ตามรอยพระพุทธบาท

ประวัติพุทธสาวก เรื่อง พระกาฬุทายีเถระ
praew - 11/9/09 at 08:31

พระกาฬุทายีเถระ


ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมมุตตระ ท่านพระกาฬุทายีเถระเกิดในเรือนอันมีสกุลในพระนครหังสวดี เมื่อฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งแห่งผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส แล้วทำกรรมตั้งความปรารถนาเพื่อตำแหน่งนั้นแล้ว

เขาทำกุศลกรรมจนตลอดชีวิตแล้วท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก จึงถือปฏิสนธิในเรือนอำมาตย์ในกรุงกบิลพัสดุ์นั่นแล ในวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์ของพวกเราถือปฏิสนธิในพระครรภ์พระมารดา เกิดก็เกิดในวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์เหมือนกัน ดังนั้นในวันนั้นนั่นแหละ พวกญาติจึงให้เด็กนั้นนอนบนเทริดที่ทำด้วยเนื้อผ้าดีชนิดหนึ่ง พากันนำไปสู่ที่บำรุงของพระโพธิสัตว์

จริงอยู่ สหชาติ ๗ เหล่านี้คือ ต้นโพธิพฤกษ์ ๑ พระมารดาของพระราหุล ๑ ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ขุม ๑ ช้างตระกูลอาโรหนิยะ ๑ ม้ากัณฐกะ ๑ นายฉันทะ ๑ กาฬุทายี ๑ ได้เกิดพร้อมกับ พระโพธิสัตว์ เพราะเกิดในวันเดียวกันนั่นแล

ครั้นในวันตั้งชื่อ พวกญาติก็พากันตั้งชื่อเขาว่า อุทายี เพราะเกิดในวันที่ชาวพระนครทั้งสิ้นมีจิตรื่นเริงเบิกบาน แต่เพราะมีผิวพรรณค่อนข้างดำไปหน่อย จึงปรากฏชื่อว่า กาฬุทายี กาฬุทายีนั้นถึงความเจริญขึ้นแล้ว เมื่อจะเล่นตามประสาเด็ก ก็เล่นกับพระโพธิสัตว์

ต่อมาภายหลัง เมื่อพระโลกนาถเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์แล้ว บรรลุพระสัพพัญญุตญาณตามลำดับ ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวรให้เป็นไปแล้ว ทรงอาศัยกรุง ราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชทรงสดับความเป็นไปนั้นแล้ว ทรงส่งอำมาตย์ผู้หนึ่ง มีบุรุษ ๑,๐๐๐ คน เป็นบริวารไปด้วยตรัสสั่งว่า จงนำลูกเรามาในที่นี้ กาฬุทายีอำมาตย์นั้นไปเฝ้าพระศาสดาในเวลาทรงแสดงธรรม จึงยืนฟังอยู่ข้างท้ายบริษัท พร้อมด้วยบุรุษก็บรรลุพระอรหันต์

ลำดับนั้น พระศาสดาจึงทรงเหยียดพระหัตถ์ ตรัสกะทุกคนนั้นว่า “พวกเธอ จงเป็นภิกษุมาเถิด” ในขณะนั้นนั่นเอง คนทั้งหมดก็ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นดังพระเถระมีอายุ ๖๐ ปี ก็จำเดิมแต่บรรลุพระอรหันต์แล้ว พระอริยะทั้งหลายก็เป็นผู้มีตนเป็นกลาง เพราะฉะนั้น จึงมิได้กราบทูลแด่พระทศพลให้ทรงทราบ ถึงสาส์นที่พระราชาส่งไป พระราชาทรงดำริว่า ส่วนแห่งกำลังคนที่มอบหมายหน้าที่ให้ก็ไม่ยอมกลับมา ข่าวสาส์นก็ไม่ได้ยินเลย ดังนี้แล้ว จึงทรงส่งอำมาตย์อีกคนหนึ่งพร้อมด้วยบุรุษ ๑,๐๐๐ คนไปอีก เมื่ออำมาตย์นั้นปฏิบัติตามกันอย่างนั้น พระราชาจึงทรงส่งอำมาตย์คนอื่นไปอีก พร้อมด้วยบุรุษถึง ๙,๐๐๐ คน พร้อมกับอำมาตย์อีก ๙ คน ด้วยประการฉะนี้คนทั้งหมดบรรลุพระอรหันต์แล้วก็พากันนิ่งเฉยเสีย

