ผลิตผลจากสวนผลไม้ต่างๆ ไม่สามารถจำหน่ายได้ การเดินทางไปโรงเรียนของครูไม่ปลอดภัย ฯลฯ

.......จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นทำให้ผู้เขียนคิดถึงเมื่อครั้งประเทศของเราเกิดความไม่สงบ เนื่องจากปฏิบัติการของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ในภาคใต้ตอนบน

เมื่อครั้งนั้นได้มีเจ้านายพระองค์หนึ่ง ต้องสิ้นชีพตักษัยเนื่องจากการกระทำของผู้ก่อการร้าย ขณะที่พระองค์ท่านปฏิบัติการ ในฐานะผู้แทนพระองค์ฯ ทรงเยี่ยมเยียนบำรุงขวัญแก่ราษฎร ทหาร ตำรวจ อส. ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี

ขอนำเรียนเหตุการณ์ครั้งนั้นมาบอกเล่าอีกครั้งดังนี้

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2520 เวลาประมาณ 08.40 น. ม.จ.วิภาวดี รังสิต ได้ประทับ ฮ.ตร.หมายเลข 1715 ออกจากโรงปูนซีเมนต์ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช มุ่งไปยัง อ.พระแสง และ อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีแผนจะเสด็จเยี่ยมทหาร ตำรวจ ตชด. อส. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และประชาชน ซึ่งมี ร.ต.อ.อภิรัตน์ พิลึก เป็นนักบินที่ 1 ร.ต.ต.วีนัส ฉิมน้อย เป็นนักบินที่ 2

การเดินทางในวันนั้นมีผู้ร่วมเดินทาง 9 นาย คือ หลวงพ่อฤษีลิงดำ, หลวงปู่ครูบาธรรมชัย, พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผกก.ตชด.เขต 8, นพ.สุพาสน์ บูรพัฒน์ ผอ.รพ.นครศรีธรรมราช, ร.ต.ท.ยุทธนา ปาละนิติเสนา ผบ.มว.ประจำ กก.ตชด.เขต 8, นางมาลี จันทรักษ์ พยาบาล, นายกิตติ ขันธมิตร มหาดเล็กหลวง, นายวิชัย ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ หลวงปู่

ระหว่างเดินทางไปยัง สภ.อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี ทรงทราบจากวิทยุสื่อสารว่า มีเจ้าหน้าที่ ตชด.ซึ่งไปทำการสร้างบ้านพักพระราชทานให้ราษฎรที่ บ้านเหนือคลอง หมู่ 7 ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี ได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิด ผกค. มีอาการสาหัส ได้รับสั่งให้นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลก่อน

แต่ พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผกก.ฯ ได้ทูลว่าจะไปส่งท่านและคณะที่ สภ.อ.เคียนซาก่อน ระหว่างที่เสด็จเยี่ยมจะได้ให้ ฮ.ไปรับคนเจ็บส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แต่ด้วยความห่วงใยตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ โดยไม่คิดถึงพระองค์เอง ได้รับสั่งให้ลงรับคนเจ็บไปพร้อม ฮ.ทีเดียว

ผกก.ฯได้ทูลว่า ผู้โดยสารเต็มไม่สามารถรับคนเจ็บเพิ่มขึ้นมาได้อีก ม.จ.วิภาวดี รังสิต จึงได้รับสั่งให้ ฮ.ลงที่ บก.ร้อย 3 ตชด. ซึ่งอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ ห่างประมาณ 7-8 กิโลเมตร ในทางตรง เพื่อให้คณะทั้งหมดลง ยกเว้น นพ.สุพาสน์ เพื่อไปรับคนเจ็บ

นอกนั้นให้พักรออยู่ที่ บก.ร้อย 3 ตชด. เมื่อส่งคนเจ็บที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีแล้ว ฮ.จึงจะมารับคณะเดินทางต่อไปยัง อ.เคียนซา ภายหลังได้ทราบจาก นพ.สุพาสน์ บูรพัฒน์ ก่อนที่ ฮ.จะลงที่ บก.ร้อย 3 ตชด. อ.เวียงสระ ม.จ.วิภาวดี รังสิต ทรงสั่ง นพ.สุพาสน์ซึ่งนั่งติดกับคุณมาลีพยาบาลด้านขวาว่า "เดี๋ยวฉันจะไปกับหมอ มาลีด้วย"