ลำดับนั้น พระราชาทรงดำริว่าคนมีประมาณตั้งเท่านี้ ช่างไม่มีความรักเยื่อใยในเราเสียเลย ไม่ยอมกราบทูลคำอะไรๆ แด่พระทศพลเพื่อการเสด็จมาในที่นี้ แต่อุทายีคนนี้แล เป็น ผู้มีวัยเสมอกันกับพระทศพล เคยร่วมเล่นฝุ่นมาด้วยกัน และจักมีความรักเยื่อใยในเรา เราจักส่งเจ้าคนนี้ไป

ดังนี้ จึงทรงมีรับสั่งให้อุทายีนั้นมาแล้ว ตรัสว่า “พ่อคุณเอ๋ย พ่อ พร้อมด้วยบุรุษเป็นบริวาร ๑,๐๐๐ คน จงไปยังกรุงราชคฤห์แล้ว นำพระทศพลมาให้ได้” ดังนี้แล้ว จึงทรงส่งไป

ฝ่ายกาฬุทายีอำมาตย์นั้น เมื่อจะไปจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม หากข้าพระองค์จักได้การบวชไซร้ ข้าพระองค์จึงจักนำพระผู้มีพระภาคเจ้ามาในที่นี้” ดังนี้ มีพระดำรัสตอบว่า “เธอจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขอให้แสดงบุตรแก่เราก็แล้วกัน” ดังนี้แล้ว จึงไปยังกรุงราชคฤห์ พอดีในเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรม จึงยืนฟังธรรมอยู่ข้างท้ายบริษัท พร้อมด้วยบริวารก็บรรลุพระอรหันต์ ดำรงอยู่ในความเป็นเอหิภิกขุ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมมุตตระ เชษฐบุรุษโลกผู้คงที่ เสด็จดำเนินทางไกล เที่ยวจาริกไปในเวลานั้น เราได้ถือเอาดอกปทุม ดอกอุบล และดอกมะลิซ้อนอันบานสะพรั่ง และถือข้าวสุกชั้นพิเศษมาถวายแด่พระศาสดา พระมหาวีรชินเจ้า เสวยข้าวชั้นพิเศษอันเป็นโภชนะที่ดี และทรงรับดอกไม้นั้นแล้วทรงยังเราให้รื่นเริงว่า ผู้ใดได้ถวายดอกปทุมอันอุดมเป็นที่ปรารถนา เป็นที่น่ารักใคร่ในโลกนี้แก่เรา ผู้นั้นทำกรรมที่ทำได้ยากนัก ผู้ใดได้บูชาดอกไม้และได้ถวายข้าวชั้นพิเศษแก่เรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น

ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เสวยเทวรัชสมบัติ ๑๘ ครั้ง ดอกอุบล ดอกปทุม และดอกมะลิซ้อน จะมีในเบื้องบนผู้นั้น ด้วยผลแห่งบุญนั้น ผู้นั้นจักสร้างหลังคาอันประกอบด้วยของหอมอันเป็นทิพย์ไว้ในอากาศ จักทรงไว้ในเวลานั้น จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๕ ครั้ง จักได้เป็นพระราชาในแผ่นดินครอบครองพสุธา ๕๐๐ ครั้ง ในกัปที่แสนพระศาสดามีพระนามว่า โคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์ พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นปรารถนาในกรรมของตน อันกุศลมูลตักเตือนแล้ว จักได้เป็นบุรุษผู้มีชื่อเสียง ทำความเพลิดเพลินให้เกิดแก่เจ้าศากยะทั้งหลาย

แต่ภายหลังผู้นั้นอันกุศลมูลตักเตือนแล้วจักบวช จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะนิพพาน พระโคดมผู้เผ่าพันธุ์ของโลกจักทรงตั้งผู้นั้นซึ่งบรรลุปฏิสัมภิทา ได้ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะในเอตทัคคสถาน ผู้นั้นมีตนส่งไปแล้วเพื่อความเพียร สงบ ระงับ ไม่มีอุปธิ จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่า อุทายี เรากำจัดราคะ โทสะ โมหะ มานะ และมักขะ ได้แล้ว กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่ เรายังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทรงโปรดปราน มีความเพียร มีปัญญา และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเลื่อมใส ทรงตั้งเราไว้ในเอตทัคคสถาน คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ ...ฯลฯ... คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้วดังนี้

ก็ท่านพระกาฬุทายี ครั้นบรรลุพระอรหันต์แล้วจึงคิดว่ารอก่อน กาลนี้ยังไม่สมควร เพื่อการเสด็จไปสู่พระนครอันเป็นสกุลเดิมของพระทศพล แต่เมื่อถึงฤดูฝนแล้ว ไพรสณฑ์จะมีดอกไม้บานสะพรั่ง จึงจักเป็นกาลเหมาะเพื่อการเสด็จไป บนภูมิภาคที่ดารดาษด้วยติณชาติเขียวขจีดังนี้แล้ว จึงเฝ้ารอกาล เมื่อถึงฤดูฝนแล้วพอจะพรรณนาชมหนทางไปเพื่อการเสด็จไปยังพระนครอันเป็นสกุลเดิมของพระศาสดา จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้ทั้งหลายมีดอกและใบสีแดงดุจถ่านเพลิงผลิผลสลัดใบเก่าร่วงหล่นไป หมู่ไม้เหล่านี้งดงามรุ่งเรืองดุจเปลวเพลิง ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรใหญ่ เวลานี้เป็นเวลาสมควรอนุเคราะห์หมู่พระญาติ ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า หมู่ไม้ทั้งหลายมีดอกบานงดงามดี น่ารื่นรมย์ใจ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไปทั่วทิศโดยรอบ ผลัดใบเก่าผลิดอกออกผล เวลานี้เป็นเวลาสมควรจะหลีกออกไปจากที่นี้ ขอเชิญพระพิชิตมาร เสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เถิด”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฤดูนี้ก็เป็นฤดูที่ไม่หนาวนัก ไม่ร้อนนัก เป็นฤดูพอสบาย ทั้งมรรคาก็สะดวก ขอพวกศากยะและโกลิยะทั้งหลาย จงได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่แม่น้ำโรหิณี อันมีปากน้ำอยู่ทางทิศใต้เถิด ชาวนาไถนาด้วยความหวัง หว่านพืชด้วยความหวังผล พ่อค้าผู้เที่ยวหาทรัพย์ย่อมไปสู่สมุทรด้วยหวังทรัพย์ ข้าพระองค์อยู่ในที่นี้ ด้วยความหวังผลอันใดของความหวังผลอันนั้น จงสำเร็จแก่ข้าพระองค์เถิด”

“ชาวนาหว่านพืชบ่อยๆ ฝนตกบ่อยๆ ชาวนาไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นสมบูรณ์ด้วยธัญญาหารบ่อยๆ พวกยาจกเที่ยวขอทานบ่อยๆ ผู้เป็นทานบดีให้บ่อยๆ ครั้นให้บ่อยๆ แล้ว ย่อมเข้าถึงสวรรค์บ่อยๆ บุรุษผู้มีความเพียร มีปัญญากว้างขวาง เกิดในสกุลใด ย่อมยังสกุลนั้นให้บริสุทธิ์สะอาดตลอด ๗ ชั่วคน ข้าพระองค์ย่อมเข้าใจว่า พระองค์เป็นเทพเจ้าประเสริฐกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงสามารถทำให้สกุลบริสุทธิ์ เพราะพระองค์เกิดแล้วโดยอริชาติ ได้สัจนามว่า เป็นนักปราชญ์

สมเด็จพระบิดาของพระองค์ ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่า สุทโธทนะ สมเด็จพระนางเจ้ามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระพุทธมารดา ทรงบริหารพระองค์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มาด้วยพระครรภ์ เสด็จสวรรคตไปบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ สมเด็จพระนางเจ้ามายาเทวีนั้น ครั้นสวรรคตจุติจากโลกนี้แล้ว ทรงพรั่งพร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ มีหมู่นางฟ้าห้อมล้อมบันเทิงอยู่ด้วยเบญจกามคุณ”

พระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกพระเถระอ้อนวอนแล้วอย่างนั้น ทรงเห็นว่าประชาชนเป็นอันมากจะได้บรรลุคุณวิเศษในเพราะการเสด็จไปในกรุงกบิลพัสดุ์นั้น จึงมีพระขีณาสพ ๒๐,๐๐๐ รูปแวดล้อมแล้ว เสด็จดำเนินไปยังหนทางที่จะไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ โดยการเสด็จออกจากกรุง ราชคฤห์ไม่รีบด่วนนัก พระเถระเข้าไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ด้วยฤทธิ์ ยืนท่ามกลางอากาศข้างหน้าพระราชา พระราชาทรงเห็นเพศที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร? เมื่อจะแสดงว่า “ถ้าพระองค์จำอาตมภาพ ผู้เป็นบุตรอำมาตย์ที่พระองค์ส่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ไซร้ ขอพระองค์จงทรงรู้อย่างนี้เถิด” ดังนี้ จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า

“อาตมภาพ เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีสิ่งใดย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านจากกาย ไม่มีผู้เปรียบปาน ผู้คงที่ ดูก่อน มหาบพิตร พระองค์เป็นพระบิดาของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระบิดาแห่งอาตมภาพ ดูก่อน มหาบพิตร พระองค์เป็นพระอัยกาของอาตมภาพ
โดยธรรม”


ก็พระเถระครั้นแสดงตนให้พระราชา ทรงรู้จักอย่างนั้นแล้ว ได้รับการนิมนต์จากพระราชาผู้ทรงเบิกบานสำราญพระทัย ให้นั่งบนบัลลังก์อันมีค่ามากแล้ว พระราชาก็ทรงบรรจุโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ที่เขาจัดแจงไว้เพื่อพระองค์ ถวายแล้วจึงแสดงอาการจะไป ก็เมื่อพระราชาตรัสถามว่า “เพราะเหตุใด ท่านจึงประสงค์จะไปเสียเล่า? จงฉันก่อนเถอะ” พระเถระจึงตอบว่า “อาตมภาพจักไปเฝ้าพระศาสดาแล้วจึงจักฉัน”

พระราชาตรัสถามว่า “ก็พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน?” พระเถระตอบว่า “พระศาสดามีภิกษุจำนวนประมาณ ๒๐,๐๐๐ รูปกำลังเสด็จดำเนินมาตามหนทาง เพื่อเฝ้าพระองค์แล้ว” พระราชาตรัสว่า “นิมนต์ท่านฉันบิณฑบาตนี้เสียก่อนที่บุตรของเราจะมาถึงพระนครนี้ แล้วถึงค่อยนำบิณฑบาตจากที่นี้ไปเพื่อบุตรของเราตอนหลัง”

พระเถระ กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว บอกธรรมถวายแด่พระราชาและบริษัท ก่อนหน้าพระศาสดาเสด็จมานั่นเทียว ก็ทำคนในพระราชนิเวศน์ทั้งหมดให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เมื่อคนทั้งหมดกำลังเห็นอยู่นั่นแหละ ก็ปล่อยบาตรที่เต็มด้วยภัตร อันตนนำมาเพื่อถวายพระศาสดาในท่ามกลางอากาศ แม้ตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาสแล้ว น้อมเอาบิณฑบาตเข้าไปวางบนพระหัตถ์ ถวายพระศาสดา พระศาสดาทรงเสวยบิณฑบาตนั้นเสร็จแล้ว เมื่อพระเถระเดินทางวันละ ๑ โยชน์ สิ้นหนทาง ๑๐ โยชน์อย่างนี้ นำเอาภัตตาหารจากกรุงราชคฤห์มาถวายแด่พระศาสดา

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตั้งเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใสว่า เธอทำคนในพระราชนิเวศน์ทั้งหมดของพระมหาราชเจ้าผู้บิดาของเราให้เลื่อมใสได้ ดังนี้แล...