ต่อจากนั้นทรงเขียนคำสั่งย่อบนกระดาษ มีใจความว่า

"เดี๋ยวให้ทุกคนลง เจ้าหญิงจะไปรับคนเจ็บสองคนกับหมอ กับผู้กำกับ หลวงปู่ คอยสักครู่ที่โรงตำรวจ หลวงพ่อ หลวงปู่ สวดมนต์คุ้มครองให้พวกเราปลอดภัยด้วย หมู่นี้มันยิงเรือบินเกือบทุกวัน เดี๋ยวจะมารับไปพระแสง เคียนซา"

แล้วส่งให้คุณกิตติ ขันธมิตร มหาดเล็กหลวง ซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังหลวงปู่ รับทราบคำสั่ง ดังนั้น เมื่อ ฮ.ร่อนลงที่หน้าโรงเรียนเวียงสระ ซึ่งอยู่ติดกับ บก.ร้อย 3 ช่างเครื่องบินจึงเก็บเก้าอี้ชุดหลัง เพื่อให้มีที่ว่างให้คนเจ็บนอน ร.ต.ท.สุทน วันเพ็ญ ผบ.ร้อย 3 และ พลฯ อรุณ ธรรมศิริ ขึ้น ฮ.ร่วมเดินทางไปด้วย

ม.จ.วิภาวดี รังสิต, คุณมาลี, พ.ต.ท.สุดินทร์ ผกก.ฯ, นพ.สุพาสน์ และ ร.ต.ท.ยุทธนา เลื่อนไปนั่งเก้าอี้ผ้าใบแถวหน้า ส่วนที่ว่างพื้น ฮ. ร.ต.ท.สุทน และ พลฯอรุณ นั่งหันหลังให้เก้าอี้ผ้าใบ การบินของ ฮ.ช่วงนี้เปิดประตูทั้งสองด้าน ช่างเครื่องทั้งสองอยู่ประจำปืนกล

ขณะที่ ฮ.บินอยู่เหนือสวนผลไม้และสวนยางซึ่งกำลังผลัดใบพ้นทางรถไฟและทางรถยนต์เพียงครู่เดียว นักบินเห็นบ้านพักพระราชทานห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งเป็นที่หมายที่จะต้องไปรับคนเจ็บ ก็ได้ยินเสียงปืนดังรัวถี่ยิบยิ่งขึ้นมาจากข้างล่างจากบริเวณสวนยาง

ผู้กำกับฯสั่งให้ปืนกลทั้งสองประตูยิงต่อสู้ตอบโต้ทันที กระสุนถูกขาซ้ายผู้กำกับฯ และทะลุรองเท้า ร.ต.ท.สุทน ได้รับบาดเจ็บที่หัวนิ้วเท้าซ้าย ทะลุเข้าด้านหลัง ม.จ.วิภาวดี ฝังในเป็นแผลฉกรรจ์ พระโลหิตไหลออกมากนองพื้น ฮ.ช่วงชุลมุนนี้

ผกก.ฯได้สั่งให้ ฮ.บินไปยัง รพ.สุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่นักบินได้นำเครื่องลงฉุกเฉินที่โรงเรียนวัดบ้านส้อง ทราบจากนักบินภายหลังว่า ฮ.ไม่สามารถบินต่อไปได้ เข็มเครื่องวัดทุกตัวไม่ทำงาน และเครื่องอาจจะระเบิดได้ทุกวินาที

เมื่อ ฮ.ลงถึงพื้นแล้ว นพ.สุพาสน์ได้จัดให้ ม.จ.วิภาวดี เอนนอนบนที่นั่งของ ฮ.ตรงที่ประทับอยู่ และหาหนทางช่วยเหลือโดยถวายน้ำเกลือซึ่งนำติดไปด้วยทุกครั้ง

ผู้กำกับฯได้วิทยุสั่งการไปยัง บก.ร้อย 3 ให้จัดรถนำหลวงพ่อ หลวงปู่มาส่งที่ ฮ.หลังจากที่แพทย์ได้ถวายน้ำเกลือได้ประมาณ 5 นาที พระอาการดีขึ้นอย่างน่าประหลาด ไม่มีอาการทุรนทุราย รับสั่งประโยคแรกที่ยังหลับพระเนตรว่า

"ตชด.เป็นอย่างไรบ้าง"
"เอาออกมาได้หรือยัง ให้รีบไปส่งโรงพยาบาล อย่าให้พวกมันรู้ว่าฉันถูกยิง มันจะเหิมเกริม หนาว ปวด เมื่อย"

สักครู่รับสั่งต่อไปว่า
"ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ตชด.มาหรือยัง ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลด่วน" รับสั่งว่า "คุณสุดินทร์นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลเร็วเข้า"

เมื่อหลวงพ่อ หลวงปู่เดินทางมาถึงไล่เลี่ยกับนายแพทย์ พนักงานอนามัย อ.เวียงสระ นายปกครอง จินดาพล นายอำเภอเวียงสระ และภรรยา ม.จ.วิภาวดีรับสั่งกับหลวงพ่อ หลวงปู่ ว่า

"ร้อน หิวน้ำ ขอน้ำกินหน่อย หลวงพ่อ หลวงปู่ ช่วยไปนิพพาน ไม่เกิดแล้ว"

หลวงพ่อบอกว่า "การที่จะไปนิพพานน่ะดี แต่ท่านหญิงยังมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมาก"

รับสั่งว่า "ให้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว ท่านชาย ท่านแม่" ทรงย้ำอยู่สองครั้งแล้วไม่ได้รับสั่งอะไรอีก

พระศพของพระองค์ท่านเดินทางเข้าถึงกรุงเทพฯเวลาประมาณ 17.00 น. โดยเครื่องบินสกายแวนของกรมตำรวจ (เวลาเกินเหตุประมาณ 09.30 น.)

ม.จ.วิภาวดี รังสิต สิ้นชีพตักษัยเมื่อพระชันษา 58 ปี เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่รับใช้ประเทศชาติต่างพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงดำรงตำแหน่งนางสนองพระโอษฐ์ รับราชการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมอบหมายให้ ม.จ.วิภาวดี รังสิต ทรงปฏิบัติราชการแทนพระองค์ในการปลอบขวัญผู้ปฏิบัติราชการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในภาคใต้

การที่ ม.จ.วิภาวดี รังสิต สิ้นชีพตักษัยจากการปฏิบัติหน้าที่นี้นั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้สถาปนา ม.จ.วิภาวดี รังสิต เป็น "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต" ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ณ วันที่ 4 เมษายน พุทธศักราช 2520

ความรู้สึกหนึ่งที่เราทั้งหลายมองเห็นชัดร่วมกันก็คือ ม.จ.วิภาวดี รังสิต ต้องถึงชีพตักษัยก็เพราะน้ำพระทัยอันโอบอ้อมเอื้ออาทรของท่าน ในอันที่จะเข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บ เพราะน้ำมือของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์

ความเวทนาสงสารไม่อาจทอดทิ้งเพื่อนร่วมชาติที่ต้องการความช่วยเหลือเหล่านั้น ทำให้ ม.จ.วิภาวดี รังสิต มิได้คำนึงถึงภัยอันตรายส่วนตัว ทรงเป็นแบบอย่างของคนไทยที่เปี่ยมล้นด้วยความรักความเสียสละเพื่อชาติทั้งๆ ที่ทรงถึงพร้อมด้วยชาติวุฒิ คุณวุฒิ ทรัพย์ศฤงคาร และแวดล้อมด้วยคนรักใคร่ใกล้ชิด แต่ก็ทรงสละความสุขส่วนตัวนั้นๆ ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ให้แก่งานของประเทศชาติ

แม้พระองค์จะจากไปปีนี้เป็นปีที่ 32 ก็ตาม คนไทยก็ไม่ลืมพระเมตตาของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะชาวสุราษฎร์ธานี เขาจัดงาน "วันวิภาวดี" ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยจัดงานที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เวียงสระ มีการทำบุญเลี้ยงพระ วางพวงมาลา พวงมาลาทำด้วยธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ เพื่อนำเงินนั้นสมทบทุนมูลนิธิ "วิภาวดี" ผู้ร่วมงานประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน องค์กรท้องถิ่น ทุกหมู่เหล่า

อย่าได้กังวลเลยว่า ชาวไทย โดยเฉพาะชาวสุราษฎร์ธานี จะลืมพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต

ที่มา - มติชนรายวัน : วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

◄ll กลับสู่ด้านบน